เพียงขวัญเดินช้าๆ ก้มหน้าเล็กน้อยตรงไปยังเตียงกว้าง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วเอนกายลงนอนตัวแข็งทื่อ ไออุ่นจากร่างใหญ่แผ่ลามมาถึงผิวเนื้อจนใจสาวสั่นไหว แทบจะวายเอาเสียให้ได้ ผ้าห่มหนาผืนใหญ่ถูกตลบคลุมร่างบาง แล้วไฟทั้งห้องก็ดับลง หญิงสาวหลับตาแน่น กำมือสองข้างไว้ข้างกาย เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะโดนเชือด รอเวลาที่เพชฌฆาตจะลงดาบ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แรงขยับของคนตัวโตทำให้หัวใจเธอกระตุกวาบ
“พรุ่งนี้ต้องตื่นไปใส่บาตรแต่เช้า อย่าตื่นสายล่ะ” เหมันต์พลิกกายนอนหันหลังให้หญิงสาว คนนอนรอเชือดรออยู่นานเริ่มสงสัย ดวงตากลมโตลืมขึ้นท่ามกลางความมืด หันใบหน้ามองไปทางที่คนตัวใหญ่นอนอยู่ ในนามความที่มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเท่าไร แต่เพียงขวัญพอมองเห็นได้ว่าเขานอนหันหลังให้เธอ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่ง อกโล่งใจ ร่างบางพลิกกายตะแคงหันหน้าจ้องมองแผ่นหลังกว้างในความมืด อย่างน้อยหากเขาหันกลับมา เธอจะได้ตั้งรับทัน แต่เพราะความเหนื่อย เมื่อยล้าจากการเดินทาง จึงทำให้คนที่พยายามระแวดระวังภัยหลับลึกไปในเวลาอันรวดเร็ว
“กลัวจนตัวสั่น อ่อนจริงๆ” เหมันต์ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจึงหันกลับมา ยันตัวลุกเล็กน้อยมองคนที่นอนข้างกาย มือใหญ่ไล้แก้มเนียนเบาๆ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเขาจะปล่อยให้ผู้หญิงนอนร่วมเตียงได้โดยไม่ทำอะไร รู้ถึงไหนอับอายไปถึงนั่น แต่แค่เห็นแววตาตื่นๆกับตัวสั่นเทา เขาก็อดสงสารไม่ได้ ให้เวลาหญิงสาวทำใจอีกนิด คนอย่างเขาไม่ปล่อยให้สิทธิ์ที่ได้มาโดยชอบธรรมนี้หลุดมือไปหรอก ในเมื่อเธอยังอยู่กับเขาที่นี่ เขาสามารถเรียกร้องสิทธิ์จากเธอเมื่อไรก็ได้
“อื้อ...” ร่างบางบิดกายหนีเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าถูกก่อกวน ความง่วงและอาการเพลียจากการเดินทางยังเกาะกุมอยู่ ทำให้เพียงขวัญยังไม่อยากลืมตาตื่น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่กำลังก่อกวนเธอจะไม่รามือง่ายๆ กายสาวพยายามพลิกหนีอะไรสักอย่างที่วุ่นวายอยู่กับทรวงอกของตน มือเล็กผลักไสเบาๆ เนื่องจากยังตื่นไม่เต็มตา แต่ทุกอย่างที่เธอทำ ดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดสิ่งที่กำลังรบกวนการนอนหลับของเธอได้เลย หญิงสาวจึงฝืนปรือตาขึ้นช้าๆ
ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นคือ อะไรบางอย่างที่คล้ายกับศีรษะ ศีรษะใคร...ทำไมมาอยู่บนตัวของเธอได้ เพียงขวัญเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นดันบ่าแกร่งสุดแรง พร้อมทั้งดิ้นรนสุดฤทธิ์
“อืมมม” เสียงครางในลำคอราวกับจะบอกว่ากำลังถูกขัดใจ เหมันต์เงยหน้าขึ้นสบตาตื่นตกใจของอีกฝ่าย ฝ่ายที่โดนเขาขโมยดอมดมไปแทบจะทั่วร่าง
“ทะ...ทำอะไรคะ” เป็นคำถามที่ไม่น่าถาม ถามไปแล้วเพียงขวัญก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าร้อนผ่าว แก้มนวลแดงเรื่อ หลบสายตาคมวาวแทบไม่ทัน เหมันต์ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวจึงรีบยันกายลุกขึ้นถอยห่างเขาจนชิดหัวเตียง ก้มมองร่างกายตนเองก็พบว่าท่อนบนเปลือยเปล่า จึงเหลียวซ้ายขวามองหาอะไรที่พอจะมาปิดบังร่างกายได้ ยังดีที่เสื้อยืดซึ่งเคยอยู่บนร่างกายก่อนนอนหลับกองอยู่ใกล้มือ เพียงขวัญจึงไม่รอช้าที่จะคว้ามันขึ้นมาปิดทรวงอกอวบของตน
“ผมก็แค่ปลุกคุณ ไปอาบน้ำสิ จะได้ไปใส่บาตรกัน” เหมันต์บอกเรียบๆ แต่น้ำเสียงนั้นฟังแล้วเหมือนจะเป็นคำสั่งมากกว่าจะบอกกล่าว หญิงสาวพยักหน้ารับ หลุบสายตามองตักตัวเอง เพื่อเลี่ยงการสบตากับเขา และเมื่อรู้สึกว่าร่างใหญ่ลุกจากเตียงไปแล้ว เพียงขวัญจึงชำเลืองตาขึ้นลอบมองตาม ชายหนุ่มอยู่ในชุดผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว โชว์แผ่นหลังกว้างกำยำสีแทน มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามแผ่นหลัง เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วก็มาปลุกเธอ...ปลุกในแบบที่เธอคิดว่า ต่อไปนี้จะไม่ยอมตื่นทีหลังให้เขาได้ปลุกอีกเด็ดขาด
เพียงขวัญอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆเหมือนเด็ก เมื่อมายืนอยู่หน้ากระจกบาน
ใหญ่ในห้องน้ำ ร่องรอยการปลุกของเหมันต์เป็นจ้ำแดงเด่นชัดบนเนินอกอวบหลายจุด
“คนบ้า...ปลุกดีๆไม่เป็นหรือไง” หญิงสาวพ่นลมหายใจแรง สะบัดค้อนให้กับร่องรอยบนร่างตน ราวกับว่าร่องรอยนั้นคือตัวแทนของเขา
“ขวัญยังไม่ได้ทำกับข้าวเลย เราจะเอาอะไรไปใส่บาตรกันคะ” เพียงขวัญเอ่ยถามอย่างเกรงใจ เธอตื่นสาย และยังไม่ได้เข้าครัวทำอะไรสักอย่าง
“ที่นี่ใส่บาตรข้าวเหนียว ส่วนกับข้าวอาหารสำหรับถวายพระ ชาวบ้านจะใส่ปิ่นโตแล้วนำไปถวายพระที่วัดเอง” เหมันต์อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้มุมห้อง ที่จริงแล้วเขาน่าจะไปนั่งรอเพียงขวัญข้างนอก แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเลือกที่จะนั่งรออยู่ในห้อง แวบหนึ่งของความคิดที่เขาพอจะจำได้คือ หญิงสาวอาจจะออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันกาย และนั่นมันคงจะเซ็กซี่ น่าดูกว่าวิวนอกห้องนอนตั้งเยอะ แต่พอเห็นร่างบางก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีหวานกับกางเกงขายาวห้าส่วน เขาก็แอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างสุดเซ็ง
“เปลี่ยนกางเกงออก แล้วใส่ผ้าซิ่น” เขาสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปยังผ้าซิ่นทอลายมัดหมี่ซึ่งแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เพียงขวัญมองตาม แล้วหันกลับมาสบตาเขา
“เอ่อ...ขวัญนุ่งผ้าถุงไม่เป็นค่ะ” หญิงสาวบอกเขาเสียงแผ่ว
“มันเป็นแบบสำเร็จรูป เขาตัดเย็บมีตะขอมีซิปใส่ได้เลย เหมาะสำหรับคนที่ใส่ไม่เป็น แล้วก็ชอบโวยวายทั้งที่ยังไม่ดูให้ดี” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที เพียงขวัญยู่ปากให้บานประตูที่เพิ่งปิดลง
“พี่แดน!” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวงอน จนเผลอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มบูดบึ้งจนน่าขำ“ดูทำหน้าสิ ไม่น่ารักเลย”“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก พี่แดนอยากมาหัวเราะพี่ข้าวก่อนทำไม” บุรินทร์วางจอบที่แบกไว้บนบ่าลง แล้วกอดอกพิงหลังกับต้นทองกวาว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีหม่น กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าบูธสีดำ โดยมีผ้าขาวม้าคาดเอวไว้ด้วย เพราะเขาถือว่ามันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ต้องคาดติดเอวไว้ตลอดเวลา“พี่ไม่ได้หัวเราะพี่ข้าวสักหน่อย พี่หัวเราะไอ้หน้าแหลมโน่น” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังควายเพศผู้ที่และเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล ไอ้หน้าแหลมเป็นควายที่บุรินทร์รับซื้อมาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าของเดิมเป็นชาวบ้านแถวนี้ขอร้องให้เขารับซื้อมันไว้เพราะเดือดร้อนเงิน ชายหนุ่มจึงรับซื้อไว้ด้วยความสงสาร และเลี้ยงมันมาจนโต“ไอ้หน้าแหลมมันจะทำอะไรให้พี่แดนหัวเราะได้ ในเมื่อมันก้มหน้าก้มตากินหญ้าอยู่อย่างเดียว”“อ้าว! ก็พี่ข้าวมัวแต่เซลฟี่อยู่ไง ก็เลยไม่เห็น ควายอะไรไม่รู้กินหญ้าอยู่ดีๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตัวเดียว เดี๋ยวก็ทำแก้มป่อง เดี๋ยวก็ขยิบ
“แก้วจ๋า” คนไม่อยากนอนเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน“พ่อง่วง เลิกคุยกันเสียที” หนุ่มสาวสะดุ้งจ้องมองตากันในความมืด ทำได้แค่เพียงนอนจับมือกันไว้แค่นั้น เข้าหอคืนแรกก็โดนพ่อตากันท่าซะแล้ว แล้วคืนพรุ่งนี้ และคืนต่อๆไปล่ะ ถ้าพ่อตาเข้ามานอนด้วยทุกคืน เขาจะทำเช่นไร บดินทร์อยากจะกรีดร้อง มันแน่นอกมากปังๆๆ เสียงทุบประตูยามดึกสงัดดังจนคนทั้งสามสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง บดินทร์ลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที“พี่กำนัน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” กำนันเกื้อเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก็นึกว่าเมียหลับแล้ว เลยแอบย่องออกมาเป็นไม้กันหมาให้ลูกสาว คนเกรงใจเมียหน้าซีดเผือด“พี่กำนันจะออกมาดีๆ หรือออกมาด้วยน้ำตา” เสียงตวาดแหวถามเข้ามาทำเอากำนันเกื้อสะดุ้งโหยง“พ่อดิน พ่อลูกเขยคนดี พ่อยอดขมองอิ่มของพ่อ ช่วยบอกแม่ติ๋มให้ทีว่าพ่อหลับแล้ว แล้วก็อย่าเปิดประตูนะ” บดินทร์สบสายตาเว้าวอนของพ่อตา ชายหนุ่มมีสีหน้าเห็นใจ“ได้ครับพ่อตา” ร่างสูงเดินไปใกล้ประตูแล้วเอ่ยเสียงดังให้ได้ยินทั้งคนข้างนอกข้างใน“แม่ติ๋มครับ พ่อตาให้บอกว่าพ่อตาหลับแล้วครับ” กำนันเกื้อถึงกับสะดุ้ง มองหน้าลูกเขยด้วยความแค้นใจ
“แดนมาก็ดีเหมือนกัน พี่ขวัญฝากให้อยู่เป็นเพื่อนพี่ข้าวแป๊บหนึ่งนะคะ พี่ขวัญจะพาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถ นี่เริ่มงอแงแล้ว สงสัยจะหิวนม” เด็กหนุ่มยิ้มบาง“ครับ”“พี่ข้าวอยู่กับพี่แดนก่อนนะลูก คุณแม่พาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถแป๊บเดียวนะคะ”“ค่า” เด็กหญิงตอบรับเสียงสดใสเมื่ออยู่ลำพังสองคน บดินทร์ขยับเข้าใกล้ไกวชิงช้าเบาๆ เด็กหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของน้องน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน“พี่แดนค้า ไกวชิงช้าแรงๆหน่อยสิค้า พี่ข้าวอยากไกวแรงๆ”“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวตก” เด็กหญิงเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ“พี่แดนใจร้าย พี่ข้าวอยากไกวชิงช้าแรงๆ ฮึกๆ” เมื่อเห็นน้องน้อยร้องไห้บุรินทร์จึงใจอ่อน“เอาอย่างนี้นะครับ พี่แดนจะนั่งด้วย แล้วให้พี่ข้าวนั่งตัก เราถึงจะไกวชิงช้าแรงๆได้” เด็กหนุ่มแหงนมองเชือก ดูความแข็งแรงของชิงช้าและกิ่งไม้ใหญ่ ประเมินแล้วว่ามันแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักเขาและเด็กหญิงได้แน่นอน หทัยรักยิ้มกว้างทั้งน้ำตา“พร้อมมั้ยครับเจ้าหญิงน้อย” เมื่อคนที่มีฐานะเป็นพี่นั่งก่อนแล้วให้น้องน้อย
“แก้วจ๋า แก้วของพี่สวยเหลือเกิน” ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับความสวยงามที่เขาพร่ำเพ้อ แก้วใจสะท้านไปทั้งร่าง สองมือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เธอไม่กล้าส่งเสียงน่าอายออกไปทั้งที่หวามไหวซ่านกระสันแทบคลั่ง “แก้วจ๋า หวานหอมที่สุด” บดินทร์ครางแนบชิดเนื้อนาง จูบซ้ำๆ ดูดดึงและซอกซอนรีดเค้นเอาความหวานจากร่างเล็ก แก้วใจเกินจะเก็บกักความวาบหวามไว้ในอกได้ หญิงสาวครวญครางแว่วหวาน กระถดสะโพกหนีความซ่านหวิวที่ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ หากแต่ถูกดึงรั้งตรึงเอาไว้มั่น เธอจึงทำให้แค่เพียงส่ายสะบัดหน้าเร็วๆและกรีดร้องออกมาในที่สุด “อ๊า! พี่ดิน! กรี๊ดดด!” หน้าท้องแบนราบเกร็ง ร่างกายเบาหวิวปลิดปลิวไปกับสายลมรัก บดินทร์เคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมร่างบางไว้ พรมจูบไปบนใบหน้าชื้นเหงื่อจนทั่ว ไปหยุดอยู่ตรงปากนุ่มๆ คลอเคลียดูดดึงเบาๆ ก่อนจะปรนเปรอเจ้าสาวของตนด้วยจูบ แสนหวานปานจะกลืนกินเธอลงท้องเสียให้ได้ “พี่รักแก้ว” ชายหนุ่มกระซิบคำบอกรักแนบอยู่กับกลีบปากบาง แก้วใจลืมตาขึ้นมาสบตาเข
หลังจากเสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญและผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้ว ก็เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในห้องกันลำพังเพื่อให้บ่าวสาวได้พักผ่อน ก่อนจะออกมาต้อนรับแขกอีกครั้งในงานเลี้ยงตอนเย็นแก้วใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแดงรูปหัวใจสองดวง โดยมีเจ้าบ่าวนอนกอดตัวเธออยู่ ประตูห้องถูกปิดลงเมื่อสักครู่ แว่วเสียงพ่อเจ้าบ่าวกับพ่อเจ้าสาวถกเถียงกันจะไม่ยอมให้ล็อกประตู หากแต่สุดท้ายแล้วแม่ ติ๋มก็จัดการล็อกประตูจากด้านนอกจนได้“พะ...พี่ดิน” หญิงสาวขยับกาย พยายามขยับออกห่างจากร่างใหญ่ที่กอดเธอไว้เสียแน่น แต่เขาไม่ยอมปล่อย“หืม...ว่าไงครับ” ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบลงบนหน้าผากมน แก้วใจเงยหน้าขึ้นสานสบกับดวงตาวาววับคู่คมแล้วสะเทิ้นอาย จนต้องก้มหน้าหลบเสียเอง“เขาออกกันไปหมดแล้ว ลุกขึ้นได้แล้วค่ะ”“อยากนอนกอดแก้วแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ขอกอดต่ออีกนิดนะ” บดินทร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกนิด“ฮื่อ...แก้วเมื่อย ลุกเถอะค่ะ” ร่างใหญ่ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี คนที่ตื่นเต้นกับสัมผัสแนบชิดจนแทบจะเป็นลมรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาม วงแขนแข็งแรงรีบกอดเกี
“อือ...” การขานรับในลำคอแบบไม่ค่อยเต็มใจของสามีทำให้แม่ติ๋มส่ายหน้า คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักหน่อย เดี๋ยวคงทำใจยอมรับลูกเขยได้เองเหมันต์และเพียงขวัญมาร่วมงานแต่เช้า โดยมีลูกๆทั้งสามติดตามมาด้วย หทัยรักหรือพี่ข้าวของน้องๆลูกสาวคนโตอายุสี่ขวบ หทัยกานต์หรือเข้มลูกชายคนกลางอายุสองขวบ และหทัยชนกหรือน้องขิงลูกสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบ คุณแม่ยังสาวจัดชุดครอบครัวใส่โทนสีเดียวกันคือสีฟ้า ลูกสาวทั้งสองอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ ลูกชายและสามีสวมเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังสีน้ำตาล ส่วนเธอสวมชุดเดรสสีฟ้ายาวคลุมเข่าสวมรองเท้าสานสีขาวเหมือนกับลูกสาวทั้งสองนิธิและเพียงฟ้าพานิดาหรือหนูดาลูกสาวคนโตวัยสี่ขวบกว่า และนทีหรือนทวัยหนึ่งขวบมาร่วมงานด้วย เพียงฟ้าได้กล่าวคำขอโทษกับแก้วใจ เรื่องที่เธอเคยทำร้ายหญิงสาวเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและตกลงนับถือกันเป็นพี่น้องพิธีการเริ่มขึ้นหลังจากวางสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวจัดมาสมกับฐานะเจ้าสาวแล้ว ขณะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เหมันต์และเพียงขวัญจึงพาลูกๆเลี่ยงไปนั่งเล่น