แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นความโหยหาและความอิจฉา เหมือนเวลาที่เห็นพี่หรือน้องของตนได้ของเล่นแล้วตัวเองไม่ได้ด้วย
"อุ๊ย! พี่มะลิเลือดออกค่ะคุณพ่อ พี่มะลิเป็นแผลเลือดออกเลย"
พราวนภาร้องบอกบิดาพร้อมกับชี้ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างของมัลลิกา ชายหนุ่มมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"แย่ละ หนูพราวลุกขึ้นก่อนลูก คุณพ่อจะไปช่วยดูแผลให้พี่มะลิก่อน"
ครั้นพอพราวนภาลุกขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูแผลที่หัวเข่าของหญิงสาวใกล้ ๆ
"พี่ว่าเข้าไปทำแผลในบ้านก่อนดีกว่า ลุกไหวไหมเรา" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน และมองหาบาดแผลบริเวณอื่นไปด้วย
มัลลิกาพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ปวดแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนทำให้เธอต้องทรุดลงไปนั่งอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วส่ายหน้าให้ช้า ๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร
"หนูเจ็บขาค่ะ ทำยังไงดี"
"ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้มเราเข้าไปทำแผลในบ้านก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ตรวจดูสักหน่อยว่ากระดูกหักหรือร้าวตรงไหนบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะ"
พูดจบเขาก็ก้มลงช้อนตัวมัลลิกาไว้ในวงแขนก่อนจะนิ่วหน้าสูดปากออกมาเบา ๆ เพราะความรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังตอนล้มลงกับพื้นแสดงอาการออกมาอีกครั้ง
"คุณพ่ออุ้มพี่มะลิไม่ไหวหรือคะ" พราวนภาได้ยินเสียงบิดาสูดปากก็ถามอย่างเป็นห่วง มัลลิกาเองเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจ
"คุณอาปล่อยให้หนูลงเดินเองก็ได้นะคะ หนูตัวหนักจะตาย"
พอได้ยินคำเรียกขานที่เขาไม่อยากฟังก็ยิ่งทำให้ภาวินเกิดแรงฮึด เขาเพิ่งอายุสามสิบสามย่างสามสิบสี่ อุ้มผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่คนเดียวทำไมเขาจะทำไม่ได้
"ใครบอกไม่ไหว แค่นี้สบายมาก" เขากัดฟันเดินเร็ว ๆ เข้าบ้านไป เมื่อถึงห้องรับแขกก็วางหญิงสาวลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเบามือ จากนั้นก็ลอบผ่อนลมหายใจช้า ๆ เก็บอาการเหนื่อยหอบไม่ให้เธอเห็น
"นั่งตรงนี้นะ พี่จะไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา" พูดจบเขาก็เดินเร็ว ๆ ไปทางห้องครัว สวนกับมารดาที่เดินถือจานผลไม้ออกมาพอดี
"ตายแล้ว! หนูมะลิเป็นอะไรน่ะลูก ไปโดนอะไรมา" ภคินีเห็นหัวเข่าของมัลลิกาถลอกเป็นแผลจนเลือดซึมก็ตกใจ
"หนูตกต้นไม้ค่ะ แล้วตอนที่ตกลงมาหัวเข่ามันไปครูดกับกิ่งไม้ด้วยก็เลยเป็นแผล" มัลลิกาตอบเสียงอ่อย เพราะตนเป็นฝ่ายเข้ามาซุกซนในบ้านของคนอื่นแท้ ๆ แต่ดันมาทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อนไปด้วย
"น่าตีจริงเชียว โตเป็นสาวเป็นนางแล้วยังปีนต้นไม้เป็นลิงเป็นค่างไปได้นะเรา แล้วนี่อย่าบอกนะว่าปีนต้นไม้ทั้งที่ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่แบบนี้น่ะ"
ภคินีถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก้มหน้างุดแล้วพยักหน้าให้ช้า ๆ เป็นเชิงยอมรับก็อดยิ้มอย่างอ่อนใจไม่ได้ แม้มัลลิกาจะอายุยี่สิบเอ็ดปีและเรียนอยู่ปีสี่แล้วก็ตาม แต่นิสัยและความคิดความอ่านบางครั้งก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่มากจนน่าเป็นห่วง
"พี่มะลิบอกว่ากลับมาจากโรงเรียนก็รีบมาหาหนูพราวที่บ้านเลยค่ะ เพราะรู้ว่าวันนี้หนูพราวมาเลยไม่ได้เปลี่ยนชุด" พราวนภารีบแก้ตัวให้เพื่อนต่างวัยทันทีเพราะเกรงว่าพี่มะลิจะถูกคุณย่าดุ
"คุณย่าก็ไม่ได้คิดจะดุพี่มะลิของหนูหรอกลูก แต่เราเป็นผู้หญิง ใส่กระโปรงปีนต้นไม้มันไม่งาม จำไว้นะทั้งสองคนเลย ถ้าคนอื่นมาเห็นกางเกงในเราเข้าก็แย่น่ะสิ เป็นสาวเป็นนางจะให้คนอื่นมาเห็นกางเกงในไม่ได้นะ"
ได้ยินเช่นนั้นมัลลิกาก็นึกถึงตอนที่ตนหล่นลงมาคร่อมตัวภาวินไว้ หนำซ้ำกระโปรงยังคลุมศีรษะเขาอีกด้วย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาเห็นกางเกงในของเธอเข้าแล้วเต็มตา...น่าอายชะมัด
"พวกเพื่อนผู้ชายในห้องชอบมาเปิดกระโปรงหนูพราวด้วยค่ะคุณย่า ต้นหอมก็โดน ข้าวฟ่างก็โดน โดนกันหลายคนเลยล่ะ" พราวนภารีบฟ้องคุณย่าทันทีพร้อมกับทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
"ใคร! ใครมันมาเปิดกระโปรงลูกสาวพ่อ หนูพราวบอกคุณพ่อสิลูก คุณพ่อจะไปจัดการให้"
ภาวินเดินถืออุปกรณ์ทำแผลเข้ามานั่งบนโซฟาอีกตัวใกล้กับมัลลิกา แต่สายตามองบุตรสาวสุดที่รักอย่างหวงแหน เพราะพราวนภาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจึงมักชอบถูกเพื่อนผู้ชายในห้องเรียนกลั่นแกล้งเพื่อเรียกร้องความสนใจตามประสาเด็กผู้ชายอยู่เสมอ
"กัปตันค่ะคุณพ่อ แล้วก็พอร์ช เต้ ไทม์ และอีกหลายคนเลยค่ะ หนูพราวไม่ได้โดนคนเดียวนะคะ เพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนก็โดน"
"แล้วหนูทำยังไงล่ะลูก ฟ้องคุณครูรึเปล่า" ภาวินยังคงถามต่อ แต่มือเริ่มหยิบสำลีออกจากห่อเพื่อจะเช็ดแผลให้คนตกต้นไม้
"ฟ้องแล้วคุณครูก็แค่ทำโทษด้วยการตีมือนิดเดียวเองค่ะ ไม่เห็นเจ็บเลย หนูพราวไปบอกแม่จันทร์ แม่เลยให้ใส่กางเกงขาสั้นไว้ในกระโปรงด้วย แล้วก็บอกว่าถ้าโดนเปิดกระโปรงอีกให้ทำเฉย ๆ อย่าสนใจ เดี๋ยวเขาก็เลิกแกล้งไปเอง"
เด็กน้อยพูดพลางขยับเข้ามาใกล้บิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำแผลให้เพื่อนต่างวัย
"คราวหน้าถ้ามีคนมาเปิดกระโปรงอีก หนูต่อยหน้าไปแรง ๆ เลยนะลูก อย่าไปยอมเชียว ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวคุณพ่อจะไปจัดการให้หนูเอง" ชายหนุ่มกำมือเป็นรูปกำปั้น แต่ถูกมารดาเอ็ดเข้าใส่
"ไปสอนลูกอย่างนั้นได้ยังไงตาวิน เดี๋ยวหนูพราวก็กลายเป็นคนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก หนูจันทร์เขาอุตส่าห์แก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมแต่เรากลับไปสอนตรงกันข้ามซะงั้น"
"โธ่ คุณแม่ครับ สมัยนี้การนิ่งเฉยมันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในบางสถานการณ์หรอกนะครับ การยอมครั้งแรกสำหรับเราอาจจะคิดแค่ว่าอยากให้เรื่องมันจบไป แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาจะคิดว่าเรารังแกได้ง่ายแล้วก็จะหาเรื่องมารังแกไม่จบไม่สิ้น ผมอยากให้หนูพราวสู้คนมากกว่า"
ภาวินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล จากนั้นก็ยื่นมือไปเพื่อจะเช็ดรอบ ๆ แผลที่หัวเข่าของมัลลิกา ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่าจะเลิกกระโปรงขึ้นแต่ถูกภคินีผู้เป็นมารดาดึงมือเอาไว้ก่อน
"แม่ทำให้หนูมะลิเอง" ภคินีลอบถลึงตาใส่บุตรชายที่เผลอไผลถึงเนื้อถึงตัวสาวน้อยข้างบ้าน แม้ว่าภาวินอาจจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่อย่างไรเสียการทำแบบนี้ก็ไม่เหมาะนักเพราะมัลลิกาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว
ครั้นพอถูกมารดาเตือนด้วยสายตา ภาวินจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนลืมตัวไป ชายหนุ่มถูจมูกไปมาแก้เก้อพลางมองหญิงสาวที่นั่งเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการเจ็บแสบตอนล้างแผล ใบหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือด มือทั้งสองข้างขยุ้มชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น ดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่าขำไปพร้อมกัน
"ผมนึกว่าต้นมะม่วงหน้าบ้านเรานั่นจะออกผลเป็นมะม่วงอย่างเดียวเสียอีก ที่ไหนได้ ออกผลอย่างอื่นก็ได้ด้วย" ชายหนุ่มพูดไปยิ้มไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของมัลลิกาจากแผลที่หัวเข่ามาที่ตนแทน และก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองเขา
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก