แสงเงินของรุ่งอรุณทอดยาวผ่านช่องหน้าต่างไม้ฉลุ สาดส่องเข้ามาในห้องที่เพิ่งผ่านพ้นค่ำคืนอันยาวนาน กลิ่นกำยานจาง ๆ ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมผสานกับกลิ่นกายของบุรุษผู้ครอบครองทั้งห้องนี้ และบางส่วนที่เริ่มกัดกินเข้าไปในใจของไป๋หลิง
เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนผ้าปูเตียงสีดำสนิท พยายามหลับตาแน่นเพื่อขับไล่ภาพสัมผัสอันเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้พ้นจากห้วงความคิด แต่ร่างกายกลับยังคงรับรู้ถึงความร้อนที่ซึมซาบเข้ามา แรงบีบแน่นบนข้อมือทั้งสองข้างยังคงทิ้งร่องรอยจาง ๆ ไว้ เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน เธอตื่นขึ้นมาในห้องนี้อีกครั้ง ไม่ได้ถูกขับไล่ ไม่ได้ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ได้ 'เป็นของเขา' อย่างสมบูรณ์ เธอกลายเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างการเป็นของเขาหรือไม่ใช่ และนั่น...น่ากลัวที่สุด เพราะมันหมายความว่าเธอยังคงเป็นตัวหมากในเกมที่เธอไม่เข้าใจทั้งหมด และความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับคนที่ไม่ควรจะรู้สึกด้วย กำลังจะทำให้เกมนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เสียงขยับตัวจากอีกฟากหนึ่งของห้องดึงสติของไป๋หลิงให้กลับคืนมา หลี่เหวินยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กกลางห้อง มือยังคงถือจอกสุรา แม้จะเช้าแล้วแต่เขาก็ยังคงอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำสนิท เส้นผมยาวของเขาหลุดออกจากมวยผมมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นรอยแผลจาง ๆ บริเวณต้นคอ ราวกับเป็นรอยดาบ หรือ...ไป๋หลิงไม่กล้าคิดต่อ เธอทำได้เพียงหลับตาลงตามคำสั่งของเขาเมื่อรุ่งสาง เพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่การ 'ถวายตัว' แต่มันคือการยืนตัวเองให้เสือกัด และหวังว่าเสือตัวนั้นจะไม่ขย้ำจนสิ้นใจ "ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำลายความเงียบงันในห้อง ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองมาที่เธออย่างเยือกเย็น ราวกับต้องการสำรวจทุกซอกทุกมุมของร่างกายและจิตใจ ไป๋หลิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอยังคงสะท้อนความเจ็บปวดจากอดีตที่ซับซ้อน และความสับสนในปัจจุบัน ความแค้นที่ฝังลึกมาสิบปี กำลังถูกท้าทายด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จัก เธอต้องไม่พลาด เป้าหมายของเธอคือการล้างแค้นให้ครอบครัว ไม่ใช่การตกอยู่ในบ่วงของบุรุษผู้ลึกลับผู้นี้ "เจ้ามีบาดแผล...เก่า" คำพูดของเขายังคงดังก้องในหู ราวกับว่าเขาไม่เพียงแต่เห็นร่องรอยบนร่างกายเธอ แต่ยังมองทะลุเข้าไปถึงบาดแผลในใจ บาดแผลจากอดีตที่หลอกหลอนร่างกายเธอก่อนจะหลอกหลอนหัวใจ ไป๋หลิงลุกขึ้นนั่งช้า ๆ พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ร่างกายยังคงอ่อนล้า แต่จิตใจกลับแข็งแกร่งขึ้นภายใต้สถานการณ์บีบคั้น เธอห่มผ้าห่มขึ้นมาปิดกายอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้ดีว่าไม่มีอะไรจะซ่อนจากสายตาของเขาได้อีกแล้ว หลี่เหวินวางจอกสุราลง แล้วลุกขึ้น ในก้าวเดียวเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นเครื่องหอมผสมเหงื่อจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก ไป๋หลิงไม่กล้าสบตา เธอทำได้เพียงก้มหน้ามองผืนผ้าปูเตียงสีดำที่ยับยู่ยี่จากกิจกรรมเมื่อคืน "ไปเปลี่ยนชุดเสีย" เขาพูดเสียงเรียบเย็นชา "นางจิ้งจะพาเจ้าไปเรียนรู้งานในตำหนัก" คำสั่งนั้นทำให้ไป๋หลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นางจิ้ง...หญิงรับใช้ประจำตัวองค์ชายเงา ผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์และดวงตาไม่ต่างจากคมมีด เคยเห็นนางจิ้งเพียงไม่กี่ครั้งตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในวัง นางเป็นเงาตามติดหลี่เหวิน ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเขา "ข้าต้องการให้เจ้าเรียนรู้งานในตำหนักนี้ให้เร็วที่สุด" หลี่เหวินพูดต่อ "ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตำหนัก การจัดหาของใช้ หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุดที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของข้า" เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว จนไป๋หลิงสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเขาที่แผ่ออกมา ไป๋หลิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวเขา และสิ่งที่สำคัญที่สุด...คือการสังเกต" เขายกมือขึ้นเชยคางเธอเบา ๆ บังคับให้เธอสบตา ดวงตาของเขาคมกริบ เยือกเย็น และล่วงล้ำ ราวกับต้องการเจาะลึกเข้าไปในความคิดของเธอ ต้องการอ่านทุกสิ่งที่เธอซ่อนไว้ในใจ "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักนี้...และในวังหลวง" ไป๋หลิงกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก เธอกัดริมฝีปากแน่นพยายามระงับความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ "เพคะ" เธอตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาเขานานกว่านี้ เขายังคงจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือจากคางเธอ แล้วหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ "จำไว้ ไป๋หลิง" เขาพูดโดยไม่หันมามอง "ในวังนี้...ไม่มีคำว่าปลอดภัย" คำพูดนั้นเป็นจริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เหมือนเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะนำพาเธอเข้าไปสู่ความลับเบื้องหลังการล่มสลายของตระกูล ไป๋หลิงพยักหน้าเล็กน้อย แม้เขาจะมองไม่เห็น เธอรู้ว่าเกมนี้เพิ่งเริ่มต้น และเธอไม่ใช่แค่นักหมากที่ถูกเดิน เธอเป็นหมากที่ต้องเดินให้เหมือนนักหมาก มิฉะนั้นจะถูกปัดทิ้งโดยไม่ทันรู้ตัว เพียงไม่นาน นางจิ้งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้อง นางไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้ไป๋หลิงเดินตามไป ไป๋หลิงลุกขึ้นจากเตียง สัมผัสได้ถึงความเจ็บร้าวไปทั่วร่างกาย แต่เธอก็พยายามเดินอย่างสง่าผ่าเผยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจิ้งพาเธอไปยังห้องอาบน้ำส่วนตัวของหลี่เหวิน ซึ่งมีขนาดใหญ่และโอ่อ่ากว่าห้องน้ำในสำนักนางโลมหลายเท่านัก มีอ่างอาบน้ำหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมด้วยไอน้ำอุ่น ๆ ที่ลอยอวลอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นหอมของสมุนไพรและดอกไม้ลอยมาแตะจมูก "อาบน้ำเสีย" นางจิ้งพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ไร้อารมณ์ "แล้วข้าจะนำชุดใหม่มาให้" ไป๋หลิงพยักหน้า นางจิ้งโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ไป๋หลิงอยู่เพียงลำพังกับความคิดของตัวเอง เธอค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ยับยู่ยี่ออกจากร่างกาย ร่างกายของเธอยังคงมีร่องรอยของค่ำคืนที่ผ่านมาให้เห็นชัดเจน รอยช้ำจาง ๆ บนข้อมือ รอยแดงที่ผิวเนื้อขาวผ่อง ไป๋หลิงลูบไล้รอยเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกผสมปนเปกันระหว่างความเจ็บปวด ความสับสน และความปรารถนาที่เธอไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อน เธอจุ่มตัวลงในอ่างอาบน้ำอุ่น ๆ สัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่จิตใจของเธอกลับไม่เคยสงบ เธอใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าหลายครั้ง พยายามชำระล้างความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจให้หมดไป ไป๋หลิงรู้ว่าการอยู่ใกล้ชิดกับหลี่เหวินนั้นอันตราย เธอควรจะมองเขาเป็นเพียงเครื่องมือ เป็นสะพานที่จะพาเธอไปสู่เป้าหมายในการล้างแค้น แต่ยิ่งเธออยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าความจำเป็น แรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้นี้กำลังทำให้เส้นทางของเธอสับสน และเธอรู้ว่ามันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่แล้ว เธอก็นึกถึงคำพูดของมารดาที่ดังแผ่วในหู "แกต้องไม่ตายดี..." คำสาปแช่งนั้นยังคงหลอกหลอนเธอมาตลอดสิบปี เป็นแรงผลักดันให้เธอยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันนี้ ไป๋หลิงหลับตาลง ภาพของครอบครัวที่ถูกฆ่าล้างโคตรผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจกลับมาอีกครั้ง เธอจะต้องไม่ลืมความแค้นนี้เด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์จะนำพาเธอไปในทิศทางใด ไม่ว่าใครจะเข้ามาในชีวิตเธอ เธอจะต้องไม่หวั่นไหว เมื่ออาบน้ำเสร็จ นางจิ้งก็กลับเข้ามาพร้อมกับชุดนางกำนัลสีฟ้าอ่อน ชุดเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าดีเยี่ยม ไป๋หลิงสวมชุดนั้นแล้วเดินตามนางจิ้งออกไปจากห้อง ตลอดทั้งวันนั้น ไป๋หลิงถูกฝึกให้เรียนรู้งานในตำหนักหยินหลานอย่างละเอียด นางจิ้งเป็นครูผู้เข้มงวด เธอสอนทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดดอกไม้ในแจกัน การชงชาตามแบบโบราณ การดูแลเครื่องเรือน การจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับหลี่เหวิน ไปจนถึงการสังเกตและจดจำทุกสิ่งเล็กน้อยในตำหนัก ไป๋หลิงพยายามทำความเข้าใจทุกคำสั่ง จดจำทุกรายละเอียดที่นางจิ้งบอก เธอใช้โอกาสนี้ในการสำรวจตำหนักหยินหลานอย่างเงียบ ๆ สังเกตทุกเส้นทาง ทุกมุมอับ และทุกรายละเอียดของโครงสร้างอาคาร ตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกที่สุดในวังหลวง มีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบ เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาต ในแต่ละวัน เธอจะถูกนางจิ้งพาเดินไปทั่วตำหนัก ตั้งแต่ห้องโถงใหญ่ ห้องรับรอง ห้องหนังสือ ห้องนอน ห้องน้ำ ไปจนถึงสวนลับด้านหลังตำหนัก ทุกย่างก้าวของเธอนั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เธอจดจำตำแหน่งของยามรักษาการณ์ จดจำช่วงเวลาที่ยามเปลี่ยนกะ จดจำทางเดินลับบางเส้นที่นางจิ้งใช้ในการเดินทาง ไป๋หลิงรู้ดีว่าการเป็น 'นางรับใช้ลับ' ในตำหนักแห่งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติองค์ชายเงาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เธอเข้าถึงข้อมูลลับที่เธอไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ความมุ่งมั่นในการล้างแค้นเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้า ในขณะเดียวกัน สายตาของหลี่เหวินก็ยังคงจับจ้องไปที่เธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใดในตำหนัก เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่มองมา ราวกับเขากำลังอ่านความคิดของเธออยู่ตลอดเวลา ราวกับเธอกำลังอยู่ภายใต้การสอดส่องของนักล่าผู้เฉลียวฉลาด ค่ำคืนนั้น เมื่อทุกอย่างในตำหนักสงบลง ไป๋หลิงกลับมายังห้องพักของเธอ ห้องเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน เธอทรุดตัวลงบนฟูกนอน แล้วทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอรู้ว่าการกระทำของหลี่เหวินนั้นเต็มไปด้วยปริศนา เขาไม่ใช่แค่บุรุษผู้เย็นชาและอันตราย แต่เขายังดูเหมือนจะมีจุดประสงค์บางอย่างที่ซ่อนเร้นในการนำเธอเข้ามาในวังหลวงนี้ เขามองเห็นอะไรในตัวเธอ? ทำไมเขาถึงให้เธอเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับเขามากถึงเพียงนี้? ไป๋หลิงหลับตาลงอีกครั้ง พยายามจัดระเบียบความคิดที่สับสนวุ่นวาย ความแค้น ความปรารถนา และความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังพันธนาการเธอไว้ในวังวนแห่งอำนาจนี้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไป๋หลิงก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และจะต้องฉลาดพอที่จะเอาชีวิตรอดในเกมอันตรายนี้ เพื่อให้ความแค้นที่ฝังลึกมาสิบปี ได้รับการชำระสะสางเสียที สองวันต่อมา ไป๋หลิงได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในตำหนักหยินหลานอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกำกับดูแลอันเข้มงวดของนางจิ้ง ตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกที่สุดในวังหลวง มีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบ เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาต เปรียบเสมือนป้อมปราการลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใจกลางอำนาจ ทุกเช้าไป๋หลิงจะถูกปลุกตั้งแต่ยามซื่อ (ประมาณตีหนึ่ง) เมื่อท้องฟ้ายังคงมืดมิดและหมู่ดาวพร่างพราว เธอต้องเตรียมงานในตำหนักอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว เธอถูกสั่งให้ดูแลทุกรายละเอียด ตั้งแต่การจัดดอกไม้ในแจกันให้มีชีวิตชีวา การชงชาตามแบบโบราณที่ต้องใช้น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงการเตรียมเครื่องอาภรณ์ของหลี่เหวินที่ต้องสะอาดและจัดวางอย่างประณีต ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกจับตามองโดยนางจิ้ง หญิงรับใช้ผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์และดวงตาไม่ต่างจากคมมีด นางจิ้งไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ทุกการกระทำของนางล้วนบ่งบอกถึงความเคร่งครัดและความภักดีต่อองค์ชายเงา ไป๋หลิงจึงใช้โอกาสนี้ในการสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียด ดวงตาของเธอคมกริบ จดจำทุกเส้นทาง ทุกมุมอับ ทุกซอกหลืบ และทุกรายละเอียดของตำหนักแห่งนี้ ราวกับกำลังสร้างแผนที่ลับขึ้นมาในสมอง ยามเช้าตรู่ของวันที่สาม แสงอรุณยังไม่ทันทอประกายเต็มที่ ไป๋หลิงถูกนางจิ้งเรียกให้ไปจัดเตรียมสำรับเช้าให้กับหลี่เหวิน เธอเดินอย่างเงียบงันไปตามทางเดินหินที่ปูด้วยแผ่นหินอ่อนขัดมัน ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบซากุระแห้งปลิวว่อนในลานฝึกที่ว่างเปล่า ดวงตาของเธอมืดหม่น นิ้วมือเย็นเฉียบ แม้แสงแดดจะเริ่มแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ เธอไม่เคยคิดว่าชีวิตของบุตรสาวหมอหลวง ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน ที่เคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จะต้องมาอยู่ในวังวนเช่นนี้ ความแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในใจ เป็นเชื้อเพลิงเดียวที่ทำให้เธอยังคงยืนหยัดได้ และเป็นแรงผลักดันให้เธอต้องแข็งแกร่งขึ้น เพื่อเอาชีวิตรอดในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและความลับ ขณะที่เธอกำลังจัดวางถ้วยชาเคลือบมุกอย่างระมัดระวังลงบนโต๊ะไม้เนื้อดี ไป๋หลิงเหลือบมองไปยังหลี่เหวิน เขากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเล็กกลางห้อง อ่านม้วนคัมภีร์บางอย่างที่ทำจากหนังสีดำสนิท แสงอรุณกระทบใบหน้าของเขา ทำให้เค้าโครงหน้าคมเข้มดูสง่างามอย่างน่ากลัว ผมยาวสีรัตติกาลของเขาถูกมัดรวบไว้อย่างลวก ๆ แต่ก็ยังคงความสง่างามอยู่ในที ภายใต้ความสงบนั้น เธอสัมผัสได้ถึงเพลิงบางอย่างที่เร้นอยู่ภายในตัวเขา เขายังคงเป็นบุรุษลึกลับผู้มากบารมี และอันตรายอย่างที่สุด ผู้ที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคือ 'องค์ชายเงา' แห่งแคว้นหลวง และผู้ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของวังวนอำนาจที่ทำลายครอบครัวเธอ "เจ้าทำอะไรอยู่" เสียงทุ้มต่ำเรียบเย็นของหลี่เหวินดังขึ้น ทำให้ไป๋หลิงสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวขึ้นมาโดยพลัน เธอหันไปมองเขา ดวงตาของเขากำลังจับจ้องมาที่เธอโดยตรง ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกราวกับถูกเปลื้องผ้า "จัดสำรับเช้าเพคะ" เธอตอบเสียงแผ่ว พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหว เขาวางม้วนคัมภีร์ลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขานิ่งสนิท ราวกับกำลังวิเคราะห์ ไม่ใช่หลงใหล หรือแม้แต่แสดงความรู้สึกใด ๆ "ปกติแล้วข้าไม่ให้ใครเข้าใกล้โต๊ะทำงานของข้าขนาดนี้" เขาพูด เสียงเรียบเย็นจนทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก ไป๋หลิงก้มหน้าลงทันที "หม่อมฉันขออภัยเพคะ" เธอเอ่ยอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจกลับสาปแช่งชายตรงหน้า ว่าทำไมเขาถึงชอบเล่นกับความรู้สึกของเธอมากนัก "แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น" เขาพูดต่อ เสียงนุ่มลงเล็กน้อย จนไป๋หลิงประหลาดใจ "เพราะข้าต้องการให้เจ้าอยู่ใกล้ข้ามากขึ้น" คำพูดนั้นทำให้หัวใจไป๋หลิงเต้นรัว เธอรู้ว่า 'มากขึ้น' ที่เขาหมายถึงไม่ใช่เพียงแค่ระยะทางกายภาพ แต่มันหมายถึงความใกล้ชิดที่อันตรายกว่านั้น ความใกล้ชิดที่สามารถทำลายกำแพงที่เธอก่อขึ้นมาตลอดสิบปีได้ "เจ้าสงสัยในตัวข้าใช่หรือไม่ ไป๋หลิง" เขาถาม ดวงตาของเขายังคงจ้องมองเธอไม่กะพริบ ราวกับต้องการอ่านทุกความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจเธอ ต้องการเจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ ไป๋หลิงกัดริมฝีปากแน่น เธอกำลังลังเลว่าจะตอบอย่างไรดี จะโกหก หรือจะพูดความจริง หากพูดความจริง เธอจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ถ้าโกหก เขาจะรู้หรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขารู้ว่าเธอกำลังโกหก "หม่อมฉันมิกล้าเพคะ" เธอตอบเสียงแผ่วเบาที่สุด "อย่าโกหกข้า" เขาพูดเสียงนุ่มลงเล็กน้อย แต่กลับแฝงด้วยอันตราย "ข้าไม่ชอบคนโกหก" ไป๋หลิงเงยหน้าขึ้น สบตาเขาอย่างไม่ลดละ ความกล้าหาญที่เธอเคยมีเมื่อสิบปีที่แล้วกลับมาอีกครั้ง ผสมผสานกับความมุ่งมั่นที่จะหาคำตอบให้ได้ เธอตัดสินใจพูดความจริง...บางส่วน "หม่อมฉันเพียงสงสัย...ว่าองค์ชายทรงมีเป้าหมายใดในการนำหม่อมฉันเข้ามาในตำหนักนี้" เธอถามอย่างกล้าหาญ ความกล้าได้กล้าเสียของเธอนั้นเป็นจุดแข็ง แต่ก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เธอเจ็บลึกได้เช่นกัน หลี่เหวินหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะของเขาเยือกเย็นและดูแคลน เหมือนนักล่าที่กำลังเจอเหยื่อที่พยายามแสดงบทนักล่าแทน "เจ้าฉลาดกว่าที่คิด" เขาพูด "แต่ความฉลาดนั้นอาจทำให้เจ้าตายได้" เขาลุกขึ้นยืน ก้าวเข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็ว บังคับให้เธอต้องถอยหลังไปจนแผ่นหลังชนกับผนังไม้แกะสลักเย็นเฉียบ เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้ากับผนังเหนือศีรษะเธอ กักขังเธอไว้ระหว่างตัวเขาและผนัง "ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้าใจ" เขาพูดเสียงกระซิบ ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขารดรินอยู่ข้างหู "ข้าต้องการให้เจ้าเชื่อฟัง" มืออีกข้างของเขายกขึ้นไล้สันกรามของเธอช้า ๆ นิ้วโป้งสัมผัสริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา "เจ้าจะอยู่ในตำหนักนี้ต่อไป" เขากระซิบต่อ "ไม่ต้องทำอะไร" "แค่อยู่" "และฟังในสิ่งที่ข้าสั่งทุกอย่าง" ไป๋หลิงพยักหน้าช้า ๆ ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจ แต่ความมุ่งมั่นที่จะล้างแค้นยังคงแข็งแกร่งกว่า เธอรู้ว่าเธอต้องใช้เขาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของเธอ แม้ว่าความรู้สึกของเธอจะเริ่มซับซ้อนเกินควบคุม และเธอกำลังจะจมดิ่งลงไปในวังวนอันตรายที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้น เขายังคงจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังรอคอยคำตอบอื่น หรือรอคอยปฏิกิริยาบางอย่างจากเธอ แต่ไป๋หลิงยังคงนิ่งเฉย พยายามไม่ให้ความรู้สึกใด ๆ ปรากฏบนใบหน้า หลี่เหวินคลายมือจากใบหน้าเธอ แล้วถอยห่างออกไปเล็กน้อย แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่เธอ "ไปทำงานของเจ้าเสีย" เขาพูดเสียงเรียบ "และจำไว้ว่า...ในตำหนักนี้ ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้" คำพูดนั้นเป็นเหมือนคำเตือนที่ชัดเจนที่สุด ไป๋หลิงโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะที่ยังจัดสำรับไม่เสร็จสิ้น เธอทำหน้าที่ของเธอต่ออย่างเงียบ ๆ แต่ในใจกลับวุ่นวาย เธอรู้ดีว่าเธอต้องระมัดระวังทุกก้าวเดิน ทุกคำพูด และทุกการกระทำ เพราะสายตาขององค์ชายเงาผู้นี้ กำลังจับจ้องเธออยู่ตลอดเวลา ราวกับเป็นเหยื่อที่เขาเลือกแล้ว และไม่ว่าเธอจะทำอะไร เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเขาได้ง่าย ๆ ไป๋หลิงตระหนักได้ว่าเกมนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง และเธอจะต้องเดินหมากให้เหมือนนักหมากที่ฉลาดที่สุด มิฉะนั้นเธอจะถูกปัดทิ้งโดยไม่ทันรู้ตัว ถูกกลืนกินไปในเงามืดของวังหลวงแห่งนี้ โดยที่ความแค้นของเธอยังไม่ได้รับการชำระสะสาง และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเธอ คืนนั้น ไป๋หลิงไม่อาจข่มตาหลับได้ แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กในห้องพักของเธอ สาดส่องเป็นริ้วลายบนพื้นไม้เก่า กลิ่นไม้หอมลอยเฉื่อยมาจากห้องชั้นบนขององค์ชายเงา ผสมผสานกับเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาดังเป็นจังหวะ ราวกับบทเพลงโหมโรงของโศกนาฏกรรมบทใหม่ และเธอ...ก็คิดถึงสายตาคู่นั้นไม่หยุด ในคืนแรกร่วมวัง ใจเธอกลับไม่คิดถึงความแค้นที่ฝังลึกมานานสิบปี แต่กลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนา...ที่อธิบายไม่ได้ แรงปรารถนาที่เกิดขึ้นกับบุรุษผู้เย็นชาและลึกลับผู้นั้น ซูเหมยอิง เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่ เคยเตือนเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "อย่าใช้หัวใจกับการล้างแค้น...เพราะหากมันเผาเจ้าก่อน ศัตรูจะเป็นคนดับไฟศพเจ้าเอง" แต่ตอนนี้ไป๋หลิงเริ่มไม่แน่ใจว่าหัวใจของเธอกำลังถูกเผาด้วยเปลวไฟของความแค้น หรือด้วยเปลวไฟของบุรุษผู้นี้กันแน่ ความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้กำลังทำให้เธอสับสนและหวาดกลัว เธอรู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่จะปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับภารกิจที่สำคัญถึงชีวิตเช่นนี้ แต่ยิ่งเธอพยายามผลักไส หลี่เหวินก็ยิ่งเข้ามาในห้วงความคิดของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเช้าวันถัดมา ไป๋หลิงได้รับคำสั่งให้เข้าไปจัดยาและตำราแพทย์ในห้องสมุดส่วนตัวของหลี่เหวิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ 'การเรียนรู้งานในตำหนัก' ภายใต้การกำกับดูแลของนางจิ้ง นางจิ้งเปิดประตูห้องสมุดให้เธอ แล้วยืนรออยู่ด้านนอกอย่างเงียบ ๆ ราวกับรูปปั้น ภายในห้องสมุดนั้นกว้างใหญ่โอ่อ่ากว่าที่ไป๋หลิงจินตนาการไว้มากนัก ชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน เรียงรายไปด้วยตำราโบราณมากมาย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การปกครอง ยุทธศาสตร์การสงคราม ไปจนถึงศาสตร์ลึกลับ และแน่นอนว่ามีตำราแพทย์แผนจีนที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี กลิ่นกระดาษเก่าผสมกับกลิ่นเครื่องหอมอ่อน ๆ ลอยอวลอยู่ในอากาศ สร้างบรรยากาศที่ขรึมขลังและน่าค้นหา ไป๋หลิงใช้โอกาสนี้ในการสำรวจ สายตาของเธอกวาดมองไปทั่วชั้นหนังสืออย่างละเอียด ไม่ใช่เพียงแค่จัดเรียงตำรา แต่พยายามหาข้อมูลที่จะเชื่อมโยงไปถึงเบื้องหลังการตายของครอบครัวเธอ เธอรู้ดีว่าข้อมูลสำคัญมักจะถูกซ่อนอยู่ในที่ที่ไม่คาดคิดเสมอ เธอดึงตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น เช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนปกออกอย่างเบามือ แล้วจัดเรียงกลับเข้าไปใหม่ เธอทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เดินไปตามชั้นหนังสือทีละแถว พยายามจดจำชื่อตำราและเนื้อหาคร่าว ๆ เท่าที่จะทำได้ ขณะที่เธอกำลังจัดเรียงตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งซึ่งมีปกหนังสีน้ำตาลเข้ม มือของเธอก็สัมผัสกับซองจดหมายที่ซ่อนอยู่ด้านในช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างปกกับสันหนังสือ หัวใจของไป๋หลิงเต้นรัวอย่างแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เธอหยิบซองจดหมายนั้นออกมาอย่างรวดเร็วและระมัดระวัง ภายในซองจดหมายมีจดหมายเก่าซีดจางฉบับหนึ่ง เขียนด้วยลายมือที่คุ้นเคย...ลายมือของพี่สาวเธอ หวังจินหลาน พี่สาวที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งอดีตเคยเป็นสนมขั้นสูงในวัง และเป็นกุญแจของความลับเบื้องหลังการล้มตระกูลไป๋ ใบหน้าของไป๋หลิงซีดเผือดลงทันที ความรู้สึกเย็นวาบแล่นไปทั่วร่าง ราวกับถูกน้ำแข็งสาดใส่ ไป๋หลิงเปิดจดหมายออกอ่านอย่างระมัดระวัง มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อย เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงความสัมพันธ์ของพี่สาวเธอกับ 'คนในวัง' อย่างคลุมเครือ และมีบางช่วงที่กล่าวถึง 'แผนการร้าย' ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก และการทรยศหักหลังที่ซับซ้อน พี่สาวของเธอดูเหมือนจะรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างที่นำไปสู่การล่มสลายของตระกูล เธออ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามทำความเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายไป เธอรู้ว่านี่คือหลักฐานสำคัญที่เธอค้นหามาตลอด สิบปีแห่งความแค้น สิบปีแห่งการรอคอย กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จู่ ๆ ประตูห้องสมุดก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ หลี่เหวินเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาเรียบเฉยเช่นเคย แต่ดวงตาคมกริบของเขากลับจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับถูกจับได้คาหนังคาเขา ไป๋หลิงรีบซ่อนจดหมายไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้าของเธอกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา แม้ในใจจะตื่นตระหนกเพียงใด "เจ้าทำอะไรอยู่" เขาถามเสียงเรียบไร้อารมณ์ แต่แฝงด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ไป๋หลิงก้มหน้าลงเล็กน้อย "จัดตำราเพคะ" เธอตอบเสียงราบเรียบ พยายามไม่ให้ความสั่นสะเทือนในใจเล็ดลอดออกมา "เรียบร้อยแล้วหรือ" เขาถามต่อ ก้าวเข้ามาในห้องอีกหนึ่งก้าว ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เธอไม่วางตา ราวกับกำลังใช้สายตาค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอซ่อนไว้ "ยังไม่เรียบร้อยเพคะ" เธอตอบ พยายามทำท่าทางเหมือนกำลังจัดเรียงตำราอยู่ หลี่เหวินก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว จนไป๋หลิงสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเขาที่แผ่ออกมา "ข้าเห็นเจ้าทำอะไรบางอย่าง" เขาพูด "สิ่งที่เจ้าซ่อนไว้ด้านหลังคืออะไร" ไป๋หลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ เธอรู้ว่าเขาฉลาด และสงสัยในตัวเธอมาตลอด แต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ "ไม่มีอะไรเพคะ" เธอตอบเสียงราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามรักษาสีหน้าให้ปกติ หลี่เหวินยื่นมือออกไปช้า ๆ แล้วจับปลายคางเธออย่างนุ่มนวลจนน่าแปลกใจ นิ้วโป้งของเขาลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบา บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น สบตาเขา ดวงตาของเขาคมกริบและลึกซึ้ง ราวกับต้องการเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ เพื่อค้นหาความลับที่เธอซ่อนไว้ "ข้าไม่ชอบคนโกหก ไป๋หลิง" เขาพูดซ้ำ เสียงกระซิบของเขาแผ่วเบา แต่กลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเธอ "ข้าถามอีกครั้ง...สิ่งที่เจ้าซ่อนคืออะไร" ความเงียบเข้ามาแทนที่ นานพอที่จะฆ่าคนขี้ขลาดให้ตายทั้งเป็น แต่ไป๋หลิงไม่ตาย เธอหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมสติที่เหลืออยู่ และตอบด้วยเสียงที่สั่นน้อยกว่าที่คาดไว้ "เป็นจดหมายเก่าของพี่สาวหม่อมฉันเพคะ" แววตาของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่เพราะเขาหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาเยือกเย็นและดูแคลน เหมือนนักล่าที่กำลังเยาะเย้ยเหยื่อที่กำลังสิ้นท่า "เจ้ายังคงซ่อนความจริงจากข้า" เขาพูด "แต่ไม่เป็นไร...ข้าจะค้นพบมันเอง" เขาปล่อยมือจากปลายคางเธอ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเขาที่มุมห้อง รินสุราใหม่อีกจอก แล้วยกขึ้นจิบอย่างช้า ๆ "เจ้าเข้าใจไหมว่าเหยื่อที่ฉลาดที่สุด...คือเหยื่อที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางรอด แต่ยังทำท่าเหมือนมีแผนสำรองตลอดเวลา" ไป๋หลิงยืนนิ่งอยู่ในห้องสมุด เธอไม่พูดอะไร ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เธอกำลังเป็นเหยื่อที่ฉลาดที่สุดในสายตาของเขา และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะเกมนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง และเธอต้องเดินหมากให้เหมือนนักหมากที่ฉลาดที่สุด มิฉะนั้นจะถูกปัดทิ้งโดยไม่ทันรู้ตัว ถูกกลืนกินไปในเงามืดของวังหลวงแห่งนี้ โดยที่ความแค้นของเธอยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แต่ไป๋หลิงรู้ดีว่าจดหมายฉบับนี้คือแสงสว่างเดียวที่เธอมีอยู่ เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาเธอไปสู่ความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของตระกูลไป๋ เธอจะต้องปกป้องมันไว้ให้ได้ และจะต้องใช้มันเป็นอาวุธในการแก้แค้น ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เธอเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหวินอีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ไร้อารมณ์ใด ๆ แต่ไป๋หลิงกลับรู้สึกถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมองข้ามสิ่งเล็กน้อยได้ และการที่เธอพยายามปิดบังจดหมายฉบับนี้ จะต้องนำพาความสงสัยของเขามาสู่ตัวเธอมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไป๋หลิงก็ไม่กลัว เธอได้เตรียมใจไว้แล้วสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ การต่อสู้ที่ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความแค้น แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ตราบใดที่ลมหายใจยังคงมีอยู่แสงเงินของรุ่งอรุณทอดยาวผ่านช่องหน้าต่างไม้ฉลุ สาดส่องเข้ามาในห้องที่เพิ่งผ่านพ้นค่ำคืนอันยาวนาน กลิ่นกำยานจาง ๆ ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมผสานกับกลิ่นกายของบุรุษผู้ครอบครองทั้งห้องนี้ และบางส่วนที่เริ่มกัดกินเข้าไปในใจของไป๋หลิง เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนผ้าปูเตียงสีดำสนิท พยายามหลับตาแน่นเพื่อขับไล่ภาพสัมผัสอันเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้พ้นจากห้วงความคิด แต่ร่างกายกลับยังคงรับรู้ถึงความร้อนที่ซึมซาบเข้ามา แรงบีบแน่นบนข้อมือทั้งสองข้างยังคงทิ้งร่องรอยจาง ๆ ไว้ เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน เธอตื่นขึ้นมาในห้องนี้อีกครั้ง ไม่ได้ถูกขับไล่ ไม่ได้ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ได้ 'เป็นของเขา' อย่างสมบูรณ์ เธอกลายเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างการเป็นของเขาหรือไม่ใช่ และนั่น...น่ากลัวที่สุด เพราะมันหมายความว่าเธอยังคงเป็นตัวหมากในเกมที่เธอไม่เข้าใจทั้งหมด และความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับคนที่ไม่ควรจะรู้สึกด้วย กำลังจะทำให้เกมนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เสียงขยับตัวจากอีกฟากหนึ่งของห้องดึงสติของไป๋หลิงให้กลับคืนมา หลี่เหวินยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กกลางห้อง มือยังคงถื
“แกต้องไม่ตายดี...” เสียงสุดท้ายของมารดาก่อนสิ้นใจในอ้อมแขนเธอ ยังคงดังสะท้อนในหัวใจไป๋หลิงไม่เคยจาง — กลิ่นคาวเลือดไม่เคยหอมหวาน แต่ในคืนนั้น—มันกลับทำให้ไป๋หลิงรู้สึกถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ชัยชนะ “เผาให้หมด!” เสียงนั้นไม่ใช่ของเธอ แต่ดังขึ้นในหัว เธอยืนอยู่ในเงามืดหลังแผ่นผ้าม่านสีเลือดหมูที่หลุดจากเสาไม้ระแนง เรือนใหญ่ของตระกูลไป๋ถูกแผดเผา เสียงร้องของเหล่าคนรับใช้ปะปนกับเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นคือตัวเธอเอง สิบปีก่อน “เจ้าจะทำอะไร!” “แม่! แม่หนีไป!” เลือดร้อนพุ่งสาดใส่หน้าของไป๋หลิง มือของนางเต็มไปด้วยคราบสีแดงฉาน แต่คนที่กรีดร้องไม่ใช่เธอ เป็นแม่—ผู้ซึ่งกำลังจะถูกดึงออกไปจากอ้อมแขน “พวกเจ้าฆ่าผิดคน! เราไม่มีทางทรยศ!” ไม่มีใครฟัง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงกระซิบครั้งสุดท้ายจากริมฝีปากมารดา เบาแผ่วเหมือนลมหายใจสุดท้าย > “แกต้องไม่ตายดี…” — ปัจจุบัน “ตื่นได้แล้ว นังไป๋” เสียงแหบต่ำเรียกเธอจากฝันร้าย ไป๋หลิงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หอบหายใจรัว ตะเกียงน้ำมันที่หรี่ไส้จนแสงพร่า สะท้อนใบหน้าเหี่
ห้องเล็ก ๆ ในหอนางโลมแห่งนี้ แสงเทียนสลัว ๆ กระทบผนังไม้เก่าเก็บ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งเดินวนไปมาในความมืด ปลายเท้ากระแทกพื้นไม้ดังตึ้บ ๆ เป็นจังหวะเงียบ ๆ คล้ายกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระทึกในอกไป๋หลิง ก้าวย่างด้วยความระมัดระวัง ทุกสายตาที่มองมาในเรือนนี้ล้วนเป็นดั่งกับดักลวง แต่ในใจเธอเต็มไปด้วยไฟแค้นที่ร้อนแรงกว่าเปลวเทียนทั้งหลายเสียอีก“นี่ไม่ใช่แค่การหนี” เสียงกระซิบในใจของเธอดังก้อง “นี่คือการรอคอย… รอวันที่เธอจะได้ล้างแค้น”เธอไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาในเรือนโลมแห่งนี้ หากแต่เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเคราะห์กรรมที่โหดร้ายของตระกูลไป๋ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในคืนหนึ่งที่ไม่มีวันลืมคืนที่คนที่เธอรัก ถูกพรากไปอย่างเลือดเย็น และเธอถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏสายน้ำตาที่เคยไหลร่ำไห้ได้แห้งเหือดไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นที่เผาผลาญหัวใจให้ลุกเป็นไฟในโลกที่เต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง การลอบสังหาร และเกมอำนาจที่ไร้ความปราณี ไป๋หลิงเลือกที่จะเป็นนักล่าในเงามืด เธอจะไม่ยอมตายอย่างไร้เกียรติและไม่มีใครจดจำ“ถ้าฉันต้องเสียทุกอย่างเพื่อความยุติธรรม ฉันก็จะทำ” เ