“แกต้องไม่ตายดี...”
เสียงสุดท้ายของมารดาก่อนสิ้นใจในอ้อมแขนเธอ ยังคงดังสะท้อนในหัวใจไป๋หลิงไม่เคยจาง — กลิ่นคาวเลือดไม่เคยหอมหวาน แต่ในคืนนั้น—มันกลับทำให้ไป๋หลิงรู้สึกถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ชัยชนะ “เผาให้หมด!” เสียงนั้นไม่ใช่ของเธอ แต่ดังขึ้นในหัว เธอยืนอยู่ในเงามืดหลังแผ่นผ้าม่านสีเลือดหมูที่หลุดจากเสาไม้ระแนง เรือนใหญ่ของตระกูลไป๋ถูกแผดเผา เสียงร้องของเหล่าคนรับใช้ปะปนกับเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นคือตัวเธอเอง สิบปีก่อน “เจ้าจะทำอะไร!” “แม่! แม่หนีไป!” เลือดร้อนพุ่งสาดใส่หน้าของไป๋หลิง มือของนางเต็มไปด้วยคราบสีแดงฉาน แต่คนที่กรีดร้องไม่ใช่เธอ เป็นแม่—ผู้ซึ่งกำลังจะถูกดึงออกไปจากอ้อมแขน “พวกเจ้าฆ่าผิดคน! เราไม่มีทางทรยศ!” ไม่มีใครฟัง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงกระซิบครั้งสุดท้ายจากริมฝีปากมารดา เบาแผ่วเหมือนลมหายใจสุดท้าย > “แกต้องไม่ตายดี…” — ปัจจุบัน “ตื่นได้แล้ว นังไป๋” เสียงแหบต่ำเรียกเธอจากฝันร้าย ไป๋หลิงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หอบหายใจรัว ตะเกียงน้ำมันที่หรี่ไส้จนแสงพร่า สะท้อนใบหน้าเหี่ยวย่นของซูเหมยอิง หญิงเจ้าของหอนางโลม “ลี่ฮวา” แห่งตะวันตกเฉียงเหนือ “ข้าฝันอีกแล้ว...” ไป๋หลิงเอ่ยเบา ๆ น้ำเสียงเจือความร้าวราน ซูเหมยอิงไม่พูดอะไร นางเดินเข้ามาช้า ๆ แล้ววางผ้าห่มเนื้อดีลงบนตักของหญิงสาว “สิบปีแล้ว เจ้าเก็บความแค้นไว้ได้นานกว่าที่ข้าคิด” “แค้นมันไม่หมดอายุ” “จริงสิ...” ซูเหมยอิงแค่นหัวเราะ นางเคยเป็นนางโลมที่ดังที่สุดในนครหลวงมาก่อน ก่อนจะหลบหนีออกมาเปิดหอของตัวเอง เพราะรู้มากเกินไป และเพราะเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของไป๋หลิงในวันนั้น จึงช่วยชีวิตเธอไว้ “พรุ่งนี้เจ้าเข้าเมืองไปเถอะ ไปหานางจิ้งในวัง บอกว่าส่งโดยข้า” ไป๋หลิงหันขวับ “นางจิ้ง...” “นางรับใช้ขององค์ชายเงา” หลี่เหวิน องค์ชายผู้ไม่มีวันได้ครองบัลลังก์ แต่กลับมีอำนาจลับที่ราชาแท้ ๆ ยังต้องยำเกรง “วังนั่นคือรังของศัตรู...” “ถูกต้อง และเจ้าจะเป็นงูที่คลานเข้าไปในรังนั่น” — สองวันต่อมา ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบซากุระปลิวว่อนในลานฝึก หญิงสาวในชุดนางรับใช้ใหม่เอี่ยมเดินอย่างเงียบงันไปตามทางเดินหิน ดวงตาของนางมืดหม่น นิ้วมือเย็นเฉียบ แม้แสงแดดจะแรงจ้า “ไป๋หลิงใช่หรือไม่” เสียงเรียบเย็นถามขึ้นจากด้านหลังม่านไม้ไผ่ ไป๋หลิงทรุดตัวลงคุกเข่าทันที “เพคะ” “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีเช่นเจ้ามีไว้เพื่ออะไรในวังนี้” “เพื่อรับใช้เจ้าชีวิตและร่างกายเพคะ” “ดี...ข้าชอบคนเข้าใจเร็ว” ม่านถูกเปิดออก ไป๋หลิงก้มหน้า แต่เธอรู้สึกถึงสายตาคู่นั้น แหลมคม เยือกเย็น และ...ล่วงล้ำ “เงยหน้าขึ้น” เสียงนั้นต่ำและเยือก ไป๋หลิงเงยหน้าอย่างเชื่องช้า และในวินาทีนั้น—เธอได้สบตากับชายที่เป็นทั้งเครื่องมือและเป้าหมาย หลี่เหวิน งามอย่างน่ากลัว สง่างามอย่างเงียบสงบ แต่ใต้ผ้าคลุมดำสนิทนั้น มีเพลิงบางอย่างเร้นอยู่ “หากเจ้าทำได้ดี ข้าอาจให้เจ้าได้มากกว่าความอยู่รอด” เขาพูดพลางเอื้อมปลายนิ้วมาใต้คางเธอ ปลายนิ้วเย็นเฉียบปานเหล็ก ไป๋หลิงสะดุ้ง “เจ้าสั่น...กลัวหรือ?” “…ไม่ใช่เพคะ” “เช่นนั้นเจ้าสั่นเพราะอะไร” เธอตอบไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ ว่าทำไมเพียงแค่ถูกมองด้วยดวงตาคู่นั้น ร่างของเธอจึงร้อนรุ่มผิดปกติ — คืนนั้นในห้องรับใช้เล็ก ๆ ไป๋หลิงไม่อาจข่มตาหลับได้ เสียงฝนตกกระทบหลังคาดังเป็นจังหวะ กลิ่นไม้หอมลอยเอื่อยจากห้องชั้นบนขององค์ชายเงา และเธอ...ก็คิดถึงสายตาคู่นั้นไม่หยุด ในคืนแรกร่วมวัง—ใจเธอกลับไม่คิดถึงแค้น แต่กลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนา...ที่อธิบายไม่ได้ > “อย่าใช้หัวใจนำการล้างแค้น… เพราะหากมันเผาเจ้าก่อน ศัตรูจะเป็นคนดับไฟศพเจ้าเอง” — ซูเหมยอิง — ยามซื่อ (ประมาณตีหนึ่ง) เสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตูห้องเล็ก ไป๋หลิงสะดุ้งตื่น เธอรีบลุกขึ้นและเปิดประตูอย่างเงียบที่สุด ผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องคือ “นางจิ้ง” หญิงรับใช้ประจำตัวองค์ชายเงา ใบหน้าของนางไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอารมณ์ มีเพียงดวงตาที่ไม่ต่างจากคมมีด “ไปเถอะ องค์ชายรอเจ้าอยู่” — ทางเดินไม้ถูกปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก ไป๋หลิงเดินตามหลังนางจิ้งอย่างเงียบเชียบ ในมือของเธอไม่มีอะไร นอกจากใจที่เต้นแรงเกินไปจนเธอแทบกลัวว่ามันจะได้ยินเสียง ห้องที่อยู่ลึกที่สุดของตำหนัก “หยินหลาน” คือห้องที่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปหากไม่ถูกเรียก แต่ในคืนนี้—เธอกำลังถูกเชิญ ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ ภายในห้องมีเพียงแสงเทียนจากโคมหิน กลิ่นกำยานจาง ๆ โชยมาเป็นระยะ ม่านบางที่ปลิวไหวเผยให้เห็นร่างสูงสง่าในชุดคลุมยาวสีดำสนิท หลี่เหวินนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กกลางห้อง ในมือถือจอกสุรา สายตาของเขาไม่ได้หันมามองเธอทันที เขาเพียงพูดเบา ๆ ขณะรินสุราให้ตัวเอง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาทำไม” “หม่อมฉันไม่กล้าคาดเดาเพคะ” “เพราะถ้าเจ้าคาดเดาผิด—เจ้าจะไม่มีวันได้กลับออกไปจากห้องนี้” เงียบงัน ไป๋หลิงชำเลืองมองไหล่กว้างของชายตรงหน้า ขนลุกวาบ “เข้ามา” เขาพูดเพียงคำเดียว และเธอก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะเธอไว้ใจเขา แต่เพราะเธอเลือกแล้วว่าจะเอาตัวรอดจากวังนี้ ด้วยทุกสิ่งที่เธอมี—รวมถึงร่างกาย “ถอดเสื้อคลุมออก” ไป๋หลิงชะงักเพียงชั่วครู่ แล้วก้มศีรษะต่ำ ปลายนิ้วเกี่ยวสายผ้าแพรตรงบ่าช้า ๆ ผืนผ้าหลุดร่วงลงกับพื้นอย่างไร้เสียง ร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวสะท้อนในดวงตาของหลี่เหวิน เขาหันมาอย่างเงียบงัน ดวงตาของเขานิ่งสนิท ราวกับกำลังวิเคราะห์ ไม่ใช่หลงใหล “เจ้ามีบาดแผล...เก่า” เขาพูดอย่างเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงนั้นเจืออารมณ์บางอย่าง สายตาเขาหยุดที่รอยแผลยาวกลางหลัง ไป๋หลิงกัดฟันแน่น “ของฝากจากอดีตเพคะ” “อดีตมักหลอกหลอนร่างกายก่อนจะหลอกหลอนหัวใจ” เขาพูดราวกับรู้ดี จากนั้น...หลี่เหวินวางจอกสุราลงบนโต๊ะ เขาลุกขึ้น และในก้าวเดียว เขาอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นเครื่องหอมผสมเหงื่อจาง ๆ สัมผัสของนิ้วมือที่ไม่รีบร้อน เขาเอื้อมมือลูบรอยแผลบนหลังเธอช้า ๆ “เจ้าเคยถวายตัวหรือยัง” “ยังเพคะ” “ข้าต้องเชื่อเจ้าไหม” “ไม่เพคะ...แต่อย่าดูถูกผู้หญิงที่มีเป้าหมายเลย” “หึ...” เขาหัวเราะเบา ๆ จากนั้น—เขาดึงเธอเข้าหาตัว อย่างง่ายดายจนเธอไม่ทันตั้งตัว เรือนร่างบางถูกโอบไว้แน่น และริมฝีปากของเขาก็แนบลงที่ต้นคอเธอ แรง… เย็น… แต่แฝงความร้อนที่พร้อมจะเผาทุกสิ่ง — เธอคิดว่าร่างกายจะต่อต้าน แต่เปล่าเลย เพียงปลายลิ้นที่แตะผิวหนัง ความวูบวาบก็แล่นผ่านกลางอก เส้นผมของเขาระไปบนบ่าขาว เสียงหอบหายใจแผ่วชิดหลังหู “เจ้าไม่สั่นเลย” “เพราะหม่อมฉันไม่กลัวอีกต่อไป” “หรือเพราะเจ้าเริ่มอยาก...ให้ข้าทำมากกว่านี้?” คำพูดของเขาราวกับปลายมีดที่เชือดความอดกลั้น และก่อนเธอจะทันตอบอะไร เขาก็ผลักเธอลงบนเบาะนุ่มด้านหลัง ร่างสูงทาบทับลงมาอย่างไร้ความลังเล “จงเรียนรู้...ว่าในวังนี้ ไม่มีคำว่าปลอดภัย” เขากระซิบ ก่อนที่เสียงเนื้อกระทบกันจะเริ่มดังก้องห้อง — ราตรีนั้นยาวนาน เต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจ เสียงครวญครางที่ถูกกลืนหาย และแรงบีบแน่นบนข้อมือทั้งสองข้างของเธอ ไป๋หลิงร้องไห้...ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะเธอรู้ว่า—เธอกำลังเริ่มรู้สึก กับคนที่เธอควรใช้เป็น “เครื่องมือ” ยามซื่อปลายยาม — ยามสามต้น (ตีสองกว่า ๆ) ไป๋หลิงก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่กลิ่นกำยานจาง ๆ ยังลอยล้อม เสียงปิดประตูตามหลังเธอดัง “ครืด” อย่างเบา แต่ทุกอย่างในใจเธอกลับดังกว่า เขาไม่ได้หันมามองเธอทันที เพียงยกจอกสุราขึ้นแตะริมฝีปาก เงียบ ทุกอย่างรอบตัวเงียบจนเสียงลมหายใจเธอดังผิดปกติ “เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรกับข้าไหม” เขาพูดขึ้นกะทันหัน โดยยังไม่แม้แต่หันกลับมามอง เสียงของเขาทุ้ม เย็นชา และมั่นใจในคำถามอย่างไม่น่าให้อภัย ไป๋หลิงก้มหน้าลงต่ำ “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน มิอาจเทียบฝ่าบาทได้แม้ปลายเท้าเพคะ” “แต่เจ้ากล้าทำตัวแตกต่างจากคนอื่น” เขาลุกขึ้น ผ้าแพรที่เขาคลุมไหล่ตกลงพื้น เผยให้เห็นร่างสูงในชุดคลุมที่เปิดหน้าอกให้เห็นลายรอยสักสีดำหม่น ลายที่สะกดสายตาเธอเหมือนคาถา แต่ไม่ใช่แค่เพราะลาย—มันคือแววตา เขาเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ เพียงแค่หนึ่งช่วงแขน ไป๋หลิงไม่กล้าขยับ “เจ้าทำให้ข้าสนใจ ตั้งแต่วันที่เจ้าก้าวเข้าวังมาแล้ว” “…” “ไม่ใช่เพราะเจ้าสวย… แต่เพราะเจ้ามีแววตาแบบเดียวกับคนที่ข้าเคยฆ่า” คำพูดของเขาแทงทะลุหัวใจ มันหนาวขึ้นในอก ทั้งที่อุณหภูมิในห้องยังเท่าเดิม เขาจ้องเธอเหมือนอยากเจาะลึกความคิดออกมาเป็นคำพูด “เจ้ามาเพราะความสมัครใจ หรือถูกสั่งมา” ไป๋หลิงกำมือแน่น เขารู้ เขาสงสัย และเขาไม่ใช่คนโง่ “หม่อมฉันมา… เพราะอยากถวายตัวแด่องค์ชายเพคะ” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เธอได้กลิ่นสุราบาง ๆ จากลมหายใจของเขา “โกหก” ไป๋หลิงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เสียงหัวใจตัวเองดังไปถึงขมับ หลี่เหวินยื่นมือออกมาช้า ๆ แล้วจับปลายคางเธออย่างนุ่มนวลจนน่าแปลกใจ เขาเชยหน้าขึ้น มองเข้าไปในตาเธอโดยไม่กระพริบ “ข้าถามอีกครั้ง—เจ้ามาเพราะอะไร” ความเงียบค่อย ๆ กลืนกินพื้นที่ นานพอจะฆ่าคนขี้ขลาดให้ตายทั้งเป็น แต่ไป๋หลิงไม่ตาย เธอหายใจเข้า และตอบด้วยเสียงที่สั่นน้อยกว่าที่คาด “มาเพื่อแลกชีวิตคนในหมู่บ้านเพคะ” นั่นคือครั้งแรกที่แววตาขององค์ชายหลี่เหวินเปลี่ยน ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่เพราะเขาหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาเยือกเย็นและดูแคลน เหมือนผู้ล่าเจอเหยื่อที่พยายามแสดงบทนักล่าแทน “พวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจว่าข้าเป็นใคร และที่นี่เป็นที่แบบไหน” เขาปล่อยมือจากปลายคาง เดินกลับไปที่โต๊ะ แล้วรินสุราใหม่อีกจอก “เจ้ารู้ไหมว่าเหยื่อที่ฉลาดที่สุด… คือเหยื่อที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางรอด แต่ยังทำท่าเหมือนมีแผนสำรองตลอดเวลา” “แล้วฝ่าบาททรงคิดว่า หม่อมฉันมีแผนหรือไม่เพคะ” เธอถามกลับ เขาชะงักเล็กน้อย แล้วหันกลับมาอีกครั้ง “ไม่… เจ้ารอดได้เพราะข้าเบื่อ ไม่ใช่เพราะเจ้าฉลาด” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ไม่มีคำถาม มีเพียงการกระทำ หลี่เหวินดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขน ไม่รุนแรง แต่ก็ไม่อ่อนโยนพอจะเรียกว่า “ปลอบ” “เจ้าจะอยู่ในตำหนักนี้ต่อไป” เขากระซิบ “ไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ และฟังในสิ่งที่ข้าสั่งทุกอย่าง” “แล้วคนในหมู่บ้านของข้า…” “ยังไม่ตาย—แต่ถ้าเจ้าทำตัวไม่น่ารำคาญเกินไป อาจจะไม่ต้องตายเร็ว” ไป๋หลิงกลืนน้ำลายอีกครั้ง คราวนี้ลำบากกว่าเดิม เพราะเธอรู้แล้วว่า เกมนี้เพิ่งเริ่มต้น— และเธอไม่ใช่นักหมาก เธอเป็นหมากที่ต้องเดินให้เหมือนนักหมาก ไม่อย่างนั้นจะถูกปัดทิ้งโดยไม่ทันรู้ตัว — ก่อนรุ่งสาง หลี่เหวินนั่งอยู่บนเตียง เส้นผมยาวของเขาหลุดออกจากมวยผมมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นรอยแผลจาง ๆ บริเวณต้นคอ ราวกับเป็นรอยดาบ หรือ… “หลับตา” เขาพูดโดยไม่หันกลับมามอง ไป๋หลิงทำตาม เธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร และเธอไม่มีสิทธิ์ถาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ จะไม่ใช่การ “ถวายตัว” แต่มันคือการยื่นตัวให้เสือขบกัด และหวังว่าเสือตัวนั้นจะไม่ขย้ำจนสิ้นใจ — คืนนั้นทั้งคืน ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงร่ำไห้ ไม่มีเสียงร่ำรวย มีเพียงเสียงลมหายใจของสองคน ที่ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของมากกว่าใคร และในตอนเช้า ไป๋หลิงก็ยังตื่นขึ้นมาในห้องนั้น บนผืนผ้าปูเตียงสีดำ และกลิ่นกำยานที่ยังไม่หายไป เธอไม่ถูกขับไล่ ไม่ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ได้ “เป็นของเขา” อย่างสมบูรณ์ เธอกลายเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลาง และนั่น… น่ากลัวที่สุดแสงเงินของรุ่งอรุณทอดยาวผ่านช่องหน้าต่างไม้ฉลุ สาดส่องเข้ามาในห้องที่เพิ่งผ่านพ้นค่ำคืนอันยาวนาน กลิ่นกำยานจาง ๆ ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมผสานกับกลิ่นกายของบุรุษผู้ครอบครองทั้งห้องนี้ และบางส่วนที่เริ่มกัดกินเข้าไปในใจของไป๋หลิง เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนผ้าปูเตียงสีดำสนิท พยายามหลับตาแน่นเพื่อขับไล่ภาพสัมผัสอันเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้พ้นจากห้วงความคิด แต่ร่างกายกลับยังคงรับรู้ถึงความร้อนที่ซึมซาบเข้ามา แรงบีบแน่นบนข้อมือทั้งสองข้างยังคงทิ้งร่องรอยจาง ๆ ไว้ เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน เธอตื่นขึ้นมาในห้องนี้อีกครั้ง ไม่ได้ถูกขับไล่ ไม่ได้ถูกฆ่า แต่ก็ไม่ได้ 'เป็นของเขา' อย่างสมบูรณ์ เธอกลายเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างการเป็นของเขาหรือไม่ใช่ และนั่น...น่ากลัวที่สุด เพราะมันหมายความว่าเธอยังคงเป็นตัวหมากในเกมที่เธอไม่เข้าใจทั้งหมด และความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับคนที่ไม่ควรจะรู้สึกด้วย กำลังจะทำให้เกมนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เสียงขยับตัวจากอีกฟากหนึ่งของห้องดึงสติของไป๋หลิงให้กลับคืนมา หลี่เหวินยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กกลางห้อง มือยังคงถื
“แกต้องไม่ตายดี...” เสียงสุดท้ายของมารดาก่อนสิ้นใจในอ้อมแขนเธอ ยังคงดังสะท้อนในหัวใจไป๋หลิงไม่เคยจาง — กลิ่นคาวเลือดไม่เคยหอมหวาน แต่ในคืนนั้น—มันกลับทำให้ไป๋หลิงรู้สึกถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ชัยชนะ “เผาให้หมด!” เสียงนั้นไม่ใช่ของเธอ แต่ดังขึ้นในหัว เธอยืนอยู่ในเงามืดหลังแผ่นผ้าม่านสีเลือดหมูที่หลุดจากเสาไม้ระแนง เรือนใหญ่ของตระกูลไป๋ถูกแผดเผา เสียงร้องของเหล่าคนรับใช้ปะปนกับเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นคือตัวเธอเอง สิบปีก่อน “เจ้าจะทำอะไร!” “แม่! แม่หนีไป!” เลือดร้อนพุ่งสาดใส่หน้าของไป๋หลิง มือของนางเต็มไปด้วยคราบสีแดงฉาน แต่คนที่กรีดร้องไม่ใช่เธอ เป็นแม่—ผู้ซึ่งกำลังจะถูกดึงออกไปจากอ้อมแขน “พวกเจ้าฆ่าผิดคน! เราไม่มีทางทรยศ!” ไม่มีใครฟัง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงกระซิบครั้งสุดท้ายจากริมฝีปากมารดา เบาแผ่วเหมือนลมหายใจสุดท้าย > “แกต้องไม่ตายดี…” — ปัจจุบัน “ตื่นได้แล้ว นังไป๋” เสียงแหบต่ำเรียกเธอจากฝันร้าย ไป๋หลิงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หอบหายใจรัว ตะเกียงน้ำมันที่หรี่ไส้จนแสงพร่า สะท้อนใบหน้าเหี่
ห้องเล็ก ๆ ในหอนางโลมแห่งนี้ แสงเทียนสลัว ๆ กระทบผนังไม้เก่าเก็บ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งเดินวนไปมาในความมืด ปลายเท้ากระแทกพื้นไม้ดังตึ้บ ๆ เป็นจังหวะเงียบ ๆ คล้ายกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระทึกในอกไป๋หลิง ก้าวย่างด้วยความระมัดระวัง ทุกสายตาที่มองมาในเรือนนี้ล้วนเป็นดั่งกับดักลวง แต่ในใจเธอเต็มไปด้วยไฟแค้นที่ร้อนแรงกว่าเปลวเทียนทั้งหลายเสียอีก“นี่ไม่ใช่แค่การหนี” เสียงกระซิบในใจของเธอดังก้อง “นี่คือการรอคอย… รอวันที่เธอจะได้ล้างแค้น”เธอไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาในเรือนโลมแห่งนี้ หากแต่เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเคราะห์กรรมที่โหดร้ายของตระกูลไป๋ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในคืนหนึ่งที่ไม่มีวันลืมคืนที่คนที่เธอรัก ถูกพรากไปอย่างเลือดเย็น และเธอถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏสายน้ำตาที่เคยไหลร่ำไห้ได้แห้งเหือดไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นที่เผาผลาญหัวใจให้ลุกเป็นไฟในโลกที่เต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง การลอบสังหาร และเกมอำนาจที่ไร้ความปราณี ไป๋หลิงเลือกที่จะเป็นนักล่าในเงามืด เธอจะไม่ยอมตายอย่างไร้เกียรติและไม่มีใครจดจำ“ถ้าฉันต้องเสียทุกอย่างเพื่อความยุติธรรม ฉันก็จะทำ” เ