“ซวยแล้ว” นาร์วินพูดพึมพำออกมาเมื่อเสียงโทรศัพท์ของตัวเองที่ใช้ถ่ายคลิปวิดีโอในเหตุการณ์ตรงหน้าดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ต้องรีบวิ่งหนีไปจากตรงนี้ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะตามมาเจอ
ก่อนหน้านี้รถตนเสีย บวกกับได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเลยตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นมาจนได้เห็นภาพชายคนหนึ่งกำลังถูกซ้อมอย่างหนัก เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปเก็บเอาไว้ให้ตำรวจ แต่โชคดันไม่เข้าข้าง เพราะเสียงโทรศัพท์ตนดันดังขึ้นมาเสียก่อน
บุคคลที่ใช้ปืนจ่อหน้าชายคนนั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะคือมาร์คิน นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแสนเพอร์เฟกต์ที่ใครๆ ต่างอยากร่วมทำธุรกิจด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าธาตุแท้ของเขาจะเป็นคนอย่างนี้
กึก!
นาร์วินหยุดชะงัก ใบหน้าซีดเผือดราวไก่ต้ม สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมองใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมปืนในมือ
พรึ่บ
“ปล่อยกูนะเว้ย!” นาร์วินร้องโวยวายเมื่อถูกชายฉกรรจ์พุ่งเข้ามาล็อกตัวจากด้านหลัง บังคับให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้ามาร์คิน
“เมื่อกี้เห็นอะไรไปบ้าง” มาร์คินเอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงเรียบ
“ผะ…ผม…”
“หึ สงสัยมึงคงอยากถูกส่งกลับบ้านเกิดแบบมัน”
นาร์วินหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่มาเฟียหนุ่มพูดออกมาพลางลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้จักมาร์คินในคราบนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา คลิปที่ผมถ่ายเอาไว้ตอนคุณกำลังทำร้ายผู้ชายคนนั้นจะถูกส่งถึงตำรวจทันที”
มาร์คินแสยะยิ้ม คำขู่ของนาร์วินไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกหวาดกลัวของเขาเลยสักนิด คนตรงหน้าคิดผิดที่แอบถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เอาไว้ นอกจากหลักฐานพวกนั้นจะทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ตัวของมันเองจะเหลือเพียงแค่…ร่างไร้วิญญาณ
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ของนาร์วินดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวพยายามปิดเครื่องเพราะเบอร์บนหน้าจอเป็นของพี่สาว สาเหตุที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากดึงพี่ตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ทันจะกดปิดเครื่อง โทรศัพท์ในมือก็ถูกมาร์คินแย่งไปปัดหน้าจอรับสาย
พรึ่บ
(ส่งคลิปคนตีกันมาให้ฉันทำไมตอนเที่ยงคืนเนี่ย)
“….” มาร์คินไม่ได้ตอบอะไร ยืนฟังเจ้าของน้ำเสียงจากโทรศัพท์ในมือเงียบๆ เสียงที่ดังออกมาทำให้มาเฟียหนุ่มรู้สึกคุ้นหูไม่น้อย
(อะไรเนี่ย รับสายแล้วก็ไม่พูด นี่กวนกันอยู่ใช่ไหม?)
“เอาโทรศัพท์คืนมานะเว้ย!” นาร์วินพยายามดิ้นออกจากพันธนาการของชายฉกรรจ์ที่ล็อกตัวตนเองเอาไว้เพื่อแย่งโทรศัพท์จากมาร์คินคืนมา
นาร์มินที่กำลังถือสายอยู่นิ่งชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน เริ่มรับรู้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติกับน้องชาย พยายามตั้งสติแล้วขยับเรียวปากพูดบางอย่างหลังจากเงียบไปสองนาน
(ฮะ…ฮัลโหลนาร์วิน)
“อยากคุยกับเจ้าของโทรศัพท์ไหม?”
(แกเป็นใคร ทำไมถึงมารับสายแทนน้องชายฉันได้!)
“เป็นใครมันไม่สำคัญหรอกนะ”
(แกห้ามทำอะไรน้องชายฉันเด็ดขาดเลยนะ!)
นาร์มินเริ่มมีโทนเสียงที่สั่น มาเฟียหนุ่มยิ้มมุมปาก ก่อนจะปรายสายตาไปมองน้องชายของปลายสายที่ถูกคนของตนล็อกตัวเอาไว้
“ฉันคงทำตามคำขอของเธอไม่ได้ เพราะน้องชายของเธอ…ดันมาเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็นน่ะสิ”
(แกจะทำอะไรน้องชายฉัน!)
“เคยได้ยินคำนี้ไหม? คนตาย…พูดไม่ได้”
(อย่าทำอะไรน้องชายฉันนะ!)
“แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอบอกด้วย?”
(แกต้องการอะไร เงินเหรอ? ต้องการเท่าไรว่ามา ฉันจะเอาไปให้ตอนนี้เลย แต่ขออย่างเดียว อย่าทำอะไรน้องชายฉัน)
นาทีนี้เธอยอมทุกอย่าง ขอแค่ผู้ชายคนนี้ไม่ทำอะไรน้องชายของเธอ แต่จะว่าไป น้ำเสียงของปลายสายฟังดูคุ้นหูพิกล
“เงินมีมากแล้ว”
(งั้นแกต้องการอะไร)
“อยากให้ฉันปล่อยน้องชายเธอไปเหรอ? หึ…ถ้าอย่างนั้นก็เอาตัวเธอมาแลกสิ”
(….) เธอนิ่งชะงักลงไปอัตโนมัติเมื่อปลายสายพูดประโยคนั้นออกมา ตอนนี้เธอกำลังประสบปัญหาทางตันที่ไม่สามารถเดินไปทางไหนได้ ครั้นจะเลือกน้องชายก็ต้องเอาชีวิตตัวเองไปแลก แต่ถ้าหากไม่ยอมทำนาร์วินก็จะตกอยู่ในอันตราย
เธอเลือกอะไรได้ไหม…
“พี่นาร์อย่ามานะพี่! คนพวกนี้มันอันตราย..อั๊ก!”
เธอหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เสียงที่ดังออกมาจากปลายสายคือเสียงน้องชาย ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าตอนนี้นาร์วินกำลังถูกคนกลุ่มนี้ทำร้ายร่างกาย
“ไม่ต้องเอาตาย เอาแค่สลบ”
(สะ…สารเลว!)
“ฉันไม่มีเวลามายืนรอคำตอบจากเธอทั้งคืน ถ้าไม่ยอมเอาตัวเองมาแลก…คืนนี้น้องชายเธอจะเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณ”
(ก็ได้! แกจะให้ฉันไปเจอที่ไหน) เธอข่มใจตอบตกลงกับปลายสายอย่างไม่มีทางเลือก
“คิงส์คลับ”
(คิงส์คลับ?) เธอทวนอีกรอบให้แน่ใจ เพราะชื่อสถานที่นี้เป็นชื่อของไนต์คลับมาร์คิน
“ฉันให้เวลาเธอแค่สิบนาที ถ้าเกินเวลาที่กำหนด ฉันไม่รับประกันว่าน้องชายเธอจะอยู่ในสภาพแบบไหน”
(แล้วฉันต้องไปเจอแกที่ไหน)
“ชั้นสาม ห้องวีไอพีK”
(ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าแกจะไม่ทำอะไรน้องชายฉัน)
“หึ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่ที่เธอ ไม่ใช่ฉัน”
(ได้ ฉันจะไปหาแก แต่ต้องรับปากว่าห้ามทำอะไรน้องชายฉันไปมากกว่านี้)
“ได้”
(รักษาสัญญาด้วยละ)
เขายิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสายจากปลายสายลงแล้วเก็บโทรศัพท์ของน้องชายผู้หญิงในสายใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ถือว่าวันนี้มึงโชคดีที่มีคนมารับเคราะห์แทน”
“อย่าทำอะไรพี่นาร์นะเว้ย!”
“ช่วยไม่ได้ มึงอยากแส่ไม่เข้าเรื่องเอง”
“ขอร้อง อย่าทำอะไรพี่สาวผมเลย พี่ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เรื่องนี้มันเกิดจากผมคนเดียว อย่าดึงพี่สาวของผมเข้ามาด้วยเลย” นาร์วินขอร้องมาเฟียหนุ่ม ไม่รู้ว่าคนๆ นี้จะทำอะไรพี่สาวตัวเองเพราะไม่สามารถคาดเดาอะไรได้
“กูต้องทำตามในสิ่งที่มึงขอ?”
“ผมขอร้อง…”
“คำขอร้องของมึงไม่มีประโยชน์ มึงควรจะดีใจนะที่มีคนเข้ามารับเคราะห์แทน” เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังคิงส์คลับ
เสียงร้องโวยวายของนาร์วินไม่ได้ทำให้มาเฟียหนุ่มหันกลับไปมอง นัยน์ตาดำขลับคมเข้มอัดแน่นไปด้วยความเย็นชา ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้แววคาคู่นี้ซ่อนความคิดหรือว่าความรู้สึกอะไรเอาไว้
หลายอาทิตย์ต่อมา นาร์วินเดินจับมือแฟนสาวเข้ามายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมีพนักงานเดินนำทางไปยังโซนสำหรับวีไอพีที่มีครอบครัวณิดาคอยอยู่ ลูกค้าผู้หญิงภายในร้านไม่วายจะแอบชายตามองนาร์วินจนณิดาเริ่มมีอาการหึงหวงเธอเลือกที่จะเก็บอาการ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง เธอเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นคล้องแขนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“คราวหน้าอย่าแต่งตัวดูดีแบบนี้มาอีกนะคะ รู้ไหมว่าผู้หญิงมอง!” เธอกัดฟันพูดกับนาร์วินด้วยความไม่พอใจ เมื่อได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ จึงชักสายตาใส่ “ขำอะไรคะ”“หึงเหรอ?”“ลองมีผู้ชายมามองดาดูบ้าง พี่นาร์วินจะหึงไหมล่ะคะ”“หึง แต่หึงแบบเปิดเผย ไม่เก็บอาการเหมือนคนแถวนี้” เขาพูดพลางอมยิ้มไปด้วย วันนี้มาทานอาหารค่ำกับครอบครัวณิดา แม้เคยเจอครอบครัวเธอมาแล้วหลายครั้ง หากแต่นั่นเป็นการเจอในฐานะ ‘น้องชายของลูกสะใภ้’ ทว่าวันนี้เขามาในฐานะ ‘แฟนณิดา’ มันเลยทำให้รู้สึกคนละอย่างกันทั้งสองคนมาถึงห้องอาหารสำหรับวีไอพี โดยมีพ่อ แม่ พี่ชายณิดา และพี่สาวของเขานั่งคอยอยู่“เราสองคนไม่มาช้าเกินไปใช่ไหมคะ” ณิดาเอ่ยถามเพราะเกรงว่าตัวเองและนาร์วินจะทำให้ทุกคนรอ“พวกเราเพิ่งมาถึงก่อนแค่ห้
ณิดาเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนและเสื้อกล้ามสีขาว สายตามองหาแฟนหนุ่ม ตอนตื่นขึ้นมาไม่เห็นเขานอนอยู่ข้างกายเลยคิดว่าคงอยู่ในห้องทำงานแกร๊กเธอเปิดประตูห้องทำงานนาร์วินออก ซึ่งเขากำลังนั่งทำงานอยู่จริงๆ ด้วย เธอเดินทอดน่องอ้อมไปข้างหลังแล้วใช้สองแขนโอบกอดเขา ไม่วายจะหอมแก้มหนึ่งฟอดฟอดด“ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุกดาล่ะคะ”ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับไปจากแฟนหนุ่ม นาร์วินยังคงเอาแต่นั่งมองงานตัวเองโดยไม่สนใจแฟนสาว“ยังโกรธอยู่เหรอคะ?” เธอถามเมื่อเห็นเขาทำเมินเฉยใส่ ปกตินาร์วินไม่เคยโกรธเธอเลยสักครั้ง เมื่อคืนเธอคงดื้อมากจริงๆ ถึงทำเขาโกรธได้ขนาดนี้“ลองมาเป็นพี่ดูไหมล่ะ” เขาตอบณิดากลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เมื่อคืนณิดามีความผิดหลายกระทง นอกจากจะแอบหนีเที่ยวไม่บอกแล้วยังดื่มจนเมา มีผู้ชายเข้าหา ไหนจะปิดประตูห้องนอนเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปลงโทษได้“ดาขอโทษ~ ให้อภัยดาได้ไหมคะ” เธอกระชับกอดเขาให้แน่นขึ้นพร้อมเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด “ดาแค่เหงาและอยากออกไปปลดปล่อยบ้าง พี่นาร์วินไม่อยู่ตั้งสามวัน ใครจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุขล่ะคะ”“นั่นไม่ใช่เหตุผล”“นี่แหละค่ะ
‘วันนี้ดาทำตัวไม่น่ารัก ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ เพราะฉะนั้นถ้าคืนนี้พี่ลงโทษดาหนักไปหน่อย ก็คงเข้าใจพี่นะ’ปัง!ทันทีที่มาถึงคอนโดนาร์วิน หญิงสาวก็รีบวิ่งแจ้นไปห้องนอนแล้วทำการล็อกประตูเพื่อไม่ให้แฟนหนุ่มเข้ามาลงโทษตัวเองได้“เปิดประตูณิดา” เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วบอกณิดาเสียงเข้ม วันนี้แฟนของเขาทำตัวไม่น่ารักจริงๆ ทั้งแอบหนีเที่ยว ดื่มจนเมา มิหนำซ้ำยังปิดประตูเพื่อไม่ให้เขาทำโทษเธอได้แต่ณิดาคงลืมไปว่าเขามีกุญแจสำรอง…แค่อยากลองเชิงณิดาดู ว่าจะยอมเปิดประตูให้เขาหรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่ยอมเปิดประตูให้เขาดีๆ คืนนี้คงได้คุยกันยาวจนถึงเช้า“ไม่เปิด คืนนี้พี่นาร์วินนอนข้างนอกไปเลย”“คิดดีแล้วใช่ไหมที่ดื้อกับพี่?”“ดาจะนอนแล้ว ฝันดีนะคะ”“ชอบท้าทายพี่นักใช่ไหม? ก็ได้”ณิดาไม่สนใจประโยคนั้นของนาร์วิน ตวัดเท้าเล็กทั้งสองตรงไปยังเตียงนอน ไม่ทันจะเดินถึงเตียง ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามา ทำให้คนตัวเล็กหมุนตัวกลับไปมองแกร๊ก“พะ…พี่นาร์วิน” เธอมองนาร์วินซึ่งกำลังเดินตรงมาหาด้วยท่าทางนิ่งๆ แววตาคมเข้มไร้อารมณ์ไม่สามารถทำให้เธอเดาความคิดในหัวเขาตอนนี้ได้ นาร์วินคงไม่พอใจมากที่เธอดื้อใส่“ไหนเมื่อกี
“แหมม ผัวไม่อยู่หนูร่าเริงทันทีเลยนะ”ยิหวามองเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังลุกขึ้นยืนโยกไปมาตามจังหวะเสียงเพลงโดยมีเครื่องดื่มในมือ ใบหน้าณิดาแดงก่ำเพราะพิษแอลกอฮอล์ แต่คงยังไม่เมาเท่าไร วันนี้ณิดาโทรชวนเพื่อนทุกคนออกมาดื่มเพราะนาร์วินบินไปมาเก๊าเมื่อวาน เมื่อคืนณิดาโทรมาแล้วร้องไห้ ยอมรับว่าเพิ่งเคยเห็นณิดาในโหมดนี้ ปกติจะเป็นตัวเองที่โทรไประบายและร้องไห้ ผิดกับตอนนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรทำให้ณิดากลายมาเป็นเหมือนตัวเองในวันนี้“พวกแกจะนั่งมองฉันทำไม ลุกมาเต้นด้วยกันเร็ว” ณิดาเข้าไปดึงแขนเพื่อนเพื่อให้ลุกขึ้นมาเต้นด้วยกัน“ทำไมวันนี้แกดีดจังณิดา ปกติจะนั่งเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ตรงที่แกยืนเต้นควรเป็นของพวกฉันไหม” นัตตี้ หนึ่งในเพื่อนในของกลุ่มของณิดาเอ่ยพูด“ฉันเต้นไม่ได้เหรอ?” เธอถามนัตตี้ พูดจบก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาดื่ม เริ่มเลื่อยร่างกายไปตามเพลงจังหวะEDMภายในไนต์คลับชื่อดัง พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกดีเหมือนกัน คืนแรกที่นาร์วินไม่อยู่ ยอมรับว่าเหงาและเศร้ามากปกติทุกคืนจะมีเขานอนอยู่ข้างกายตื่นเช้ามาก็เจอ พอเขาบินไปมาเก๊าทุกอย่างก็ดูเหมือนมีบางอย่างขาดหาย สามวันมันอาจจะเร็ว แต่สำหรับเธอ
หลายอาทิตย์ต่อมา หมับฟอดดณิดาเดินเข้าไปสวมกอดแฟนหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานจากข้างหลังแล้วหอมแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ ทำให้นาร์วินละสายตาจากงานแล้วเอียงใบหน้าไปหาคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม“ดาซื้อชาเย็นมาฝาก” เธอวางชาเย็นที่ซื้อมาให้นาร์วินลงโต๊ะทำงานของเขา “กินข้าวเที่ยงรึยังคะ?”“ยังไม่มีเวลาว่างทำอะไรเลย”“ทำไมทำงานหนักขนาดนี้คะ พักบ้างก็ได้” เธอพูดยิหวาเคยบอกว่าเตทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ จำได้ว่าตอนนั้นบอกให้ยิหวาเข้าใจเต แต่พอเจอกับตัวถึงเข้าใจความรู้สึกของยิหวา วันก่อนนาร์วินและเธอนัดไปทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่เขาดันมีนัดสำคัญกับนักธุรกิจจนต้องโทรมาบอกเธอว่าคงไม่ได้ไปทานข้าวเย็นด้วย ทั้งที่เธอแต่งตัวรอเขาแล้ว กลับต้องจำใจบอกว่า ไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจแอบน้อยใจเขา เธอไม่อยากงี่เง่ากับนาร์วินจึงพยายามเข้าใจเขาให้มากๆกลัวใจตัวเองเหมือนกัน กลัวว่าสักวันจะเผลองี่เง่่กับเขา บางที…นี่อาจเป็นบททดสอบความรักระหว่างนาร์วินและเธอก็ได้“พี่ก็อยากพักนะ แต่ช่วงที่พี่เข้าโรงพยาบาลทำให้ต้องพักงานเอาไว้ พอหายดีแล้วก็ต้องกลับมาลุยงานที่พักเอาไว้ มีทั้งงานใหม่และงานเก่าที่เข้ามาพร้อมกัน”“มีอะไรให้ดาช่วยบอกได้นะคะ”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะวิน” เสียงคนเป็นแม่เอ่ยกับลูกชายพลางลูบศีรษะนาร์วินด้วยความรักปนเป็นห่วงในเวลาเดียวกันวันแรกที่รู้ข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วงเวลานั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว จำได้ว่าสวดมนตร์และขอพรให้นาร์วินรอดพ้นจากอันตรายทุกคืน พอได้ยินข่าวว่าลูกชายฟื้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจ“แม่เป็นห่วงวินมากเลยรู้ไหม กินไม่ได้นอนไม่หลับมาตั้งแต่วันที่วินเกิดอุบัติเหตุ” คนเป็นพ่อพูดนาร์วินหันหน้าไปมองแม่ ก่อนจะยิ้มแล้วสวมกอด แม้ทั้งสองคนไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่พวกท่านทั้งสองก็รักและให้ความอบอุ่นกับตนไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ คนหนึ่ง แม้ครอบครัวที่แท้จริงจะจากไป แต่ยังโชคดีที่มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้รับมาดูแลและเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนโตถึงป่านนี้“รักแม่กับพ่อมากนะครับ”“วันนี้พบเด็กขี้อ้อนหนึ่งอัตรา” คนเป็นแม่เอ่ยแซว ก่อนจะหันไปยิ้มกับสามีและลูกสาวคนโต“รักแค่พ่อกับแม่ แต่ไม่รักพี่สาวตัวเองเหรอ?”นาร์วินหรี่ตามองพี่สาวซึ่งยืนกอดอกมองอยู่ตรงปลายเตียง“พี่คินเขาไม่รักเหรอถึงมาขอความรักจากน้องชายตัวเอง”“เอ๊ะ! ไอ้น้องบ้านี่! เดี๋ยวก็ตีให้แขนหักอีกข้างเลย” นาร์มินตั้งท่าเข้