เธอยืนมองไนต์คลับที่ชายคนนั้นให้มาหาด้วยความหวาดหวั่น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ ก่อนหน้านี้รู้จักไนต์คลับแห่งนี้ผ่านหู พอได้มาสัมผัสด้วยสายตา ที่นี่ดูใหญ่โตไม่ต่างจากโรงแรมหรูระดับห้าดาว
‘อยากให้ฉันปล่อยน้องชายเธอไปเหรอ? หึ…ถ้าอย่างนั้นก็เอาตัวเธอมาแลกสิ’
ประโยคของชายคนนั้นยังคงดังก้องในหู ทว่าน้ำเสียงของเขาช่างฟังดูคุ้นหูพิกล แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหน เธอเริ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน ตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่มาไกลเพื่อขึ้นไปชั้นสาม
มือเล็กบีบกันแน่นระหว่างรอลิฟต์ถึงชั้นสาม พอประตูลิฟต์เปิดออก หัวใจดวงน้อยก็พานกระตุกวูบตามไปด้วย เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วก้าวออกมา ข้างบนดูไม่วุ่นวายเหมือนข้างล่าง แต่ละมุมมีผู้คนกำลังนั่งดื่ม บ้างก็นั่งนัวเนียกันตามประสาหนุ่มสาว
‘ชั้นสาม ห้องวีไอพีK’
เธอเดินตรงไปยังห้องวีไอพีตามที่ชายคนนั้นนัดหมาย ภายในใจแอบหวั่นเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไร แต่ถ้าหากไม่ยอมมา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรน้องชายของเธอหรือเปล่า
“มาหาเจ้าของห้องวีไอพีเค” เธอขยับเรียวปากบอกชายท่าทางน่ากลัวสองคนที่ยืนเฝ้าประตูด้วยอาการหวาดหวั่น
ชายคนหนึ่งเอื้อมมือไปเปิดประตูให้นาร์มินโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว เพราะก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งจากเจ้านายเอาไว้แล้ว
หญิงสาวก้าวเข้าไปในห้องวีไอพีเคอย่างกล้าๆ กลัวๆ ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยไฟสีสลัว กลิ่นหอมภายไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวของเธอลดน้อยลง
“ฉันมาแล้ว” เธอตัดสินใจเอ่ยขึ้น เพราะภายในห้องเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ “น้องชายฉันอยู่ที่ไหน”
ทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างของใครบางคน เธอไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้ สองเท้าเล็กขยับเข้าไปหาเข้าของแผ่นหลัง ซึ่งอีกฝ่ายกำลังสูบบุหรี่
“ฉันถามว่าน้องชายฉันอยู่ทะ…” เธอเดินตรงไปหาเจ้าของแผ่นหลังกว้างพร้อมกับจับไหล่ให้อีกฝ่ายหมุนตัวกลับมา เมื่อใบหน้าของชายคนนี้สะท้อนเข้ามาในนัยน์ตา หัวใจก็พลันกระตุกวูบทันที
เขาคือ…มาร์คิน!
“คุณมาร์คิน…”
“ไง…” น้ำเสียงเข้มเอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ บุหรี่ในมือถูกดับลงก่อนจะหันมาประจันหน้ากับนาร์มิน
“ทะ…ทำไมถึงเป็นคุณ”
“ทำไม? เป็นฉันแล้วมันทำไม”
เสียงนี้คือเสียงเดียวกันกับผู้ชายที่เธอพูดคุยด้วยผ่านโทรศัพท์เมื่อหลายนาทีก่อน ใช่…ถึงว่าทำไมน้ำเสียงของเขาดูคุ้นหูพิกล ที่แท้ก็เป็นมาร์คินนี่เอง
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่ขู่เอาชีวิตน้องชายเธอจะเป็นคนเดียวกับนักธุรกิจหนุ่มที่ครอบครัวให้ตามตื้อมาทำธุรกิจด้วย โลกอะไรมันจะช่างกลมขนาดนี้…
“คุณคือคนที่นัดฉันมาเจอที่นี่ใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วตอนนี้น้องชายฉันอยู่ที่ไหน”
“คนของฉันดูแลอยู่”
“ดูแลแบบไหนคะ” น้ำเสียงเธอเริ่มแข็งกร้าวใส่ฝ่ายตรงข้าม ไม่สนใจแล้วว่าเป็นใครหรือใหญ่โตมาจากไหน แต่การที่เขาทำเรื่องไม่ดีกับน้องชายเธอแบบนี้…เธอยอมไม่ได้
มาร์คินยิ้มมุมปากแล้วไม่ตอบอะไร สองเท้าใหญ่เดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อเดินไปนั่งลงโซฟา นาร์มินยืนมองมาเฟียหนุ่มด้วยแววตาไม่พอใจ ยิ่งเขาเงียบ ยิ่งทำให้เธอร้อนลนและกระวนกระวายใจเป็นห่วงน้องชาย
“ทำไมคุณไม่ตอบฉัน”
“ในเมื่อเธอยอมพาตัวเองมาแลกเปลี่ยนกับน้องชาย แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องทำอะไรน้องชายของเธอ”
“….”
“เพราะคนที่จะรับกรรมแทนคนที่แส่ไม่เข้าเรื่องอย่างมัน…ก็คือเธอ”
รอยยิ้มมุมปากของมาร์คินช่างไม่เข้ากับแววตาเย็นชาไร้ความว่างเปล่า ทั้งสีหน้าและท่าทางของมาเฟียหนุ่มพลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัว ถึงกระนั้นก็พยายามทำใจดีสู้เสือ
“ฉันอยากเห็นว่าน้องชายฉันปลอดภัยดีรึเปล่า”
“เธอจะได้เห็นน้องชายแน่ แต่เป็นหลังจากที่ฉันจัดการกับเธอเสร็จแล้วเรียบร้อย”
“มะ…หมายความว่ายังไง” เธอถามเสียงสั่น
“ถ้าอยากให้ฉันปล่อยน้องชายเธอไป เธอก็ต้องยอมรับบทลงโทษที่น้องชายเธอแส่ไม่เข้าเรื่องกับเรื่องของฉัน”
“น้องชายฉันทำอะไร”
“ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ”
เธอมองหน้ามาร์คินและเริ่มคิดตามคำพูดของเขาจนเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร เรื่องที่ทำให้น้องชายของเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด คงเป็นเรื่องที่นาร์วินถ่ายรูปชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังรุมทำร้ายผู้ชายอีกคนมาให้เธอ
“น้องชายเธอมันแส่ไม่เข้าเรื่อง”
มาร์คินเริ่มตวัดเท้าตรงไปหานาร์มิน การกระทำของมาเฟียหนุ่มทำให้หญิงสาวถอยออกห่างอัตโนมัติ แววตาที่แข็งกร้าวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้ามันไม่แส่เรื่องของฉัน ก็คงไม่เดือดร้อนถึงเธอ”
“คุณคิดจะทำอะไร”
“บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากให้ฉันทำร้ายน้องชาย งั้นถ้าฉันจะทำเธอแทน…ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
นาร์มินถอยออกห่างมาเฟียหนุ่มเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่นหลังบางแนบชิดลงตู้หนังสือที่ตั้งอยู่ข้างหลัง มาร์คินใช้สองมือยันตู้หนังสือเพื่อกักขังหญิงสาวไม่ให้หนีไปไหน
ระยะที่ใกล้กันทำให้หัวใจนาร์มินเต้นแรง แววตาอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นที่มีต่อคนตรงหน้า กลิ่นหอมบุรุษจากมาร์คินพลอยทำคนตัวเล็กเกิดความประหม่า
“คะ…คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ของแบบนี้มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันมองคุณผิดไปจริงๆ คุณมาร์คิน”
“แล้วที่ผ่านมา…เธอมองฉันมองเป็นแบบไหนล่ะ?”
“….” เธอตัวแข็งทื่อและทำอะไรไม่ถูก เมื่อโดนมาร์คินใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนมาสัมผัสลำคอระหง การกระทำของเขาทำให้เธอรู้สึกขนลุกซู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
มาร์คินเลื่อนมือต่ำลงมาเรื่อยๆ ผ่านร่องอกกลมกลึงของหญิงสาวมายังหน้าท้องแบนราบจนกระทั่งมาถึงขอบกางเกงขาสั้นที่หญิงสาวใส่มา สิ่งที่คนตัวโตกระทำอยู่ ณ ตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“จะให้ฉันลงโทษเธอแทนน้องชายสุดที่รักยังไงดี?”
“….” เธอเบือนหน้าไปจากเขา การกระทำเมื่อครู่ทำให้รู้แล้วว่ามาร์คินมีความคิดแบบไหนในหัว เธอเคยถูกแฟนเก่าสัมผัสร่างกายมาก่อน แต่ไม่ได้เกินเลยเถิดถึงขั้นนั้น
รอยยิ้มบนปากหยักปรากฎขึ้นมาเมื่อหญิงสาวเอาแต่นิ่งเงียบ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มลงไปใกล้คนตรงหน้าจนกระทั่งปลายจมูกโด่งสันสัมผัสลงแก้มนวลใส กลิ่นหอมเย้ายวนจากร่างกายหญิงสาวพลอยทำให้มาร์คินเกิดอารมณ์ปรารถนา
คนแรกที่ทำให้เขามีอารมณ์ปรารถนาง่ายขนาดนี้…
“คุณจะลงโทษฉันยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว…อย่าทำเรื่องแบบนั้นกับฉัน” เธอหลับตาพูดประโยคนี้เสียงสั่นกับเขา
“หึ เธอมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ?” เสียงเข้มกระซิบถามข้างใบหู
“ขอร้อง…”
“ขอโทษที่ฉันต้องบอกว่า คำขอร้องของเธอ…มันไม่มีประโยชน์อะไร”
“….”
“แต่มันมีอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เธอรอดไปจากฉัน” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัว สายตาจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของนาร์มิน
แกร๊ก
“!!!!” หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบทันทีที่มีวัตถุสีดำเลื่อนมาจ่ออยู่ขมับข้างขวา การกระทำของมาร์คินทำเอาเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที
“แค่ฉันลั่นไกใส่ตรงนี้…เธอก็รอดแล้ว”
หลายอาทิตย์ต่อมา นาร์วินเดินจับมือแฟนสาวเข้ามายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมีพนักงานเดินนำทางไปยังโซนสำหรับวีไอพีที่มีครอบครัวณิดาคอยอยู่ ลูกค้าผู้หญิงภายในร้านไม่วายจะแอบชายตามองนาร์วินจนณิดาเริ่มมีอาการหึงหวงเธอเลือกที่จะเก็บอาการ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง เธอเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นคล้องแขนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“คราวหน้าอย่าแต่งตัวดูดีแบบนี้มาอีกนะคะ รู้ไหมว่าผู้หญิงมอง!” เธอกัดฟันพูดกับนาร์วินด้วยความไม่พอใจ เมื่อได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ จึงชักสายตาใส่ “ขำอะไรคะ”“หึงเหรอ?”“ลองมีผู้ชายมามองดาดูบ้าง พี่นาร์วินจะหึงไหมล่ะคะ”“หึง แต่หึงแบบเปิดเผย ไม่เก็บอาการเหมือนคนแถวนี้” เขาพูดพลางอมยิ้มไปด้วย วันนี้มาทานอาหารค่ำกับครอบครัวณิดา แม้เคยเจอครอบครัวเธอมาแล้วหลายครั้ง หากแต่นั่นเป็นการเจอในฐานะ ‘น้องชายของลูกสะใภ้’ ทว่าวันนี้เขามาในฐานะ ‘แฟนณิดา’ มันเลยทำให้รู้สึกคนละอย่างกันทั้งสองคนมาถึงห้องอาหารสำหรับวีไอพี โดยมีพ่อ แม่ พี่ชายณิดา และพี่สาวของเขานั่งคอยอยู่“เราสองคนไม่มาช้าเกินไปใช่ไหมคะ” ณิดาเอ่ยถามเพราะเกรงว่าตัวเองและนาร์วินจะทำให้ทุกคนรอ“พวกเราเพิ่งมาถึงก่อนแค่ห้
ณิดาเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นสีชมพูอ่อนและเสื้อกล้ามสีขาว สายตามองหาแฟนหนุ่ม ตอนตื่นขึ้นมาไม่เห็นเขานอนอยู่ข้างกายเลยคิดว่าคงอยู่ในห้องทำงานแกร๊กเธอเปิดประตูห้องทำงานนาร์วินออก ซึ่งเขากำลังนั่งทำงานอยู่จริงๆ ด้วย เธอเดินทอดน่องอ้อมไปข้างหลังแล้วใช้สองแขนโอบกอดเขา ไม่วายจะหอมแก้มหนึ่งฟอดฟอดด“ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุกดาล่ะคะ”ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับไปจากแฟนหนุ่ม นาร์วินยังคงเอาแต่นั่งมองงานตัวเองโดยไม่สนใจแฟนสาว“ยังโกรธอยู่เหรอคะ?” เธอถามเมื่อเห็นเขาทำเมินเฉยใส่ ปกตินาร์วินไม่เคยโกรธเธอเลยสักครั้ง เมื่อคืนเธอคงดื้อมากจริงๆ ถึงทำเขาโกรธได้ขนาดนี้“ลองมาเป็นพี่ดูไหมล่ะ” เขาตอบณิดากลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เมื่อคืนณิดามีความผิดหลายกระทง นอกจากจะแอบหนีเที่ยวไม่บอกแล้วยังดื่มจนเมา มีผู้ชายเข้าหา ไหนจะปิดประตูห้องนอนเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปลงโทษได้“ดาขอโทษ~ ให้อภัยดาได้ไหมคะ” เธอกระชับกอดเขาให้แน่นขึ้นพร้อมเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด “ดาแค่เหงาและอยากออกไปปลดปล่อยบ้าง พี่นาร์วินไม่อยู่ตั้งสามวัน ใครจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุขล่ะคะ”“นั่นไม่ใช่เหตุผล”“นี่แหละค่ะ
‘วันนี้ดาทำตัวไม่น่ารัก ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ เพราะฉะนั้นถ้าคืนนี้พี่ลงโทษดาหนักไปหน่อย ก็คงเข้าใจพี่นะ’ปัง!ทันทีที่มาถึงคอนโดนาร์วิน หญิงสาวก็รีบวิ่งแจ้นไปห้องนอนแล้วทำการล็อกประตูเพื่อไม่ให้แฟนหนุ่มเข้ามาลงโทษตัวเองได้“เปิดประตูณิดา” เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วบอกณิดาเสียงเข้ม วันนี้แฟนของเขาทำตัวไม่น่ารักจริงๆ ทั้งแอบหนีเที่ยว ดื่มจนเมา มิหนำซ้ำยังปิดประตูเพื่อไม่ให้เขาทำโทษเธอได้แต่ณิดาคงลืมไปว่าเขามีกุญแจสำรอง…แค่อยากลองเชิงณิดาดู ว่าจะยอมเปิดประตูให้เขาหรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่ยอมเปิดประตูให้เขาดีๆ คืนนี้คงได้คุยกันยาวจนถึงเช้า“ไม่เปิด คืนนี้พี่นาร์วินนอนข้างนอกไปเลย”“คิดดีแล้วใช่ไหมที่ดื้อกับพี่?”“ดาจะนอนแล้ว ฝันดีนะคะ”“ชอบท้าทายพี่นักใช่ไหม? ก็ได้”ณิดาไม่สนใจประโยคนั้นของนาร์วิน ตวัดเท้าเล็กทั้งสองตรงไปยังเตียงนอน ไม่ทันจะเดินถึงเตียง ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามา ทำให้คนตัวเล็กหมุนตัวกลับไปมองแกร๊ก“พะ…พี่นาร์วิน” เธอมองนาร์วินซึ่งกำลังเดินตรงมาหาด้วยท่าทางนิ่งๆ แววตาคมเข้มไร้อารมณ์ไม่สามารถทำให้เธอเดาความคิดในหัวเขาตอนนี้ได้ นาร์วินคงไม่พอใจมากที่เธอดื้อใส่“ไหนเมื่อกี
“แหมม ผัวไม่อยู่หนูร่าเริงทันทีเลยนะ”ยิหวามองเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังลุกขึ้นยืนโยกไปมาตามจังหวะเสียงเพลงโดยมีเครื่องดื่มในมือ ใบหน้าณิดาแดงก่ำเพราะพิษแอลกอฮอล์ แต่คงยังไม่เมาเท่าไร วันนี้ณิดาโทรชวนเพื่อนทุกคนออกมาดื่มเพราะนาร์วินบินไปมาเก๊าเมื่อวาน เมื่อคืนณิดาโทรมาแล้วร้องไห้ ยอมรับว่าเพิ่งเคยเห็นณิดาในโหมดนี้ ปกติจะเป็นตัวเองที่โทรไประบายและร้องไห้ ผิดกับตอนนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรทำให้ณิดากลายมาเป็นเหมือนตัวเองในวันนี้“พวกแกจะนั่งมองฉันทำไม ลุกมาเต้นด้วยกันเร็ว” ณิดาเข้าไปดึงแขนเพื่อนเพื่อให้ลุกขึ้นมาเต้นด้วยกัน“ทำไมวันนี้แกดีดจังณิดา ปกติจะนั่งเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ตรงที่แกยืนเต้นควรเป็นของพวกฉันไหม” นัตตี้ หนึ่งในเพื่อนในของกลุ่มของณิดาเอ่ยพูด“ฉันเต้นไม่ได้เหรอ?” เธอถามนัตตี้ พูดจบก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาดื่ม เริ่มเลื่อยร่างกายไปตามเพลงจังหวะEDMภายในไนต์คลับชื่อดัง พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกดีเหมือนกัน คืนแรกที่นาร์วินไม่อยู่ ยอมรับว่าเหงาและเศร้ามากปกติทุกคืนจะมีเขานอนอยู่ข้างกายตื่นเช้ามาก็เจอ พอเขาบินไปมาเก๊าทุกอย่างก็ดูเหมือนมีบางอย่างขาดหาย สามวันมันอาจจะเร็ว แต่สำหรับเธอ
หลายอาทิตย์ต่อมา หมับฟอดดณิดาเดินเข้าไปสวมกอดแฟนหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานจากข้างหลังแล้วหอมแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ ทำให้นาร์วินละสายตาจากงานแล้วเอียงใบหน้าไปหาคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม“ดาซื้อชาเย็นมาฝาก” เธอวางชาเย็นที่ซื้อมาให้นาร์วินลงโต๊ะทำงานของเขา “กินข้าวเที่ยงรึยังคะ?”“ยังไม่มีเวลาว่างทำอะไรเลย”“ทำไมทำงานหนักขนาดนี้คะ พักบ้างก็ได้” เธอพูดยิหวาเคยบอกว่าเตทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ จำได้ว่าตอนนั้นบอกให้ยิหวาเข้าใจเต แต่พอเจอกับตัวถึงเข้าใจความรู้สึกของยิหวา วันก่อนนาร์วินและเธอนัดไปทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่เขาดันมีนัดสำคัญกับนักธุรกิจจนต้องโทรมาบอกเธอว่าคงไม่ได้ไปทานข้าวเย็นด้วย ทั้งที่เธอแต่งตัวรอเขาแล้ว กลับต้องจำใจบอกว่า ไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจแอบน้อยใจเขา เธอไม่อยากงี่เง่ากับนาร์วินจึงพยายามเข้าใจเขาให้มากๆกลัวใจตัวเองเหมือนกัน กลัวว่าสักวันจะเผลองี่เง่่กับเขา บางที…นี่อาจเป็นบททดสอบความรักระหว่างนาร์วินและเธอก็ได้“พี่ก็อยากพักนะ แต่ช่วงที่พี่เข้าโรงพยาบาลทำให้ต้องพักงานเอาไว้ พอหายดีแล้วก็ต้องกลับมาลุยงานที่พักเอาไว้ มีทั้งงานใหม่และงานเก่าที่เข้ามาพร้อมกัน”“มีอะไรให้ดาช่วยบอกได้นะคะ”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะวิน” เสียงคนเป็นแม่เอ่ยกับลูกชายพลางลูบศีรษะนาร์วินด้วยความรักปนเป็นห่วงในเวลาเดียวกันวันแรกที่รู้ข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วงเวลานั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว จำได้ว่าสวดมนตร์และขอพรให้นาร์วินรอดพ้นจากอันตรายทุกคืน พอได้ยินข่าวว่าลูกชายฟื้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจ“แม่เป็นห่วงวินมากเลยรู้ไหม กินไม่ได้นอนไม่หลับมาตั้งแต่วันที่วินเกิดอุบัติเหตุ” คนเป็นพ่อพูดนาร์วินหันหน้าไปมองแม่ ก่อนจะยิ้มแล้วสวมกอด แม้ทั้งสองคนไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่พวกท่านทั้งสองก็รักและให้ความอบอุ่นกับตนไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ คนหนึ่ง แม้ครอบครัวที่แท้จริงจะจากไป แต่ยังโชคดีที่มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้รับมาดูแลและเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนโตถึงป่านนี้“รักแม่กับพ่อมากนะครับ”“วันนี้พบเด็กขี้อ้อนหนึ่งอัตรา” คนเป็นแม่เอ่ยแซว ก่อนจะหันไปยิ้มกับสามีและลูกสาวคนโต“รักแค่พ่อกับแม่ แต่ไม่รักพี่สาวตัวเองเหรอ?”นาร์วินหรี่ตามองพี่สาวซึ่งยืนกอดอกมองอยู่ตรงปลายเตียง“พี่คินเขาไม่รักเหรอถึงมาขอความรักจากน้องชายตัวเอง”“เอ๊ะ! ไอ้น้องบ้านี่! เดี๋ยวก็ตีให้แขนหักอีกข้างเลย” นาร์มินตั้งท่าเข้