หยาดฝนเย็นเยียบปะทะใบหน้าซีดเซียวของเสิ่นเมี่ยว ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพบนจอแอลซีดีขนาดมหึมาตรงหน้าได้ฉายชัดใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ถูกยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจอนาคตไกล
เสิ่นตง คือชื่อของผู้ชายคนนั้นลูกพี่ลูกน้องสายเลือดเดียวกันของเสิ่นเมี่ยว เขากำลังให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดราวกับว่ามันเป็นผลงานของเขาแต่เพียงผู้เดียว
"เสิ่นตง..." เสียงของเสิ่นเมี่ยวแหบแห้งราวกับคนจมน้ำแล้วเพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาไขว่ขว้าหาอากาศหายใจ ดวงตาที่เคยสดใสบัดนี้แดงก่ำไปด้วยแรงโทสะและความปวดร้าว มือที่กำเศษขยะไว้แน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อสั่นระริก
ภาพอดีตหวนคืนมาราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำในความทรงจำเธอและเสิ่นหยวนพี่ชายบุญธรรมทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างสรรค์เทคโนโลยีนี้ขึ้นมาด้วยความหวังที่จะพลิกฟื้นธุรกิจของครอบครัว
แต่แล้วเพราะความไว้ใจที่เธอมีให้เสิ่นตงผู้ที่เคยคิดว่าเป็นพี่ชายใหญ่ที่แสนดีกลับกลายมาเป็นดาบแหลมคมที่ทิ่มแทงหัวใจ
"โง่...ฉันมันโง่เอง" เสิ่นเมี่ยวพึมพำกับตัวเองเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดแรกไหลปะปนกับสายฝนที่กระหน่ำลงมา ความทรงจำถึงคำทัดทานของเสิ่นหยวนยังคงดังก้องอยู่ในหู
"พี่ว่าเธออย่าไว้ใจเขาง่าย ๆ เลยเสิ่นเมี่ยว..." แต่ตอนนั้นเธอไม่ฟัง ด้วยความเชื่อใจอย่างไร้สติ เธอจึงเล่าทุกอย่างให้ เสิ่นตงฟังอย่างหมดเปลือก อีกทั้งยังมอบทุกอย่างที่สร้างมาให้กับเขา
หากถามว่าเพราะเหตุใดเธอถึงเลือกทำเช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นในวันที่เธอเพิ่งจะอายุครบสิบเจ็ดปี อุบัติเหตุรถยนต์ครั้งนั้นพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอ
ไม่ว่าจะพ่อ แม่ และพี่ชายบุญธรรมที่มีอายุมากกว่าเจ็ดปี พี่ที่รักเธอและยอมเธอทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเขาจะถูกคนในครอบครัวของลุงใหญ่รังแกสารพัด ทุกคนล้วนเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันซึ่งเขาได้เตือนเธอก่อนที่ตัวจะตาย
ความสูญเสียครั้งใหญ่ทำให้เธอเปราะบางเกินกว่าจะต่อต้านการเข้ามาฮุบกิจการของลุงใหญ่และเสิ่นตง พวกเขาแสดงละครเป็นห่วงเป็นใยดูแลเธอในฐานะญาติผู้ใหญ่ แต่เบื้องหลังกลับวางแผนยึดครองทุกสิ่ง
กระทั่งเธอเรียนจบ ด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยีและธุรกิจอันโดดเด่นพวกเขายังคงเก็บเธอไว้ใช้งาน แต่เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในมือของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ แผนการกำจัดเธอก็เริ่มขึ้น
การลักพาตัว...ได้เกิดขึ้นและตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกองขยะหลังจากหนีออกมาได้ เพื่อมองดูความสำเร็จจอมปลอมของคนที่ทรยศตัวเอง
ความเย็นเยียบของสายฝนไม่ได้ทำให้ความร้อนรุ่มในใจของเสิ่นเมี่ยวลดลงเลยแม้แต่น้อย ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นฝังลึกราวกับรากไม้ที่ชอนไชไปทั่วหัวใจ เธอเงยหน้ามองจอภาพอีกครั้ง ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"เสิ่นตง...เสิ่นหนาน เสิ่นฉี ฟางหลานนังป้าอสรพิษพวกแกจะต้องชดใช้" เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปราย หญิงสาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองขยะได้ตัดสินใจที่จะกระทำการบางอย่าง มีดปลายแหลมวาววับในมือของเธอถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดภายใต้เสื้อมอซอขาดวิ่นตัวใหญ่หลังจากเธอหนีออกมาได้จากผู้ที่ลักพาตัว
สายฝนยังคงกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว เสิ่นเมี่ยวโซซัดโซเซไปตามบาทวิถีเปียกชื้น แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องกระทบร่างชุ่มโชกไปด้วยน้ำฝนของเธอเป็นระยะ มีดปลายแหลมในมือถูกกำไว้แน่น ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าเก่ามอมแมมที่เปรอะเปื้อนโคลน
ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางที่คุ้นเคยแต่กลับกลายเป็นบาดแผลลึกในใจ บ้าน...บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอบอุ่นไปด้วยเสียงหัวเราะของพ่อ แม่ และเสิ่นหยวน บ้านที่สร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อแรงกายของพ่อเธอเอง แต่บัดนี้กลับกลายเป็นรังของพวกเหลือบไรที่เข้ามาเกาะกินทุกสิ่งทุกอย่าง
ความทรงจำในวัยเด็กผุดขึ้นมา ปู่กับย่า...คนที่เธอเคยเคารพตามคนเป็นพ่อได้เอ่ยปากบอกให้พ่อเป็นผู้เปิดประตูต้อนรับญาติเหล่านั้นเข้ามาอาศัยร่วมชายคา
ด้วยความเชื่อใจและไม่ประสีประสา พ่อของเธอไม่ได้คัดค้านปล่อยให้บ้านที่ควรจะเป็นวิมานของครอบครัวกลายเป็นเหมือนกงสีที่ทุกคนต่างเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
ความขมขื่นจุกอยู่ที่อก เสิ่นเมี่ยวกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ภาพใบหน้ายิ้มเยาะของเสิ่นตง ภาพสายตาเหยียดหยามของเสิ่นหนาน ภาพความละโมบในแววตาของเสิ่นฉี และรอยยิ้มเสแสร้งของป้าสะใภ้ฟางหลานวนเวียนอยู่ในความคิด
เท้าที่สั่นเทาค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูด ความแค้นเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เธอยังคงเคลื่อนไหวได้ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกไม่หยุด
บ้านหลังนั้นค่อย ๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นตรงหน้า แสงไฟสว่างลอดออกมาจากหน้าต่างบ่งบอกว่าพวกเขายังคงใช้ชีวิตสุขสบายบนความทุกข์ของเธอ เสิ่นเมี่ยวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้วเก่าดวงตาจับจ้องไปยังตัวบ้านอย่างแน่วแน่
ความลังเลเพียงเล็กน้อยที่เคยมีได้จางหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความเด็ดเดี่ยวและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่าง...แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต
เสิ่นเมี่ยวอาศัยความมืดและสายฝนที่โหมกระหน่ำ คลานต่ำไปยังแนวพุ่มไม้รกเรื้อริมรั้ว ความทรงจำเกี่ยวกับตำแหน่งกล้องวงจรปิดที่เสิ่นหยวนเคยชี้ให้ดูในวัยเด็กยังคงแจ่มชัด เธอเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบหลบหลีกมุมอับสายตาของกล้องแต่ละตัวได้อย่างหวุดหวิด จนในที่สุดก็มาถึงด้านข้างตัวบ้าน
จากมุมมืดเธอสำรวจช่องทางเข้า และเธอจำได้ว่าหน้าต่างห้องครัวด้านหลังมักจะไม่ได้ล็อก และก็เป็นอย่างที่เธอคิด หลังจากเธอปีนเข้ามาในห้องครัวได้สำเร็จเสิ่นเมี่ยวก็ค่อย ๆ ชะโงกหน้ามองผ่านกระจกของห้องครัวออกมา
เมื่อไม่เห็นใครหญิงสาวก็ค่อย ๆ เปิดประตูห้องครัวที่เชื่อมไปยังส่วนอื่นของบ้านอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงลมฝนที่สาดซัดเข้ามาช่วยกลบเสียงบานพับที่ฝืดเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี
ภายในตัวบ้านเงียบสงัด มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟหัวบันไดที่ส่องลงมาเป็นทางยาว เสิ่นเมี่ยวอาศัยความมืดและแสงสลัวเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดิน ผนังบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยรูปถ่ายครอบครัวอบอุ่นบัดนี้กลับดูเย็นชาและแปลกตา
ความทรงจำเกี่ยวกับโครงสร้างของบ้านยังคงอยู่ในหัวของเธอ ห้องนอนของเสิ่นตงอยู่ชั้นบนสุดฝั่งขวา เธอค่อย ๆ ขึ้นบันไดอย่างช้า ๆ เหยียบลงบนพื้นไม้ทีละแผ่นด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียง
เมื่อมาถึงหน้าห้องนอนของเสิ่นตง เสิ่นเมี่ยวแนบหูฟังเสียงที่ลอดออกมา ภายในนั้นเงียบสนิท เขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ เธอคิดพร้อมกับค่อย ๆ เปิดประตูอย่างแผ่วเบา
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เลือดในกายของเสิ่นเมี่ยวแทบจะแข็งตัว เสิ่นตงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงใบหน้าอิ่มเอิบจากการดื่มสุราจนเมามายไม่ได้สติ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าคือร่างของสาวใช้คนหนึ่งที่เธอให้ความไว้ใจและเป็นผู้หลอกล่อเธอให้พบกับพวกค้ามนุษย์ กำลังนอนหลับอยู่เคียงข้างเขาอย่างใกล้ชิด
ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เสิ่นเมี่ยวกำมีดในมือแน่น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องทุกอย่างที่นี่ เธอค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้เตียงยกมีดขึ้นสูงเตรียมที่จะแทงลงไปบนร่างของเสิ่นตงแต่ทว่าทันใดนั้นเอง...
"อื้อ..." สาวใช้ที่นอนอยู่เคียงข้างขยับตัวเล็กน้อยลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย สายตาของเธอเหลือบไปเห็นเงาร่างของ เสิ่นเมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับมีดปลายแหลมวาววับในมือ
"ว้าย!" เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง สาวใช้รีบลุกขึ้นถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก
เสิ่นหนานที่อยู่ในห้องนอนอีกห้องใกล้กันสะดุ้งตื่นจากเสียงร้อง เขารีบวิ่งออกมาดู
"เกิดอะไรขึ้น!?" เสิ่นหนานตะโกนถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเสิ่นเมี่ยวถือมีดอยู่ในห้องของเสิ่นตง
เขารีบวิ่งเข้ามายื้อยุดกับหญิงสาวผู้มีรูปร่างผอมบาง การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและวุ่นวาย
เสิ่นเมี่ยวพยายามที่จะเข้าถึงตัวเสิ่นตงที่ยังคงสะลึมสะลือ แต่เสิ่นหนานเข้าขวางอย่างสุดกำลัง สาวใช้กรีดร้องไม่หยุดและพยายามที่จะเข้ามาทำร้ายเสิ่นเมี่ยวด้วยความตกใจ
ในความชุลมุนเสิ่นเมี่ยวเสียหลักลื่นล้มไปกับพื้น มีดในมือหลุดกระเด็นไป...เสี้ยววินาทีต่อมา ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแล่นริ้วไปทั่วอก
เธอรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของบางสิ่งบางอย่างที่แทงลึกเข้ามาถึงหัวใจ ดวงตาเบิกกว้างมองเห็นเงาของมีดที่คุ้นเคย...มีดของเธอเองที่ตอนนี้ปักลึกอยู่กลางอกของตน
ลมหายใจเริ่มติดขัด ภาพทุกอย่างเริ่มพร่าเลือน ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังกลืนกินสติสัมปชัญญะ เสียงเล็ก ๆ แสนคุ้นเคยดังแว่วเข้ามาในห้วงความคิด เสียงที่เธอไม่มีวันลืม...เสียงของเอไอที่เธอสร้างขึ้นมาเอง
"สวัสดีโฮสต์ ไม่ทราบว่าคุณอยากเริ่มต้นใหม่ไหมครับ?
เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่