เสิ่นหานยืนตัวแข็งอยู่กลางลานบ้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด
"พ่อคะ" เสิ่นเมี่ยวแม้ว่าจะเห็นใจพ่อของตนแต่เธอคิดว่าเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว ดังนั้นเธอจะต้องทำเรื่องนี้ให้จบลงอย่างเด็ดขาดในวันนี้
"พวกเราไม่ต้องการบ้านที่เต็มไปด้วยการเอาเปรียบอีกต่อไปแล้ว พ่อมีหนู มีพี่หยวน มีแม่ พวกเราอยู่ด้วยกันได้ไม่ต้องพึ่งพาใคร!" เสียงใสกังวานหนักแน่นเกินวัยแทรกผ่านบรรยากาศอึดอัดกดดันในลานบ้าน
เสิ่นหยวนที่ยืนอยู่ข้างน้องสาวกำมือแน่น แววตาเต็มไปด้วยความภูมิใจระคนสะเทือนใจคราวเดียวกัน เสิ่นหานตาแดงเรื่อสองมือกำแน่นจนสั่น เขามองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนหยัดแทนตัวเองทั้งที่เธอควรได้รับการปกป้องมากกว่า แต่เธอกลับยืนหยัดขึ้นมาปกป้องเขาแทน
นางจางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนตัวสั่นหลังได้ยินคำพูดของหลานสาวที่หล่อนมองว่าเป็นตัวขาดทุน ฟางหลานเม้มปากแน่น เสิ่นฉีกำลังอ้าปากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่เริ่มมีเสียงฮือฮาตามมา
"เด็กตัวเท่านี้ยังรู้จักพูด รู้เรื่องกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก..."
"จริงด้วย ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ คนเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ยังกล้าบังคับกันขนาดนี้"
เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สีหน้าของจางหลิน เสิ่นฉี และฟางหลานเริ่มแย่ลง เสิ่นเมี่ยวไม่สนใจเธอก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง แล้วแบมือเล็ก ๆ ออกไปตรงหน้าของฟางหลาน
"ห้าร้อยหยวน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ต้องพูด!" เธอประกาศก้องอย่างท้าทาย ครั้งนี้ทั้งย่าและเสิ่นฉีต่างหันไปมองหน้ากันอย่างขุ่นเคืองโดยไม่เก็บอาการ
แม้จะโกรธจนควันแทบออกหูแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้เรื่องนี้บานปลายต่อหน้าชาวบ้านชื่อเสียงที่หวงแหนมานานจะต้องเสียหายย่อยยับอย่างแน่นอน ฟางหลานกัดฟันกรอด
"แม่คะ จ่ายสิคะ" เธอหันไปพูดกับแม่สามี
"แกจะบ้าเหรอ ฉันจะเอาเงินมาจากไหน" จางหลินตวาดแหวทันทีอย่างไม่พอใจก่อนที่หล่อนจะลงไปนั่งที่พื้นพลางทุบขาตัวเองเอ่ยตัดพ้อต่อสวรรค์
"ลูกอกตัญญู หมาป่าตาขาว" หล่อนเริ่มโวยวาย "ตอนนี้ครอบครัวแกก็ยังมีอาซือทำงานอยู่แต่ครอบครัวพี่ชายกำลังจะอดตายแกยัง..แกยังจะเอาเงินอีก" นางจางบีบน้ำตารำพึงรำพันน้ำหูน้ำตาไหลพราก
แต่แววตากลับฉายแววแข็งกร้าวและชำเลืองดูท่าทางของบุตรชายคนเล็กอย่างคำนวณเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องใจอ่อนเหมือนทุกครั้งอย่างแน่นอน
ชาวบ้านบางคนที่ใจอ่อนหรือยังยึดติดกับธรรมเนียมเก่า เริ่มมีสีหน้าลังเลเห็นใจหญิงชราที่นั่งฟูมฟายอยู่กับพื้น แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นและพอจะรู้นิสัยของคนบ้านนี้อยู่บ้างเริ่มส่ายหน้าอย่างระอา เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้แฝงแววสมเพชในการกระทำของจางหลินมากกว่า
"โธ่เอ๊ย...เล่นละครเก่งเหมือนงิ้วเลยนะ" "ใช่ ๆ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็ลงไปนั่งร้องไห้เรียกคะแนนสงสาร" "น่าสงสารอาหานนะ มีแม่กับพี่ชายแบบนี้"
เสิ่นหานยืนหน้าซีดเผือดมือไม้สั่น เขามองแม่ที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วก็รู้สึกปวดใจ แต่พอได้ยินคำพูดกล่าวหาว่าอกตัญญูทั้งที่ตนช่วยเหลือครอบครัวพี่ชายมาตลอด ความน้อยใจและความโกรธก็ตีตื้นขึ้นมา เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่เสียงใส ๆ ที่หนักแน่นของลูกสาวตัวน้อยก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
"ย่าคะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ พื้นมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้นะคะ ชาวบ้านเขามองกันเต็มไปหมดแล้ว อายเขาค่ะ ย่าไม่อายเหรอ"
น้ำเสียงของเสิ่นเมี่ยวเรียบเฉย ไม่ได้แสดงความเห็นใจแต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง เป็นน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่กำลังเตือนสติเด็กน้อย ทำให้จางหลินที่กำลังฟูมฟายถึงกับชะงักไปเล็กน้อย มองหลานสาวด้วยความคาดไม่ถึง
เสิ่นเมี่ยวไม่รอให้ย่าได้ตั้งตัว เธอกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงชัดเจน "จริงอยู่ที่ตอนนี้ครอบครัวลุงเสิ่นฉีลำบากเพราะโรงงานปิดตัว แต่การจะมาบังคับให้พ่อหนูสละตำแหน่งงานที่ทำมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง มันใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือคะ?"
เธอหันไปมองทางลุงกับป้าสะใภ้ "แล้วที่ผ่านมาหลายปี ครอบครัวเราส่งข้าวส่งเกลือให้ครอบครัวลุงไม่เคยขาด มีปัญหาอะไรพ่อกับแม่ก็คอยช่วยเหลือตลอด ลุงกับป้า...แล้วก็ย่า ลืมไปหมดแล้วหรือคะ?"
คำพูดนั้นแทงใจดำของทั้งเสิ่นฉีและฟางหลาน พวกเขาหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ยังคงเชิดหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสิ่นเมี่ยว หันกลับมามองย่าที่ยังคงนั่งเงียบทว่าดวงตาแข็งกร้าวเช่นเดิมอย่างคนไม่ยอมรับความจริง
"ส่วนเงินห้าร้อยหยวนที่หนูพูดถึง...ย่าคะ นั่นไม่ใช่ว่าหนูเห็นแก่เงิน หรือจะมาซ้ำเติมคนล้ม แต่เงินจำนวนนั้นคือเงินที่ครอบครัวลุงติดค้างบ้านเรามานานแล้ว ทั้งค่าหยูกค่ายา ค่าใช้จ่ายจิปาถะที่พ่อกับแม่ต้องออกให้ก่อนอยู่เสมอ ไหนจะเงินที่ย่าหยิบยืมไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีก"
เธอเว้นจังหวะให้ชาวบ้านได้ยินกันอย่างชัดเจน "ถ้าวันนี้ย่ากับลุงต้องการจะให้พ่อหนูสละตำแหน่งงาน ดังนั้นเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ย่ากับครอบครัวของลุงใหญ่ก็สมควรต้องจัดการหนี้สินเก่าที่ติดค้างกันมานานให้หมดสิ้นเสียก่อน ไม่ใช่หรือคะ? มันถึงจะยุติธรรม"
คราวนี้เสียงฮือฮาจากชาวบ้านดังยิ่งกว่าเดิม หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเด็กหญิงตัวน้อย
"เออ เรื่องนี้ถูกต้อง เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืนสิ" "นั่นน่ะสิ ไม่ใช่จะมาเอาแต่ได้อย่างเดียว" "ที่แท้ก็ติดหนี้เขาไว้เยอะนี่เอง แต่ทำไมยังถึงได้กล้ามาบังคับเอาตำแหน่งงานเขาอีก...นี่มันจะไม่หน้าหนาเกินไปหน่อยหรอกหรือ" เสียงของชาวบ้านเริ่มเข้าข้างไปทางเสิ่นหาน
จางหลินหน้าซีดสลับเขียวด้วยความโกรธและอับอาย นางอยากจะกรีดร้องด่าทอหลานสาวที่ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินยาผิดสำแดงอะไร จากคนเงียบแม้แต่เสียงดังหน่อยก็หวาดกลัวทว่าในวันนี้เหตุใดมันถึงได้พูดเอาพูดเอา
แต่เมื่อหล่อนเห็นสายตาของชาวบ้านที่มองมาอย่างกดดันและไม่เห็นด้วย นางจางก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ทางตัวเองหาใช่จะได้เปรียบอีกทั้งหากหล่อนยังดึงดันต่อไปมีแต่จะเสียกับเสีย
นางจางจึงได้แต่จ้องมองเสิ่นเมี่ยวเขม็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น...นังเด็กเปรตนี่ มันร้ายกาจเกินเด็กจริง ๆ!
ท่ามกลางของความอึกทึกโกลาหลเซี่ยอวิ๋นซือที่เพิ่งกลับมาถึงพลันรู้สึกเกิดความประหลาดใจที่เห็นชาวบ้านจำนวนมากอยู่ล้อมรอบหน้าประตูบ้าน
"นั่นแม่ของเมี่ยวเมี่ยวกลับมาแล้ว" ใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มพูดพลางชี้นิ้วมาทางเธอ
เซี่ยอวิ๋นซือใจหายวาบ เร่งฝีเท้าสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น หัวใจเต้นแรงด้วยความสังหรณ์ใจไม่ดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน? แล้วภาพที่เห็นเมื่อแหวกกลุ่มคนเข้าไปได้ก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
แม่สามี กำลังนั่งแผละอยู่กับพื้นดินกลางลานบ้าน ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาแต่ดวงตาแข็งกร้าว สามีของเธอ ยืนหน้าซีดเผือดมือสั่นอยู่ไม่ไกล ลูกสาวตัวน้อยกับลูกชายบุญธรรมยืนเคียงข้างพ่อด้วยท่าทีปกป้อง ส่วนพี่ชายสามีกับภรรยาก็ยืนหน้าตึงอยู่ใกล้ ๆ บรรยากาศตึงเครียด
"นี่มัน...เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?" เซี่ยอวิ๋นซือเอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหายไปสิ้นเมื่อถูกแทนที่ด้วยความกังวล
ยังไม่ทันที่คนในครอบครัวจะได้ตอบ ป้าหวังเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบชิงอธิบายอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแทน
"ก็แม่สามีเธอนะสิ อวิ๋นซือ! ไม่รู้ไปฟังอะไรมา จะมาบังคับให้เสิ่นหานสละตำแหน่งหัวหน้างานที่โรงงานให้เสิ่นฉีเขาน่ะสิ พอเสิ่นหานไม่ยอมก็หาว่าอกตัญญู แล้วนังหนูเมี่ยวเมี่ยวนี่แหละ เก่งจริง ๆ ออกมาปกป้องพ่อ บอกว่าถ้าจะเอาตำแหน่งไปก็ต้องเอาเงินห้าร้อยหยวนที่เป็นหนี้เก่ามาคืนก่อน!"
เซี่ยอวิ๋นซือเบิกตากว้าง หันขวับไปมองแม่สามี พี่ชายสามี และสามีของตนสลับกันไปมา จางหลินพอเห็นลูกสะใภ้มาถึงก็รีบเบะปากร้องไห้โฮเสียงดังมากกว่าเดิมชี้มือมาทางเสิ่นเมี่ยว
"สะใภ้รองเธอดูสิ! ดูนังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ลูกของหล่อนมันกล้าทำกับย่า! มันใส่ร้ายว่าพวกฉันติดหนี้! แล้วยังยุให้พ่อมันแข็งข้อกับฉันอีก! เธอดูสามีเธอมันเลี้ยงลูกยังไงให้มาปีนเกลียวย่าตัวเองแบบนี้!" นางพยายามโยนความผิดทั้งหมดให้หลานสาวและลูกชายคนเล็กหวังให้ลูกสะใภ้เข้าข้างตน
เสิ่นเมี่ยวรู้ทันความคิดของย่า เธอรีบหันไปหาแม่จับมือหล่อนเอาไว้แน่นพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนมากกว่าเก่าก่อนที่แม่จะทันได้ไขว้เขว
"แม่คะ! ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ! วันนี้โรงงานลุงฉีปิดตัว ลุงตกงาน ย่ากับลุงเลยจะมาบังคับให้พ่อสละตำแหน่งหัวหน้างานให้ลุงฉีค่ะ! พ่อไม่ยอม ย่าก็เลยด่าพ่อว่าอกตัญญู หนูทนไม่ได้ก็เลยบอกไปว่าถ้าจะให้พ่อเสียสละขนาดนั้นก็ต้องคืนเงินห้าร้อยหยวนที่ย่ากับลุงติดหนี้บ้านเรามานานแล้วคืนมาก่อนถึงจะยุติธรรมค่ะ"
เซี่ยอวิ๋นซือมองลึกลงไปในดวงตาที่แน่วแน่ของลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะหันไปมองสามีที่ยืนก้มหน้ากำหมัดแน่น และมองไปยังแม่สามีที่บัดนี้เงียบเสียงร้องไห้ไปแต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยแววตาอาฆาต
ในฐานะภรรยาและแม่ที่อยู่กับครอบครัวนี้มานาน นางย่อมรู้ดีถึงความลำเอียงของแม่สามีและความเอาเปรียบของครอบครัวพี่ชายสามีมาตลอด แม้จะพยายามอดทนเพื่อความสงบสุขแต่ครั้งนี้มันเกินไปจริง ๆ ที่จะมาบังคับแย่งตำแหน่งงานที่สามีทำมาอย่างยากลำบาก
นางสูดหายใจลึกก้าวเดินไปประคองสามีให้ยืนตรง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่สามีและพี่ชายสามี แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่แววตาที่มองไปนั้นไม่ได้อ่อนข้อเหมือนเช่นเคย มันฉายแววปกป้องครอบครัวของตนเองอย่างชัดเจนทำให้จางหลินและเสิ่นฉีรู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ... ดูเหมือนว่าวันนี้ ลูกสะใภ้ที่เคยคิดว่าอ่อนแอกำลังจะเปลี่ยนไป
เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่