"พี่หยวน...ฮึก...พี่หยวน..." เธอยังคงพร่ำเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงขาดห้วงและเต็มไปด้วยแรงสะอื้นราวกับต้องการตอกย้ำความจริงข้อนี้ให้ซึมลึกเข้าไปในใจ
‘พี่ยังอยู่...พี่ยังอยู่จริง ๆ ขอบคุณ...ขอบคุณสวรรค์...’ ความรู้สึกขอบคุณระคนโล่งใจเอ่อท้นจนทำให้เธอตัวสั่น ‘ชาตินี้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันจะปกป้องพี่กับพ่อแม่ให้ได้! พวกเหลือบไรนั่น...จะต้องไม่ได้แตะต้องพวกเราอีก!’ แววตาที่ซบอยู่กับอกพี่ชายฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมาวูบหนึ่งก่อนจะถูกกลบด้วยหยาดน้ำตา
เสิ่นหยวนขมวดคิ้วแน่นด้วยความเป็นห่วง เขาพยายามดันตัวน้องสาวออกห่างเล็กน้อย ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเล็กของเธออย่างเบามือ
"เมี่ยวเมี่ยว มองหน้าพี่ก่อนสิ บอกพี่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ครูดุเหรอ? หรือว่า...เสิ่นหนานรังแก?" น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้นเล็กน้อยในประโยคสุดท้ายแววตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
คำถามนั้นดึงสติของเสิ่นเมี่ยวให้กลับคืนมา เธอสูดน้ำมูกเสียงดังส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ตายังแดงก่ำ
"เปล่าค่ะ...ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครว่า...หนู...หนูแค่..." เธออึกอัก ต้องรีบหาเหตุผลดี ๆ มาอธิบายน้ำตาเหล่านี้ให้เร็วที่สุด
"หนูแค่คิดถึงพี่มากเกิน" เด็กหญิงแก้ตัวพลางแลบลิ้นน้อย ๆ ออกมา กะพริบตาปริบ ๆ พยายามปั้นหน้าให้ดูทะเล้นน่ารักมากที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งปั่นป่วนอยู่ภายใน
เสิ่นหยวนมองใบหน้าเล็กของน้องสาวที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อยนั้นแม้จะพยายามทำทะเล้นแต่ก็ยังปิดบังความรู้สึกบางอย่างไว้ไม่มิด
"จริงเหรอ...แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อเช้าพี่ก็เพิ่งมาส่งน้องที่โรงเรียนหรือยังไง" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อเต็มร้อยนัก แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความจริง
จังหวะนั้นเองเขาก็ย่อตัวลงงอนิ้วชี้แตะที่ปลายจมูกเล็กของเสิ่นเมี่ยวแผ่วเบาอย่างเอ็นดู "ยัยขี้แยเอ๊ย กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วง"
เสิ่นเมี่ยวหัวเราะคิกคักออกมา เธอรู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อเห็นพี่ชายไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น
"วันนี้เดินกลับเองไม่ไหวแล้วมั้ง ร้องไห้จนหมดแรงเลยหรือเปล่า?" เสิ่นหยวนแกล้งแหย่ก่อนจะหันหลังให้แล้วย่อตัวลงอีกครั้ง "มา ขี้เกียจเดินก็ขึ้นหลังพี่"
ดวงตาของเสิ่นเมี่ยวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความดีใจระคนซาบซึ้ง ในชาติก่อนหลังจากพ่อแม่และพี่หยวนจากไป เธอก็ไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นแบบนี้อีกเลย เธอโถมตัวขึ้นขี่หลังพี่ชายอย่างไม่ลังเล
สองแขนผอมบางโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้แน่น ซบแก้มลงบนแผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยระคนอบอุ่น เสิ่นหยวนยืดตัวขึ้นรับน้ำหนักน้องสาวได้อย่างสบาย ๆ ก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางลูกรังที่คุ้นเคย
แสงแดดยามบ่ายทอดเงายาว สองข้างทางเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนกระจัดกระจาย เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม เสิ่นเมี่ยวซบหน้าอยู่กับหลังพี่ชาย หลับตาลงเพื่ออยากซึมซับความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยนี้ไว้ให้มากที่สุด
‘อ้อมกอดของพี่หยวน...ฉันจะไม่ยอมเสียมันไปอีกแล้ว’
พวกเขาเดินท่ามกลางความเงียบกันมาสักพัก จนกระทั่งเริ่มเข้าใกล้เขตบ้านของตัวเอง บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากความเงียบสงบของชนบทกลับเริ่มได้ยินเสียงผู้คนจอแจดังมาจากข้างหน้า
"เอ๊ะ...ทำไมคนเยอะจัง" เสิ่นหยวนพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจพลางชะลอฝีเท้าของตัวเองลง
เสิ่นเมี่ยวลืมตาขึ้นมองลอดผ่านไหล่ของพี่ชายไปข้างหน้า แล้วเธอก็ต้องขมวดคิ้ว ชาวบ้านหลายคนกำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ริมทาง
บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางบ้านของเธอ บ้างก็ซุบซิบกันคิกคักอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความสนุกสนานที่ได้เห็นเรื่องวุ่นวายของเพื่อนบ้าน
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เสียงทะเลาะวิวาทที่ดังลอดออกมาจากประตูบ้านของเธอก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มันเป็นเสียงแหลมแสดงถึงความเกรี้ยวกราดของย่า และเสียงทุ้มต่ำที่พยายามโต้เถียงอย่างเหนื่อยหน่ายของพ่อ
หัวใจของเสิ่นเมี่ยวหล่นวูบ ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่างทันที เสียงทะเลาะนี้...บรรยากาศแบบนี้...สายตาของชาวบ้าน...มันเหมือนกับ...
‘วันนี้! นี่มันคือวันนั้น!’ ความทรงจำอันเลวร้ายจากชาติก่อนพุ่งเข้ามาในหัวราวกับสายฟ้าฟาด
‘วันที่โรงงานเหล็กขนาดเล็กที่คนเลวนั่น...เสิ่นฉีทำงานอยู่ปิดตัวลงเพราะขาดทุนและค้างค่าจ้าง วันที่ลุงคนนี้กลับมาบ้านมือเปล่า แล้วย่าก็เริ่มอาละวาดใหญ่โต บีบบังคับให้พ่อ...ให้พ่อสละตำแหน่งหัวหน้างานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พวกเอาเปรียบเสิ่นฉี พี่ชายคนโตที่ย่ารักนักหนา!’
เสิ่นเมี่ยวตัวแข็งทื่ออยู่บนหลังพี่ชาย ความสุขและความอบอุ่นเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความตึงเครียดและความรู้สึกเร่งด่วนที่บีบคั้นหัวใจ
'พ่อที่กำลังต่อสู้เพื่อครอบครัวกำลังได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ทว่าในอนาคตเพราะความกตัญญูพ่อก็ยังคงเปิดประตูรับเอาคนบ้านนี้ที่เป็นดั่งงูพิษมาเลี้ยงดู' เสิ่นเมี่ยวยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
"ที่บ้าน...ทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว" เสิ่นหยวนพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายระคนกังวล เขากระชับร่างน้องสาวบนหลังให้มั่นคงขึ้น ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านตรงไปยังประตูบ้านที่เสียงทะเลาะยังคงดังลั่นออกมาไม่หยุด
เสิ่นหยวนเดินผ่านข้ามธรณีประตูไม้เก่าที่โยกเยกด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามสายลมเข้าไปอย่างระมัดระวัง และภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาชะงักกลางลานบ้าน ย่ากำลังยืนเกรี้ยวกราดชี้หน้าด่าพ่อของตนไม่หยุด
เสียงโวยวายดังลั่นจนแม้แต่เพื่อนบ้านยังอดมุงดูไม่ได้ ส่วนเสิ่นฉีลุงชายผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ยืนกอดอกมองด้วยสีหน้าหงุดหงิด เช่นเดียวกับฟางหลานเมียของเขาที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยท่าทีไม่พอใจ
เสิ่นเมี่ยวยังเกาะหลังพี่ชายแน่น แต่ครั้งนี้เธอไม่อาจทนเฉยได้อีกต่อไป ไม่ต้องรอให้พี่ชายวางเธอลง
เด็กหญิงกระโดดลงจากหลังเสิ่นหยวนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็กที่ยังแดงจากการร้องไห้ฉายแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่"หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!" เสียงเล็กแต่กังวานตวาดขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ในลานบ้านให้หันมามองอย่างตกตะลึง
เสิ่นเมี่ยวกำมือแน่นขยับยืนแทรกกลางระหว่างพ่อและย่าเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ
"ถ้าลุงเสิ่นฉีอยากได้งานของพ่อหนูนักล่ะก็... เอาเงินห้าร้อยหยวนมาแลก!"
ทันทีที่เสียงพูดนั้นจบลง ความเงียบงันก็โรยตัวลงชั่วขณะ ทุกคนในลานบ้านรวมถึงชาวบ้านที่ยืนมองอยู่ข้างรั้วต่างเบิกตากว้าง
"เด็กบ้า! แกพูดอะไรออกมา!" ย่าตวาดลั่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
เสิ่นฉีเองก็สีหน้าเปลี่ยน เขาก้าวฉับเข้ามาหนึ่งก้าว แต่เสิ่นหยวนก้าวขวางหน้าปกป้องน้องสาวทันที
"เมี่ยวเมี่ยว!" พ่อของเสิ่นเมี่ยวเอ่ยเรียกเสียงสั่น เขาเองก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเช่นกัน
ทว่าเสิ่นเมี่ยวกลับยังยืดอกพูดชัดถ้อยชัดคำโดยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
"ห้าร้อยหยวน!" เธอกระแทกเสียงพร้อมแบมือและพูดซ้ำออกมาอีก "ถ้าจะเอางานของพ่อไป ต้องจ่ายห้าร้อยหยวน! ไม่อย่างนั้นพ่อไม่ต้องยอมลาออก ไม่ต้องสละงานให้ใครทั้งนั้น!"
"หน็อยแน่ะ! นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า! เอาเงินห้าร้อยหยวนงั้นเหรอ! ถ้าอยากได้เงินนัก ก็ได้!" ฟางหลานตะคอกเสียงกร้าวใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยโทสะ
หล่อนผู้ที่อยากครอบครองทุกอย่างคนเดียวเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง "แต่ถ้าพ่อแกเอาเงินไปแล้วละก็ พวกแกต้องตัดความสัมพันธ์กับบ้านนี้ซะ! อย่าได้เรียกพ่อ เรียกแม่ หรือเรียกพี่ เรียกน้องอีก!"
คำพูดนี้ทำให้ลานบ้านยิ่งเงียบกริบมากจากเดิม ทุกคนต่างกลั้นหายใจเฝ้ารอดูท่าทีของเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่อย่างสง่ากลางวงล้อมของผู้ใหญ่เสิ่นเมี่ยวไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เธอยิ้มเย็นออกมาพร้อมกับหันไปมองพ่อที่มองไปทางบิดามารดาของตนรวมถึงพี่ชายที่ไม่มีวี่แววโอนอ่อน
ก่อนที่เขาจะระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง (มันคงถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่เขาควรจะพาครอบครัวไปจากบ้านหลังนี้ บ้านที่ไม่มีใครต้อนรับพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก)
เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่