"แม่ ผมว่ารอพ่อกลับมาและลองปรึกษาเรื่องนี้กับเขาดูดีไหม" คำพูดของลูกชายทำใหนางจางหันไปมองหน้าของเขาก่อนจะรีบส่ายหัวปฎิเสธ
"ไม่ได้! พ่อแกเป็นประเภทเสียหน้าไม่ได้ หากเขารู้ว่ามีเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นเขาได้ชังน้ำหน้าของพวกเราแน่ อีกอย่างไม่แน่ว่าอาจจะไปเข้าข้างบ้านรองก็ได้"
"แม่ พูดมาก็มีเหตุผล ว่าแต่ไอ้กาฝากนั่นมาอยู่บ้านเราก็ตั้งหลายปีทำไมเรื่องแค่นี้มันกลับตอบแทนบุญคุณพวกเราไม่ได้กัน" ฟางหลานหันขวับไปมองหน้าสามีอย่างสนใจระคนใคร่รู้หลังได้ยินคำพูดของเขา
"สามี เรื่องนี้คุณหมายความว่ายังไง"
"อาฉี! เรื่องนี้แม่เคยบอกแกไปแล้วว่าให้เงียบ" นางจางแสร้งตำหนิลูกชายแบบไม่จริงไม่จัง
"แม่คะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่" ความมีลับลมคมในของแม่สามียิ่งทวีความอยากรู้ให้ฟางหลานเป็นอย่างมากจนหล่อนไม่อาจทนเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้อีก น้ำเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความอยากรู้และรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกกีดกันออกจากเรื่องสำคัญ
จางหลินและเสิ่นฉีสบตากันอย่างรวดเร็ว แววตามีความลังเลและไม่สบายใจฉายชัด จางหลินเม้มปากพยายามจะปั้นหน้าเรียบเฉย "ไม่มีอะไรหรอกน่า เรื่องไร้สาระน่ะ เถียงกันไปก็อารมณ์ขึ้นเป็นธรรมดา" นางพยายามจะปัดเรื่องนี้ทิ้ง
แต่ฟางหลานไม่ยอมรามือ หล่อนขยับเข้าไปใกล้แม่สามีมากขึ้น จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสูงวัยอย่างแน่วแน่
"ไม่ไร้สาระหรอกค่ะแม่! เมื่อกี้พี่ฉีพูดเหมือนกับว่าอาหานไม่ใช่...ไม่ใช่ลูกแม่จริง ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ! แถมแม่ยังบอกให้พี่ฉีเงียบอีก มันต้องมีอะไรที่หนูไม่รู้แน่ ๆ!"
หล่อนหันไปมองหน้าเสิ่นฉี "สามีคะ บอกฉันมาเถอะค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว มีปัญหาอะไรเราจะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขนะคะ หรือคุณจะปล่อยให้พวกบ้านรองมันเหิมเกริมขึ้นแบบวันนี้อีก" ฟางหลานใช้คำพูดกระตุ้นสามีและแสดงตนเป็นพวกเดียวกับแม่สามีอย่างชาญฉลาด
เสิ่นฉีมีท่าทีลังเล เขามองหน้าแม่สลับกับภรรยา ความคับข้องใจที่อัดอั้นเกี่ยวกับน้องชายต่างสายเลือดก็ปะทุขึ้นมาจนแทบจะระเบิดแต่เขาก็ยังคงยำเกรงแม่ของตน
จางหลินถอนหายใจยาวมองลูกสะใภ้ที่จ้องเขม็งมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางรู้ว่าฟางหลานฉลาดและช่างสังเกต หากไม่บอกความจริงวันนี้ต่อไปก็คงปิดได้ไม่นาน สู้บอกไปตอนนี้แล้วดึงมาเป็นพวกเดียวกันอย่างสมบูรณ์เลยน่าจะดีกว่า
"ก็ได้..." นางตัดสินใจในที่สุด ลดเสียงลงราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน "แต่เรื่องนี้ แกต้องสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้เด็ดขาด! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ห้ามให้พ่อแกรู้ด้วยว่าแกรู้ความลับนี้ เข้าใจไหม!" นางจางกำชับเสียงเข้ม
ฟางหลานตาโตพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว "ค่ะแม่ ฉันสัญญา! ฉันจะไม่บอกใครแน่นอนค่ะ!"
จางหลินมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ นางก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบกับลูกสะใภ้คนโตด้วยน้ำเสียงที่แฝงทั้งความลับและความขมขื่น
"ความจริงแล้ว...ไอ้เสิ่นหานน่ะ มันไม่ใช่ลูกในไส้ของแม่กับพ่อแกหรอก..."
ฟางหลานอ้าปากค้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความตกตะลึง!
"หลายปีก่อน ตอนที่เรายังลำบากอยู่ที่เก่า" จางหลินเล่าต่อเสียงเบา "มีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มไอ้เสิ่นหานตอนยังเป็นทารกมาหาแม่กับพ่อแก หล่อนบอกว่ามีเหตุจำเป็นต้องไปไกลเลี้ยงลูกไม่ได้ ขอฝากไอ้เสิ่นหานไว้กับพวกเราสักสิบปีแล้วจะกลับมารับคืนโดยให้เงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมาเป็นค่าเลี้ยงดู..."
ฟางหลานพยักหน้าห่อปากตาโต หลังจากนั้นเสิ่นฉีก็ได้เสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง "แต่ไอ้กาฝากมันกลับไม่สำนึกบุญคุณ แม่กับพ่อเลี้ยงมันมาอย่างยากลำบากแม้ว่าจะมีเงินของแม่มันก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมาเกินสิบปีแล้วพ่อแม่ก็ยังเลี้ยงมัน"
ฟางหลานนิ่งอึ้งไป สมองประมวลผลข้อมูลใหม่ด้วยความเร็ว... มิน่าล่ะ! มิน่าแม่สามีถึงลำเอียงรักแต่สามีของเธอ ทำเหมือนเสิ่นหานเป็นอากาศธาตุหรือคนที่ต้องคอยทวงบุญคุณตลอดเวลา ที่แท้ก็ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เป็นแค่เด็กลูกติดที่คนอื่นเอามาฝากเลี้ยงไว้พร้อมเงินก้อนโตนี่เอง!
ความสงสัยก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้นถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจ...และความรู้สึกเหนือกว่าอย่างประหลาด ไหนจะความคิดที่ว่า...สัญญาคือสิบปี แล้วนี่มันกี่ปีแล้ว? ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเมื่อไหร่? หรือถ้าไม่กลับมา...
แววตาของฟางหลานฉายประกายวาววับขึ้นมาทันที ความลับนี้...มันไม่ใช่แค่เรื่องในอดีตแต่มันอาจจะเป็นอาวุธสำคัญในการจัดการกับเสิ่นหานและครอบครัวในปัจจุบันและอนาคตได้เลยทีเดียว!
"อย่างนี้นี่เอง..." ฟางหลานพึมพำออกมาเสียงเบา รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก "ฉันเข้าใจแล้วค่ะแม่...ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว" ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อช่วยสามีและรักษาผลประโยชน์ของครอบครัวตนเอง
ทางด้านของเสิ่นเมี่ยว บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความเงียบและความตึงเครียด เสิ่นหานนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้ายังคงสับสนและเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยมีเซี่ยอวิ๋นซือนั่งอยู่ด้านข้างเธอคอยลูบหลังสามีเบา ๆ อย่างปลอบโยน
ทว่าแววตาของหล่อนเองก็เต็มไปด้วยความกังวลแฝงความแน่วแน่บางอย่าง ส่วนเสิ่นหยวนนั่งทำการบ้านอยู่เงียบ ๆ ที่มุมโต๊ะแต่หูก็คอยเงี่ยฟังความเป็นไปรอบตัว
มีเพียงเสิ่นเมี่ยวที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อยแต่ภายในหัวกำลังสื่อสารกับเอไอคู่ใจอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหม่าว ได้ข้อมูลรึยัง?
เรียบร้อยครับเจ้านาย! จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดในเมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงปี 1980 พบว่า...โอกาสทางธุรกิจซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีสูงมากครับ! ยุคนี้คนเริ่มมีวิทยุ พัดลม บางบ้านก็เริ่มจะมีโทรทัศน์ขาวดำหรือเครื่องซักผ้าฝาบนรุ่นแรก ๆ บ้างแล้ว แต่ศูนย์ซ่อมมาตรฐานยังแทบไม่มี ช่างฝีมือดีเองก็หายาก ส่วนใหญ่เป็นการซ่อมแบบตามมีตามเกิด ถ้าพ่อของเจ้านายพอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างและเราสามารถหาเครื่องมือพื้นฐานกับอะไหล่บางอย่างได้ การเปิดร้านซ่อมขนาดเล็กหรือรับซ่อมตามบ้านมีโอกาสทำเงินได้ดีเลยครับ โดยเฉพาะถ้าซ่อมได้ในราคาไม่แพงและงานดีย่อมที่จะมีคนบอกปากต่อปากอย่างแน่นอน เสียงใสแจ๋วของเสี่ยวหม่าวกล่าวรายงานอย่างละเอียด
เสิ่นเมี่ยวพยักหน้าในใจอย่างเงียบ ๆ ตรงกับที่คิดไว้ แล้วเรื่องแยกบ้านล่ะ?
อ้างอิงจากราคาค่าเช่าบ้าน หากอยู่ในลานบ้านเดียวกับคนอื่น ราคาอยู่ประมาณ 100-300 หยวนครับ หากเป็นราคาที่ดินเปล่าชานเมืองที่พอจะสร้างเพิงพักแบบเรียบง่ายได้ในตอนนี้ คาดว่าต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 800-1,000 หยวนเป็นอย่างน้อยครับเจ้านาย ซึ่ง...ดูจากสถานะการเงินปัจจุบันผมคิดว่าครอบครัวเจ้านายน่าจะยังไม่มีเงินเก็บถึงขนาดนั้นนะครับ
เสิ่นเมี่ยวขมวดคิ้ว ตัวเลขนี้สูงกว่าที่เธอคิดไว้เล็กน้อยหากอยากมีที่ดินเป็นของตัวเองตามราคาที่รัฐให้เช่า ยิ่งตอกย้ำว่าการหาเงินเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด
แล้วมีทางอื่นอีกไหม? ทางที่จะหาเงินก้อนแรกได้เร็วมากกว่านี้ ฉันแค่คิดว่าจะอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวจากนั้นเมื่อเก็บเงินได้สักก้อนฉันจะชวนทุกคนย้ายไปยังหมู่บ้านหลงเหมินเมืองหางโจวบ้านเดิมของแม่
เมื่อชาติก่อนเธอจำได้ว่าแม่เสียใจมากที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมตายายเลยจนกระทั่งสองผู้เฒ่าวัยชราที่รักและหวังดีกับลูกสาวคนเดียวมาโดยตลอดจากไปในวัยอันควรอย่างโดดเดี่ยว ทั้งนี้ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่ของเธอมัวแต่เกรงใจย่ามหาประลัยนั่นเอง
ในระหว่างที่เสิ่นเมี่ยวตกอยู่ในภวังค์ เสียงใส ๆ ของเสี่ยวหม่าวก็ดังขึ้นในหัวของเธออย่างเห็นดีเห็นงาม
หนทางนะพอมีครับ เอาไว้ผมจะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ ส่วนอนาคตเจ้านายคิดจะไปอยู่หางโจว...ที่หมู่บ้านหลงเหมิน...นั้นผมคิดว่าเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ดีเลยครับ เพราะการย้ายไปอยู่ที่นั่นจะช่วยให้ครอบครัวเจ้านายหลุดพ้นจากอิทธิพลของย่าและลุงได้อย่างถาวร และหางโจวในฐานะเมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียงกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งที่นั่นยังมีโอกาสทางธุรกิจมากกว่าที่นี่อีกด้วย
คำพูดของเสี่ยวหม่าวเธอเองก็รู้ดีเพราะเธอเองก็มาจากอนาคตเพียงแต่....เสิ่นเมี่ยวถอนหายใจออกมาสั้น ๆ อย่างกลัดกลุ้มหลังได้ยินคำพูดต่อมาของเอไอคู่หู
การย้ายถิ่นฐานไกลขนาดนั้นต้องใช้เงินทุนสูงกว่าการแยกบ้านอยู่ในละแวกนี้มากนะครับ ทั้งค่าเดินทาง ค่าตั้งรกรากใหม่ ค่าเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัย... ตัวเลข 1,000 หยวนที่เราคุยกันเมื่อครู่อาจจะไม่เพียงพอ และที่สำคัญที่สุดคือ เรายังไม่มีเงินก้อนแรกนั้นเลยครับ ดังนั้น แผนเร่งด่วนตอนนี้ยังคงต้องเป็นการหารายได้และสะสมทุนให้ได้ก่อนครับเจ้านาย
ฉันเองก็เข้าใจในเรื่องนี้เหมือนกันนั่นแหละ เสิ่นเมี่ยว ตอบก่อนจะพูดในสิ่งที่คิดออกมาเพิ่มเติม
เป้าหมายคือหางโจวก็จริง แต่ก้าวแรกคือต้องหาเงินให้ได้ก่อนและต้องทำให้พ่อเริ่มมีช่องทางทำกินเป็นของตัวเองนอกเหนือจากงานในโรงงาน...เพราะในอนาคตโรงงานนี้ก็จะปิดตัวลงเหมือนกัน เอาล่ะเสี่ยวหม่าว ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องมาเริ่มแผนขั้นแรกกันแล้ว
เสิ่นเมี่ยวสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อกับแม่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน
"พ่อคะ..." เธอเอ่ยเรียก ทำให้เสิ่นหานหลุดจากภวังค์หันมามอง "เรื่องงานของพ่อ หนูคิดว่ายกให้เขาไปเถอะค่ะ" เสิ่นเมี่ยวเอ่ยเข้าเรื่องทันทีอีกทั้งเธอไม่ได้เรียกเสิ่นฉีว่าลุงอย่างแต่ก่อนอีกด้วย
เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่