"เมี่ยวเมี่ยว! ลูกพูดอะไรแบบนี้ออกมา!?" เซี่ยอวิ๋นซืออุทานเสียงหลง จ้องมองลูกสาวตัวน้อยด้วยความตกใจระคนคาดไม่ถึงและไม่เข้าใจ ทำไมจู่ ๆ ลูกถึงพูดเหมือนยอมแพ้ทั้งที่เพิ่งยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญเมื่อครู่
เสิ่นหานเองก็หน้าเหวอไปไม่แพ้กัน เขาขมวดคิ้วจ้องลูกสาวนิ่ง "ลูกหมายความว่ายังไงเมี่ยวเมี่ยว? ทำไมจู่ ๆ ถึงพูดแบบนี้? เมื่อกี้ลูกยัง..." เขานึกถึงภาพลูกสาวตัวเล็กที่ยืนปกป้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว แล้วทำไมตอนนี้ถึง...
เสิ่นหยวนที่นั่งอยู่เงียบก็เงยหน้าขึ้นจากกองการบ้าน มองน้องสาวด้วยแววตาสับสน เขาเองก็ไม่เข้าใจความคิดของเสิ่นเมี่ยวเลยเหมือนกัน เสิ่นเมี่ยวกำลังจะอ้าปากอธิบายแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยคำใดออกมา...
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูไม้หน้าบ้านหลังเล็กของเธอก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทุกคนในห้องหันไปมองทางประตูพร้อมกัน ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มรุ่นกระทงคนหนึ่งจะโผล่หน้าเข้ามา เด็กคนนั้นคือเสิ่นตงบุคคลที่เสิ่นเมี่ยวไม่เคยลืมและเกลียดชังในชาติก่อนนั่นเอง
"ย่าเรียก..." เสิ่นตงเอ่ยเสียงห้วนไม่สบตาใครเป็นพิเศษ "ให้พวกอาเล็กไปหาที่บ้านใหญ่หน่อย ย่ามีเรื่องจะคุยด้วย" คำพูดนั้นยิ่งทำให้บรรยากาศด้านในเกิดความตึงเครียดและน่าอึดอัดมากขึ้น
สิ่นหานและเซี่ยอวิ๋นซือสบตากันโดยอัตโนมัติ แววตาเต็มไปด้วยความระแวงและความเหนื่อยหน่ายใจ เรียกไปตอนนี้เนี่ยนะ? หลังจากที่เพิ่งปะทะกันไปเมื่อครู่ คนพวกนั้นยังจะมีแผนการอะไรอีก?
เสิ่นหยวนลุกขึ้นจากโต๊ะเดินมายืนใกล้พ่อแม่และน้องสาวอย่างเตรียมพร้อมปกป้อง ส่วนเสิ่นเมี่ยวดวงตาเรียบเฉยคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย...เรียกไปคุย? หรือเรียกไปหาเรื่องกันแน่? แต่จังหวะมันช่างพอดีกับที่เธอเพิ่งพูดเรื่องยอมยกตำแหน่งงานออกไป... หรือว่านี่จะเป็นโอกาส?
เสี่ยวหม่าว นายช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ซิ ย่าเรียกไปตอนนี้น่าจะมีเจตนาอะไร? เธอถามเอไอในใจอย่างรวดเร็ว
จากการประเมินผลพฤติกรรมของนางจางและครอบครัวของเสิ่นฉี มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาอาจจะยังไม่ยอมแพ้เรื่องตำแหน่งงาน และการเรียกไปครั้งนี้อาจจะเป็นการพยายามเจรจาต่อรองกดดัน หรือวางกับดักบางอย่างครับเจ้านาย แต่ก็มีความเป็นไปได้เล็กน้อยว่าอาจจะต้องการหารือเรื่องการชดใช้หนี้สิน หรือเรื่องการแยกบ้านหลังจากที่ถูกกดดันอย่างหนักเมื่อครู่ด้วย เสี่ยวหม่าวรายงานตามข้อมูลที่มี
กับดักสินะ...เสิ่นเมี่ยวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดีเหมือนกัน...ไปดูกันหน่อยสิว่าพวกเขาจะมาไม้ไหนอีก
"พ่อคะ แม่คะ" เสิ่นเมี่ยวเงยหน้าขึ้นพูดกับพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง "ในเมื่อย่าเรียก พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ ไปฟังดูว่าย่ามีเรื่องสำคัญอะไร"
คำพูดของเธอทำให้พ่อแม่และพี่ชายยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก...ดูเหมือนวันนี้ ลูกสาว น้องสาวของพวกเขาจะเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
เมื่อเสิ่นหาน เซี่ยอวิ๋นซือ เสิ่นหยวน และเสิ่นเมี่ยว เดินเข้ามาในห้องโถงของบ้านใหญ่บรรยากาศก็เย็นเยียบลงทันที
จางหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานใบหน้าปราศจากคราบน้ำตาแล้วแต่ยังคงแฝงแววไม่พอใจอยู่ลึก ๆ เสิ่นฉีและฟางหลานนั่งอยู่ด้านข้างพยายามปรับสีหน้าให้ดูสงบเสงี่ยมแต่ก็ปิดบังความกระวนกระวายและความไม่พอใจไว้ไม่มิด
"มาแล้วรึ อาหาน..." จางหลินเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน น้ำเสียงอ่อนลงกว่าตอนอยู่ที่กลางลานบ้านมากแต่ก็ยังฟังดูเย็นชา "นั่งก่อนสิ แม่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย"
เสิ่นหานลังเลเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าแล้วพาลูกเมียไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด จางหลินถอนหายใจแผ่วเบาพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับมุมตาที่ปราศจากน้ำตาอย่างแช่มช้อย ซึ่งเสิ่นเมี่ยวมองดูอย่างขบขันให้กับการแสดงเกรดต่ำของหล่อน
"อาหานเอ๊ย...เรื่องเมื่อตอนกลางวันแม่ยอมรับว่าแม่ก็อารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่แม่ก็ทำไปเพราะเป็นห่วงอาฉีกับครอบครัวเขานะลูก" นางเริ่มต้นด้วยการพยายามแสดงความอ่อนข้อ "อาฉีมันเป็นพี่ใหญ่ของแก ตอนนี้พี่กำลังลำบาก มีหรือที่แกในฐานะน้องจะนิ่งดูดายได้..."
หล่อนพูดพร้อมกับเหลือบมองเสิ่นหาน "แม่รู้ว่าแกทำงานหนัก ตำแหน่งหัวหน้างานนั่นแกก็ได้มาด้วยความสามารถ...แต่ตอนนี้อาฉีมันตกงานจริง ๆ โรงงานปิดตัวอนาคตมืดมน ลูกเมียก็ต้องเลี้ยงดู" นางเริ่มบีบน้ำเสียงให้ดูน่าสงสาร
"แม่ก็เลยอยากจะ...ร้องขอ...ให้แกเห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้อง ช่วยเหลืออาฉีมันสักครั้งได้ไหมลูก? สละตำแหน่งนั้นให้พี่ชายแกไปก่อน พอให้ครอบครัวเขามีทางหายใจหายคอได้...เพราะถึงยังไงเมียของแกก็ยังมีงานทำ"
นางจางรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของเสิ่นหานที่เจ้าตัวจับจุดได้มาตั้งแต่เขายังเล็ก "แม่รู้ว่าแกก็ต้องลำบาก แต่แม่ไม่ได้จะให้แกเสียสละเปล่า ๆ นะ!" หล่อนโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยทำเสียงเหมือนให้ความหวังกับเขา
"รอให้พ่อของพวกแกกลับมาก่อนเถอะ! พ่อแกเขามี เรือประมงลำหนึ่งที่จอดทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ ถ้าแกยอมช่วยพี่ชายครั้งนี้ พ่อแกกลับมาเมื่อไหร่แม่จะคุยกับพ่อแกเอง จะยกเรือลำนั้นให้ครอบครัวแกไปเลย! ให้แกเอาไปทำมาหากิน ออกทะเลหาปลาดีกว่าเป็นลูกจ้างเขาเยอะ ไม่ต้องกลัวอดตาย!ด้วย...แกคิดว่ายังไง"
คำพูดพร้อมข้อเสนอเรื่องเรือประมงทำให้เสิ่นหานชะงักไป เขามองหน้าแม่สลับกับภรรยาอย่างชั่งใจ ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะดี...การมีเรือเป็นของตัวเองย่อมดีกว่าการเป็นลูกจ้างในโรงงานที่ไม่แน่นอน...
เซี่ยอวิ๋นซือขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกว่าข้อเสนอนี้มันดีเกินไปจนน่าสงสัยแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
มีเพียงเสิ่นเมี่ยวที่นั่งฟังเงียบ ๆ มุมปากเหยียดขึ้นเล็กน้อยอย่างเย็นชา...เรือประมง? หึ ชาติที่แล้วก็ใช้มุกนี้แหละ! สุดท้ายพอพ่อยอมยกตำแหน่งให้เรือประมงที่ว่าก็ไม่เคยตกมาถึงมือครอบครัวเธอเลยแม้แต่เงา กลายเป็นข้ออ้างสารพัดจนพ่อต้องว่างงานอยู่นาน พี่หยวนต้องลาออกจากโรงเรียน...เรื่องโกหกซ้ำซาก!
ก่อนที่เสิ่นหานจะทันได้ตัดสินใจหรือเอ่ยปากตอบรับด้วยความลังเล เสิ่นเมี่ยวก็ชิงพูดตัดบทขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ดังชัดเจนไปทั่วห้อง
"ย่าคะ เรื่องตำแหน่งงานของพ่อ จะยกให้หรือไม่ยกให้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าเรื่องหนี้สินห้าร้อยหยวนค่ะ"
คำพูดของเด็กหญิงทำให้ทุกคนหันมามองเธอเป็นตาเดียว จางหลินหน้าตึงขึ้นทันที
"ถ้าอยากให้พ่อหนูพิจารณาเรื่องนี้จริง ๆ" เสิ่นเมี่ยวพูดต่ออย่างไม่เกรงกลัว จ้องมองย่าและลุงอย่างตรงไปตรงมา "ก็เอาเงิน 500 หยวนมาคืนก่อนตามที่ตกลงกันเมื่อกี้เถอะค่ะ เงินมา งานถึงจะไปค่ะ"
ประโยคสุดท้ายที่เน้นย้ำเหมือนตอกตะปูลงไปกลางอก ทำให้ความอดทนของจางหลินขาดผึง! ความพยายามที่จะใช้ไม้นวมเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความโกรธแค้นที่กำลังเดือดพล่านที่กำลังรอการปะทุ หล่อนอุตส่าห์ยอมอ่อนข้อให้แล้ว นังเด็กนี่มันยังกล้ามาต่อรองเรื่องเงินอีก!
"แก!!!" จางหลินตวาดลั่น ลุกพรวดขึ้นยืนชี้หน้าเสิ่นเมี่ยวด้วยความโกรธจนตัวสั่น แต่คำพูดที่พ่นออกมากลับพุ่งเป้าไปที่เสิ่นหานผู้เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทั้งหมดในสายตาของนาง
"แกมันไอ้ลูกกาฝาก!!! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ! แค่ตำแหน่งงานแค่นี้ยังจะมาต่อรองเรื่องเงิน ทวงบุญคุณอะไรอีก! ลืมไปแล้วรึไงว่าใครเก็บแกมาเลี้ยง!!!"
สิ้นเสียงตวาดนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน คำว่ากาฝากและเก็บมาเลี้ยงที่หลุดออกมาจากปากของจางหลินอย่างเกรี้ยวกราดและชัดเจนที่สุดนี้มันหมายความว่าอะไรกัน
ดวงตาของเสิ่นหานมองไปยังหญิงชราที่ตัวเองเรียกว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้อย่างไม่อยากเชื่อหูที่ได้ยินคำผรุสวาทรุนแรงนี้
"แม่!" เสิ่นฉีรีบเอ่ยเรียกแม่ของตนเสียงดังด้วยความตกใจระคนคาดไม่ถึง
"นี่มันเรื่องอะไรกันครับ แม่หมายความว่ายังไง" เสิ่นหานไม่ปล่อยผ่านเขาจึงรีบถามออกมาเช่นกัน
นางจางที่รู้ตัวว่าได้เผลอพูดเรื่องที่ตนไม่ควรกล่าวหล่อนก็ได้แต่ยกมือปิดปากแน่นแววตาเลิ่กลั่ก
(มีเรื่องอะไรที่เราพลาดไป) เสิ่นเมี่ยวครุ่นคิดพลางมองไปทางใบหน้าเหี่ยวย่นของคนตรงหน้าอย่างพิจารณามากกว่าเดิม
เสียงของนางจางไม่ได้เบาเลย จึงทำให้คนที่อาศัยอยู่ภายในตึกต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนสงสัย ว่าใครคือหัวขโมยที่หล่อนกล่าวถึง"นั่นใคร" คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกที่เพิ่งกลับถึงบ้านบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหน้านางจางมาก่อน"ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าหล่อนเหมือนกัน" หญิงอีกคนตอบ ก่อนจะมีอีกเสียงแสดงความเห็นตามมา"จะเป็นญาติกับใครที่นี่หรือเปล่า....แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะหล่อนตะโกนว่าเด็กขี้ขโมย""เด็ก! ตึกเรามีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเลยนะ อีกอย่างของอะไรของหล่อนหายอย่างนั้นเหรอ" เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น ในระหว่างที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับละครโรงใหญ่ที่นางจางกับฟางหลานแสดง สองพี่น้องบ้านหลี่ก็เดินลงบันไดมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนางจางเห็นหน้าเด็กสองคน หล่อนก็ปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ "นังเด็กขี้ขโมย! พวกแกเอาเงินที่ขายของได้วันนี้มาให้ฉันเลยนะ" คำกล่าวหาอันร้ายแรงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตึกต่างรู้สึกตกใจทั้งนี้เป็นเพราะชื่อเสียงของหลี่เมี่ยวนั้นค่อนข้างดี พวก
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านพักสวัสดิการของโรงงานทอผ้ากลับคืนสู่ความสงบเฉกเช่นปกติ แต่สำหรับครอบครัวหลี่และกลุ่มของอาเปียวแล้วบรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากวีรกรรมเมื่อสามวันก่อน และความหวังในอนาคตที่สดใสขึ้นหลี่หานใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสามวันนี้ไปกับการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาจากตลาดใต้ดิน โดยเฉพาะตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่เขามั่นใจว่าจะทำกำไรได้งดงามในขณะที่เขาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เจ้าตัวก็ได้สอนเทคนิคที่รู้ให้กู้ยวี่และหลี่หยวนที่เป็นลูกมือด้วย ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติมส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการขายของรอบแรกหลังจากที่เหลือจากซื้อของก็ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี รอคอยการนำไปต่อยอดเช้าวันที่สี่หลังจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่หลี่หานกำลังง่วนอยู่กับการไล่วงจรไฟฟ้าของตู้เย็นอยู่ที่ระเบียงโดยมีกู้ยวี่คอยช่วยหยิบเครื่องมือรวมถึงหลี่หยวนส่วนหลี่เมี่ยวกำลังวางแผนเรื่องชานมไข่มุกของตนอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ อาเปียวก็วิ่งหน้าตื่นมาที่หน้าห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังโหวกเหวก"ลูกพี่หลี่ครับ! มีนายทหารมาหาครับ!" อาเปียวถือ
อีกด้านหนึ่งภายในหมู่บ้านชนบท ทันทีที่เท้าของฟางหลานก้าวเข้าไปในลานดินหน้าบ้าน หล่อนก็เห็นนางจางแม่สามี กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มือหนึ่งโบกพัดไปมา อีกมือก็หยิบเมล็ดแตงโมในจานขึ้นมาแทะอย่างสบายอารมณ์ ปากก็ขยับพูดคุยสัพเพเหระกับกลุ่มหญิงชราวัยเดียวกันอีกสองสามคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันอย่างออกรส"กลับมาแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกับปลาซะ!" นางจางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาโดยไม่สนใบหน้าของหล่อนที่กำลังทำหน้ามุ่ยฟางหลานทรุดตัวลงนั่งข้างแม่สามีทำหูทวนลม ก่อนที่หล่อนจะปั้นหน้าเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ "แม่คะ ฉันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง วันนี้ฉันเจอเด็กพวกนั้นที่หน้าสหกรณ์ร้านค้าด้วยละ เจ้าหลี่หยวนกับนังหลี่เมี่ยว ลูก ๆ ของนายหลี่หานน่ะค่ะ พวกมันกำลังตั้งแผงขายของกันใหญ่โตเลยนะคะ คนมุงซื้อกันเต็มไปหมด!""หา!" นางจางตบเข่าตัวเองดังฉาด! หยุดแทะเมล็ดแตงทันที "นังเด็กพวกนั้นน่ะรึ มันไปเอาปัญญาที่ไหนมาขายของกัน แล้วขายอะไรล่ะ ถึงได้มีคนมุงเยอะแยะ""ฉันได้ยินว่า ชานมไข่มุก อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะแม่" ฟางหลานเบ้ปากก่อนจะพูดต่อ "
หลังจากสั่งการกับพวกอาเปียวเรียบร้อย หลี่หานก็มองไปยังทิศที่เรือของคนพวกนี้จอดอยู่"ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปจัดการกับระบบของเรือลำนั้นเอง ทำให้มันออกทะเลไม่ได้แม้จะชั่วคราวก็ยังดี เสี่ยวกู้ นายคอยดูต้นทางและระวังหลังให้ฉันด้วย ส่วนสหายเฉินเฟิงในระหว่างนี้ผมว่าคุณจะต้องรีบหาทางส่งข่าวไปทางทีมของคุณโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะไหวตัว"ทุกคนพยักหน้ารับแผนการอย่างพร้อมเพรียง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดแผ่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่ม กลุ่มของหลี่หานเริ่มเคลื่อนไหวตามแผน อาเปียวและลูกน้องอีกสามสี่คนเดินตรงไปยังบริเวณใกล้ท่าเรือเก่าแล้วเริ่มทำทีเป็นทะเลาะวิวาทกันเสียงดังโหวกเหวก มีการผลักอก ชี้หน้า และด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย สร้างความสนใจให้กับยามและกลุ่มคนที่กำลังเตรียมขนย้ายเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม พวกมันหลายคนหันมามองด้วยความรำคาญและสงสัย ทำให้การทำงานชะงักไปชั่วขณะในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง หลี่หานก็ลอบเข้าไปใกล้เรือประมงดัดแปลงขนาดกลางที่จอดเทียบท่าอยู่ โชคดีที่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปครู่หนึ่งแล้วสองตาของชายหนุ่ม เห็นคนงานหลายคนกำลังลำเลียง
หลี่เมี่ยวเมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อคงไม่เป็นการดี ดังนั้นเธอจึงได้ขยี้ซ้ำลงมาอีก"ว่ายังไงคะ...คุณจางตกลงว่าพวกเราจะไปสถานีตำรวจกันเลยไหม" คำพูดของลูกสาวตัวเล็กทำให้เซี่ยอวิ๋นซือตกใจ ทั้งนี้เพราะหล่อนยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทางนิ่งเฉยเพราะเชื่อในตัวลูกทั้งสองคน คำท้าอันเฉียบขาดของหลี่เมี่ยวและแววตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเซี่ยอวิ๋นซือทำให้นางจางถึงกับพูดไม่ออกหล่อนมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนบ้านที่มองมาอย่างรอคอยบทสรุป หล่อนรู้ดีว่าถ้าไปสถานีตำรวจจริง เรื่องโกหกของตนจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจและตนเองกำลังจะจนมุม นางจางก็ไม่รอช้าหล่อนรีบหันหลังแล้วเดินแกมวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้ฟางหลานที่ทำตัวไม่ถูก ได้แต่วิ่งตามหลังแม่สามีไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าเพื่อนบ้าน"อ้าว! หนีไปซะแล้ว!" "แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมยใส่ร้ายคนอื่น!"เมื่อสองแม่ลูกตระกูลเสิ่น
ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังลงมือหาเงิน คนเป็นพ่อกับพรรคพวกทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางตามเส้นทางที่อาเฟิงเป็นผู้ชี้แนะ เป้าหมายของพวกเขาคือตลาดใต้ดินแหล่งรวมของเก่าที่อาเฟิงกล่าวอ้างว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยโอกาสอาเฟิงนำทางพวกเขาออกจากย่านที่อยู่อาศัยพลุกพล่าน ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่ซับซ้อนและเงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดและชวนหวาดหวั่นที่แห่งนี้มีโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่และเล็กที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผนังอิฐผุกร่อน หน้าต่างกระจกแตกละเอียด มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่ทั่วไป กลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลและสนิมเหล็กคละคลุ้งอยู่ในอากาศ"ที่นี่นะหรือ ตลาดใต้ดิน?" อาเปียวถามขึ้นเสียงเบา มองไปรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก "มันดูไม่เหมือนตลาดเลยสักนิด ออกจะเหมือน...รังโจรมากกว่า" ลูกน้องของเขาหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง"ตลาดที่ว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่กลางแจ้งให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกครับพี่อาเปียว" อาเฟิงอธิบาย "มันซ่อนอยู่ในโกดังร้างพวกนี้แหละครับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอก...ที่