ครั้นจางเย่วฉินเดินนำหน้าจนมาถึงบริเวณอันสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์จักรพรรดิซึ่งทางวัดจัดรับรองให้แก่ถังเกาจงและผู้ติดตามเสด็จได้พักผ่อนเป็นการชั่วคราว ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพทั้งสองหยุดลงพร้อมเสียงของจางเย่วฉินบอกอีกฝ่ายออกมาเบาๆ ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น
“เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดอย่างยิ่งยวด เพราะฉะนั้นจะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด” ทันทีที่หลัวอี้หลางได้ยินเช่นนั้นก็ล่วงรู้โดยพลันว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป แม่ทัพแห่งซุยโจวเอียงหูของเขา พร้อมฟังเรื่องราวทุกอย่างเริ่มพรั่งพรูออกจากปากของจางเย่วฉินซึ่งได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ จากกัวเหยียนไฉที่นำความมาบอกและจบลงพร้อมคำถามจากแม่ทัพซุยโจว “แล้วท่านแม่ทัพคิดเห็นอย่างไรหากธิดาของเสนาบดีจ้าวแท้จริงแล้วคือมารโลหิต! และยังเป็นนางมารร้ายในตำนานโบราณเลยเชียวนะ”หลัวอี้หลางตั้งใจถามประโยคดังกล่าวออกไปเพื่อทดสอบจางเย่วฉิน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ว่าคนรักของเขาจะเป็นอย่างไร ล้วนรับได้จนหมดสิ้นและจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาทางช่วยนางให้หลุดพ้นและปลอดภัยจากทุกสิ่ง “ถามข้าเช่นนี้ทำไมอี้หลาง แล้วจะได้ประโยชน์อะไรจากคำตอบของ“ทุกคนจงเดินถอยห่างออกไปจากบริเวณนี้ให้หมด! ยกเว้นแม่ทัพจางและแม่ทัพหลัวเจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกันกับข้าตรงนี้! รวมไปถึงสตรีนางนี้ที่ปลอมตัวเป็นชายให้อยู่ด้วยเช่นกัน!”สุรเสียงของถังเกาจงดุดันเป็นยิ่งนัก ครั้นข้าราชบริพารต่างถอยห่างออกไปจากบริเวณดังกล่าว เหลือเพียงผู้ที่องค์จักรพพรดิรับสั่งเอาไว้เท่านั้นสุรเสียงของถังเกาจงรับสั่งถามสตรีนางนั้นกลับไปทันทีด้วยความอยากรู้ “เจ้าแน่ใจนะว่าสตรีสูงศักดิ์ที่กล่าวออกมานั้น พำนักอยู่จวนดอกเหมยที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง ถ้าเช่นนั้นล่วงรู้หรือไม่ว่านางมีนามว่าอะไร เพราะภายในจวนนั้นล้วนมีแต่สตรีในระดับสูงเดินทางไปพักผ่อนที่จวนแห่งนั้นหลายนางอยู่ในเวลานี้”รับสั่งถามกลับไปเพื่อเจาะจงให้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วสตรีที่ถูกพาดพิงในครั้งนี้แท้จริงเป็นผู้ใดกันแน่ ด้วยเพราะในเวลานี้เหล่าชายาของไต้อ๋องล้วนไปพำนักอยู่ที่จวนดอกเหมยเพื่อชื่นชมดอกไม้นานาพรรณที่กำลังเบ่งบานรับฤดูใบไม้ผลิ สตรีคนดังกล่าวนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อจดจำได้ “ข้าน้อยมีโอกาสติดตามหานจงไปที่จวนนั้นหนึ่งครั้ง และได้ยินคนสนิทของนางมักจะใช้คำเรียกแทนชื่อสตรี
ในเวลาต่อมาร่างอันไร้วิญญาณของกลุ่มกบฏต้าสุย ต่างพากันนอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่วลานหินขาว กำลังทหารจากหน่วยพยัคฆ์ขาวที่ล้อมรอบอยู่ภายนอก ไล่กวาดต้อนเหล่ากบฏจนมารวมตัวอยู่ภายในบริเวณดังกล่าว พร้อมโอบล้อมรอบกลุ่มกบฏเอาไว้ทั่วทุกทิศทางยากนักที่จะตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ โดยมีหลัวอี้หลางเดินนำหน้ากองทหารมาหยุดยืนเคียงข้างจางเย่วฉิน พร้อมพยักหน้าขึ้นลงส่งสัญญาณกลับไปให้ล่วงรู้ว่าแผนที่วางเอาไว้สำเร็จลุล่วงแล้ว พร้อมเสียงของจางเย่วฉินตะโกนก้อง “พวกเจ้าถูกกำลังทหารล้อมจับเอาไว้จนหมดแล้ว! หากยังคิดที่จะต่อสู้อีกมีแต่จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งอยู่ตรงนี้ด้วยกันทั้งหมด ยอมจำนนเสียแต่โดยดีจะได้ไม่สูญเสียไปมากกว่านี้! เจ้าจะสู้ไปเพื่อใครในเมื่อหัวหน้าของพวกเจ้ายังถูกข้าสังหารนอนกลายเป็นศพไปแล้ว!!!” คำกล่าวของแม่ทัพใหญ่ทำให้กลุ่มคนกู้ชาติต่างหันกลับมามองหน้ากัน เมื่อเหตุการณ์ถูกตลบหลังจากได้ชัยชนะกลับพ่ายแพ้จนหมดรูป และดูท่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่แห่งนี้เสียแล้ว “ยอมจำนนก็ตาย! ไม่ยอมจำนนก็ตาย! มีค่าต่างกันตรงไหน!”เสียงของชายวัยประมาณสามสิบปีตะโกนกลับไปด้วย
ภายในห้องรับรอง“เป็นความจริงหรือนี่!”พระสุระเสียงรับสั่งออกมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดออกจากปากขุนพลคู่บัลลังก์ เฮ้อ! เสียงทอดถอนหทัยดังออกมาอย่างแรง “ข้าล่วงรู้ดีว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเสด็จพ่อที่ตั้งพระทัยจะทรงมอบราชบัลลังก์นี้ให้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ครองราชย์มาห้าปี ทั้งสงครามกับชนเผ่านอกด่านและกองกำลังต่อต้านล้มล้างต้าถังเพื่อกอบกู้ต้าสุยก็ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ครั้งนี้มุ่งหมายปลิดชีวิตของข้า! แสดงว่าพรรคมารโลหิตแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านต้าถังกอบกู้แผ่นดินต้าสุย อาศัยชื่อเสียงในยุทธภพบังหน้าไม่ให้ล่วงรู้ตัวตนอันแท้จริง”ถังเกาจงฮ่องเต้รับสั่งออกมา ถ้อยรับสั่งขององค์จักรพรรดิที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดต่อพรรคมารโลหิตทั้งหมด ทำให้หลัวอี้หลางซึ่งเป็นสายเลือดของพรรคมารโลหิตโดยแท้จริงไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป “ขอฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตกระหม่อมได้มีโอกาสกราบทูลบางอย่างให้ทรงทราบในเรื่องที่พระองค์กำลังเข้าพระทัยเกี่ยวกับพรรคมารโลหิตนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”หลัวอี้หลางตัดสินใจกราบทูลกลับไป และนั่นทำให้ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงท
ครั้นจางเย่วฉินเดินนำหน้าจนมาถึงบริเวณอันสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์จักรพรรดิซึ่งทางวัดจัดรับรองให้แก่ถังเกาจงและผู้ติดตามเสด็จได้พักผ่อนเป็นการชั่วคราว ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพทั้งสองหยุดลงพร้อมเสียงของจางเย่วฉินบอกอีกฝ่ายออกมาเบาๆ ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดอย่างยิ่งยวด เพราะฉะนั้นจะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด” ทันทีที่หลัวอี้หลางได้ยินเช่นนั้นก็ล่วงรู้โดยพลันว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป แม่ทัพแห่งซุยโจวเอียงหูของเขา พร้อมฟังเรื่องราวทุกอย่างเริ่มพรั่งพรูออกจากปากของจางเย่วฉินซึ่งได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ จากกัวเหยียนไฉที่นำความมาบอกและจบลงพร้อมคำถามจากแม่ทัพซุยโจว “แล้วท่านแม่ทัพคิดเห็นอย่างไรหากธิดาของเสนาบดีจ้าวแท้จริงแล้วคือมารโลหิต! และยังเป็นนางมารร้ายในตำนานโบราณเลยเชียวนะ”หลัวอี้หลางตั้งใจถามประโยคดังกล่าวออกไปเพื่อทดสอบจางเย่วฉิน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ว่าคนรักของเขาจะเป็นอย่างไร ล้วนรับได้จนหมดสิ้นและจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาทางช่วยนางให้หลุดพ้นและปลอดภัยจากทุกสิ่ง “ถามข้าเช่นนี้ทำไมอี้หลาง แล้วจะได้ประโยชน์อะไรจากคำตอบของ
ในเวลาต่อมาร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะของผู้บัญชาการทัพแห่งต้าถัง ซึ่งทำหน้าที่ถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ผู้ติดตามอีกนับหลายสิบชีวิต ควบม้าห้อตะบึงออกจากวัดกานเย่ไปเพียงลำพัง โดยอาศัยเส้นทางการเดินทางจากหลังวัดซึ่งเป็นชายป่ามุ่งหน้ากลับเมืองหลวงไปอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ขบวนเสด็จเพิ่งเคลื่อนออกจากวัดกานเย่ไปยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ปล่อยให้ผู้อื่นทำหน้าที่ถวายอารักขาแทนโดยปราศจากจางเย่วฉินร่วมขบวนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของสองแม่ทัพที่รู้เท่าทันแผนลวงดังกล่าว ทันทีที่ร่างใหญ่ในชุดเกราะของผู้บัญชาการทัพควบม้ากลับเมืองหลวงโดยอาศัยเส้นทางหลังวัด ผ่านสายตาของกลุ่มคนที่แอบปลอมตนจากบุรุษให้อยู่ในคราบของนางชี คอยสอดส่องหาข่าวเพื่อส่งสัญญาณเริ่มลงมือปลงพระชนม์ถังเกาจงฮ่องเต้ทันที ตามแผนที่ได้วางเอาไว้เมื่อไม่มีจางเย่วฉินคอยปกป้องและคุ้มครอง ทว่าพวกมันช่างขลาดเขลายิ่งนักไม่ล่วงรู้เลยว่าร่างใหญ่ที่ควบม้าห้อตะบึงโดยใช้เส้นทางหลังวัดเพื่อเดินทางกลับฉางอานแท้จริงแล้วคือหลัวอี้หลางปลอมตนสวมชุดเกราะเป็นจางเย่วฉินแทนแม่ทัพผู้กล้า
บริเวณลานกว้างหน้าวัดกานเย่กองทหารราชองครักษ์กว่าหนึ่งพันชีวิต ภายใต้การนำของจางเย่วฉิน ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ตั้งกองทหารถวายอารักขารายล้อมอยู่ด้านหน้าของวัดดังกล่าว โดยมีหน่วยพยัคฆ์ขาวซึ่งหลัวอี้หลางเป็นผู้บัญชาการหน่วยควบคุมอยู่ ทั้งสองแม่ทัพผู้กล้า ต่างจัดกองกำลังทหารที่อยู่ในสังกัดเฝ้าถวายอารักขาองค์จักรพรรดิ โดยในวันนี้ฝ่ายในต่างตามเสด็จมากันอย่างพร้อมเพรียง ตลอดรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูงอีกหลายพระองค์ และขุนนางระดับอัครเสนาบดีและเสนาบดีใหญ่ๆ ตามเสด็จในพิธีบวงสรวงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน และพิธีดังกล่าวในช่วงเช้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมเดินทางเสด็จกลับพระราชวังต้าหมิง ในขณะที่แม่ทัพทั้งสองต่างนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกันทั้งคู่ สายตาเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็จดจำได้เป็นอย่างดีว่าคือกัวเหยียนไฉกำลังควบม้าห้อตะบึงตรงมาหาอย่างรีบเร่งเป้าหมายคือแม่ทัพของตนเพื่อแจ้งข่าวสำคัญอย่างสุดฝีเท้าม้า “นั่นคือกัวเหยียนไฉคนสนิทของท่านไม่ใช่เหรอแม่ทัพจาง ควบม้าเร็วห้อตะบึงมาอย่างรีบเร่งเช่นนั้นดูท่าจะต้องมีเรื่องเร่งด่วนเสียแล้วกระมัง”หล