“สวีไท่ฉาง” เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ชอบต้อนรับแขก ยามค่ำคืนก็ไม่นอน ไปให้อาหารม้าของพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเองเสี่ยวอู่คำนึงเสมอว่าต้องปกป้องศิษย์พี่ จึงระมัดระวังตัวกับทุกคนอย่างมากเมื่อเห็นสวีไท่ฉางเข้าไปในโรงม้า ก็แอบจับตาดูจนแน่ใจว่าอาหารม้าไม่มีปัญหา เสี่ยวอู่ค่อยกลับห้องไปนอนวันรุ่งขึ้นเป็นวันส่งท้ายปีเก่า (ฉูซี)เดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ตั้งใจจะพักแค่คืนเดียว แล้วออกเดินทางต่อในวันถัดไปแต่เพราะเป็นวันส่งท้ายปีเก่าซึ่งมีความหมายพิเศษ สวีไท่ฉางตั้งใจเชิญชวนอย่างกระตือรือร้นบวกกับในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ประตูเมืองมักจะปิด ทำให้เข้าออกเมืองไม่สะดวกหลังจากไตร่ตรองแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจพักอีกวัน รอวันขึ้นปีใหม่ประตูเมืองเปิดแล้วค่อยออกเดินทางในวันส่งท้ายปี คนในครอบครัวของสวีไท่ฉางล้วนกลับมาอยู่พร้อมหน้า“พี่ชาย! พวกเรารับพี่สะใภ้กับหลานกลับมาแล้ว!” น้องชายสวีไท่กู่ เป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้าน อายุราวยี่สิบกว่า เพราะบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเคราเหมือนเซียวอวี้ แถมยังสวมชุดขาว ทำให้ดูมีความเป็นหนุ่มอยู่ไม่น้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกในใจ ไม่แปลกที่คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่า
ทางตอนเหนือของแคว้นหนานฉี หิมะยิ่งตกยิ่งหนักปลายเดือนสิบสอง ชาวบ้านต่างยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวฉลองปีใหม่ โรงพักแรมจำนวนไม่น้อยได้ปิดให้บริการเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสหายมากมาย ระหว่างทางจึงแวะพักที่บ้านของสหายสหายผู้นั้นชื่อ “สวีไท่ฉาง” ไว้เครารกรุงรัง รูปร่างกำยำ ผิวดำคล้ำเขาเปิดกิจการสำนักคุ้มภัยหลังจากแคว้นรอบด้านรุมโจมตีแคว้นหนานฉีแล้วพ่ายแพ้ ทำให้ต้องเปิดเส้นทางการค้าใหม่หลายสาย นั่นก็ทำให้สำนักคุ้มภัยของสกุลสวีมีงานเพิ่มขึ้นมากสวีไท่ฉางรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่าทั้งสองคนเป็นสหายในยุทธภพ อีกทั้งฮ่องเต้ฮองเฮาออกตรวจตราเป็นการส่วนตัว เขาจึงไม่เรียกขานด้วยคำยกย่องเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เซียวอวี้รู้จัก“พี่สวีออกเดินทางคุ้มภัยสินค้าตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เขากับเจียงหลินเป็นสหายสนิทกันมาหลายชั่วคน มักช่วยเหลือคุ้มภัยสินค้าตระกูลเจียง”สวีไท่ฉางยกมือคำนับเซียวอวี้โดยอัตโนมัติเซียวอวี้กลับเป็นฝ่ายคำนับแบบชาวยุทธเสียก่อน “พี่สวี”เมื่อเดินทางอยู่ด้านนอก ต้องลืมฐานะของตัวเองไปเสียสวีไท่ฉางไม่กล้ารับคำนับนี้ รีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแนบเนียน“อย่ายืนอยู่หน
เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของชายแดนใต้ รุ่ยอ๋องพาหร่วนฝูอวี้พักอยู่ในโรงพักแรมตอนนี้หร่วนฝูอวี้ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว หน้าท้องเริ่มเห็นชัด ใบหน้าก็กลมขึ้นกว่าก่อนนางไม่ชอบตัวเองที่ดูอ้วนกลมแบบนี้เมื่อก่อน เพื่อให้ได้ครอบครองซูฮ่วน นางพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ตัวเองผอมตอนนี้เพราะตั้งครรภ์ นางกลับมาอ้วนอีกครั้งนี่ทำให้นางหงุดหงิด และบางครั้งถึงกับอารมณ์แปรปรวนรุนแรงรุ่ยอ๋องเคยอ่านตำรามาไม่น้อย รู้ดีว่าหญิงตั้งครรภ์อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ต้องคอยตามใจนาง ห้ามทำให้นางโกรธทุกครั้งที่หร่วนฝูอวี้ระเบิดอารมณ์ รุ่ยอ๋องก็อดทนรับไว้หมดโดยไม่ปริปากบ่นนางมักพูดว่าตัวเองอ้วน บางทีก็ถึงขั้นคิดอยากเอาเด็กออกทุกครั้งรุ่ยอ๋องล้วนพูดกับนางอย่างหนักแน่น“อ้วนตรงไหนกัน? เจ้าดูอวบอิ่มต่างหาก คนอื่นยังอิจฉาด้วยซ้ำ”บางครั้งคำพูดนี้ก็สามารถปลอบโยนหร่วนฝูอวี้ได้แต่นางจะถามย้ำซ้ำไปมา...“จริงหรือ?”หร่วนฝูอวี้ยังไม่ลืมว่า นางมาชายแดนใต้ ไม่ใช่เพื่อพักผ่อนชมวิว ทว่าเพื่อสืบหาความจริงคดีมนุษย์โอสถในหนานเจียง ดูว่าสำนักของนางถูกลูกหลงหรือไม่หลังจากมาถึงชายแดนใต้ นางก็จัดการส่งคนไปหนานเจียง สอน
คำพูดของเสียวอู่ ฮ่องเต้ยอมเชื่อว่ามี ดีกว่าเชื่อว่าไม่มีเมื่อรู้ว่าข้างหน้ามีอันตราย เซียวอวี้ไม่มีทางยอมให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกับลูก ๆ ไปเสี่ยงอันตรายด้วยแน่นอนทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเขานางคัดค้านการวางแผนของเขาทันที พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว“ลูก ๆ ควรกลับเมืองหลวง ทว่าหากท่านยืนกรานจะไปชายแดน หม่อมฉันก็ต้องไปกับท่านด้วยเพคะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่น สายตาฉายแววกังวล“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...”“หม่อมฉันรู้เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนสบตาเขาอย่างมั่นคง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความลังเลนางไม่เคยกลัวอันตรายภูเขามีดทะเลเพลิง นางก็กล้าบุกเซียวอวี้รู้นิสัยของนางดี เห็นว่า “สลัดไม่หลุด” ก็ได้แต่ตามใจนาง“ได้ เช่นนั้นก็ส่งพวกอาหลิ่นกลับไปก่อน”เรื่องของผู้ใหญ่ พาลูกไปด้วยย่อมไม่สะดวกเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอความเห็น“จากที่นี่ถึงเมืองหลวงค่อนข้างไกล เกรงว่าในระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดคิด มิสู้ส่งพวกเขาไปที่ตระกูลเมิ่งที่เมืองซางก่อนจะดีกว่าไหมเพคะ?”เซียวอวี้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นด้วยแม้นเมืองหลวงจะมีกำลังคุ้มกันแน่นหนา แต่ก็ใช่ว่าจะป้องกันส
เซียวอวี้เป็นศิษย์ภูเขาหวูหยาศิษย์ทั้งหลาย นอกจากปฏิบัติธรรมแล้ว แทบจะไม่เคยลงจากเขาเลยชายตรงหน้า เป็นหนึ่งในศิษย์น้องของเขา มีชื่อเรียกว่า “เสียวอู่”เฟิ่งจิ่วเหยียนเคยไปภูเขาหวูหยา คุ้นหน้าคุ้นตาเสียวอู่อยู่บ้างหน้าตาธรรมดา กลับมีอุปนิสัยเรียบง่ายซื่อตรงโดยธรรมชาติ ราวกับน้องชายข้างบ้าน ทำให้ผู้คนรู้สึกสนิทใจได้โดยง่ายเสียวอู่แบกกระบี่ไว้บนหลัง ยิ้มให้เห็นฟัน“ศิษย์พี่ ท่านอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย!”ภูเขาหวูหยาห่างไกลโลกภายนอก ไม่ยึดถือระเบียบชั้นวรรณะในสายตาเสียวอู่ ศิษย์พี่ก็คือศิษย์พี่ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิ ก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ที่เขาชื่นชอบที่สุดเซียวอวี้ไม่ตอบคำถามของเสียวอู่ พาเขาเข้าไปในห้อง แล้วเอ่ยถามเขา“ว่ามา เจ้ามาที่นี่ทำไม”ดูเหมือนเสียวอู่จะคาดไว้แล้วว่า เขาจะอยู่ที่นี่“ศิษย์พี่ ข้าลงเขาตามคำสั่งของอาจารย์…” พูดได้ครึ่งประโยค สายตาของเสียวอู่ก็ถูกเด็กสองคนดึงดูดไปนั่นคือบุตรของศิษย์พี่หรือ?น่ารักเสียจริงเซียวอวี้เร่งเร้า “รับคำสั่งมาทำอะไร?”เสียวอู่ได้สติ รีบหันมายิ้มให้เซียวอวี้เขาเกาศีรษะ พลางหัวเราะอย่างซื่อ ๆ“อาจารย์บอกว่า ศิษย์พี่จะพบ
เซียวอวี้ไม่อยากเปิดจดหมายของเฟิ่งจิ่วเหยียนโดยพลการแต่เขาก็อยากดูมากจริง ๆดังนั้น จึงใช้เด็กน้อยทั้งสองคนให้เป็นเครื่องมือของเขาเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนอาบน้ำออกมา เห็นบนโต๊ะกระจัดกระจายไปด้วยกองจดหมาย มีบางฉบับที่ถูกฉีกออกอาหลิ่นนั่งอยู่หัวเตียง ในมือถือจดหมายที่ฉีกซองแล้วอาลี่นั่งอยู่ท้ายเตียง คาบจดหมายไว้ในปากหนึ่งฉบับ กำลังลิ้มลองรสชาติส่วนเซียวอวี้กลับกำลังเก็บ“พวกเจ้าสองคนเนี่ยนะ บอกแล้วว่าอย่าทำ ไม่ยอมฟังกันเลย”เขาเหมือนผู้บริสุทธิ์มาก ตอนเก็บจดหมาย มองดูหลายครั้งคงปกติสินะ? คงไม่น่าสงสัยสินะ?เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นภาพที่วุ่นวายเช่นนี้ ขมวดคิ้วทันที“เจ้าดูลูกอย่างไรกัน!”นางตำหนิเซียวอวี้เซียวอวี้หันมอง ในแววตาเจือความโกรธเคืองเล็กน้อย“เจ้าไม่เคยเก็บจดหมายของข้าเลยหรือ”ฉบับที่เขาถืออยู่ในมือ คือจดหมายรักที่ต้วนไหวซวี่เขียนในตอนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนสบตากับเซียวอวี้ ไม่มีความคิดจะอธิบายเรื่องระหว่างนางกับต้วนไหวซวี่ เขาเองก็รู้ดีเรื่องที่เคยชอบต้วนไหวซวี่ นางเองก็ไม่เคยปฏิเสธมาก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดมาก เลือกที่จะเคลื่อนไหวทันทีนางปรับท่านั่งให้ลูกชาย