เข้าสู่ระบบกำยานสูตรพิเศษนี้...นางตั้งใจเอาให้สหายของนาง...แล้วไยกลับกลายเป็นนางกับองค์รัชทายาทผู้นี้กันเล่า!!! ฮึ!เจ้าได้ตัวข้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ! จะหนีไปไหน!? แม้ว่าจุดเริ่มต้นคือความผิดพลาด...แต่ต่อไปนี้ต่างหากคือของจริง! เฉินเจียวเหมย ดอกกุหลาบแห่งความอ่อนหวาน บนความสวยงามอ่อนหวานนางมีหนามแหลมคมที่ซ่อนอยู่ จ้าวจิ่นหลง มังกรผู้หนักแน่น สำหรับเขาแล้วมีเพียงนางเท่านั้นที่เขาไม่อาจปล่อยไป
ดูเพิ่มเติมบนโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งภายในห้องพักห้องหนึ่ง
บัดนี้ได้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานชนิดหนึ่งซึ่งเป็น แบบพิเศษ
พิเศษมาก....
กลิ่นกำยานที่บรรจุอยู่ในโถกำยานอันนี้มีส่วนผสมของตัวยาชนิดพิเศษที่ช่วยให้คู่สามีภรรยาได้รักกันมากยิ่งขึ้น
มีความต้องการกันและกันมากยิ่งขึ้น
สร้างอารมณ์กำหนัดให้สุดแสนจะมีความรัญจวนมากๆ ยิ่งๆ ขึ้น
และมีความสามารถที่จะทำให้คู่สามีภรรยาได้มีทายาทได้ในเร็ววันยิ่งๆ ขึ้น
กลิ่นกำยานกลิ่นนี้นั้น มันกำลังทำงานตามหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
ดีมาก...
ถึงแม้ว่าผู้ที่ได้สูดดมจะมิใช่สามีภรรยา
ถึงแม้ว่าผู้ที่ได้สูดดมจะมิได้นำพาสิ่งใดๆ ต่อกัน และ...
ถึงแม้ว่าผู้ที่ได้สูดดมจะมิได้รู้จักมักคุ้นกันและกันก็ตามที
กลิ่นกำยานชนิดพิเศษนี้นั้น มันกำลังแผ่กลิ่นหอมอันทรงพลังกำจายให้แก่ร่างกายของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีได้
เป็นอย่างดี...
มันกำลังสร้างความปั่นป่วนพลุ่งพล่านกระจัดกระจายพาอารมณ์กระเจิดกระเจิงได้
เป็นอย่างดี...
“อา...ท่ะ...ท่าน...ท่านเป็น...ใคร” เสียงหวานใสครางกระเส่าของสตรีนางหนึ่งเอ่ยถามบุรุษผู้หนึ่งออกมาขณะกำลังเอื้อมวงแขนเรียวสวยของตนโอบเกี่ยวบุรุษผู้นี้เอาไว้แน่น
“เจ้า...นั่นล่ะ...เป็นใคร” ฝ่ายบุรุษตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าปนกระเส่าไม่แพ้กันขณะกอดรัดโรมรันอยู่กับสตรี
“อืม...ไย...ไยท่าน...ทำอย่างนี้ อา...” น้ำเสียงแว่วหวานพร้อมลมหายใจติดขัดของสตรียังคงคาดคั้นขณะแอ่นอกยกกายเข้าหาร่างใหญ่กำยำที่กำลังครอบงำเรือนร่างของนาง
“เจ้า...นั่นล่ะ...ไยทำเยี่ยงนี้” เสียงครางกดต่ำของบุรุษยังคงคาดคั้นขณะดันร่างล่ำๆ ของตนเบียดเสียดแทรกซึมเข้าหาสตรี
“ป่ะ...ปล่อยข้า...นะ”
“เจ้า...นั่นละ...ปล่อยข้า”
“ไม่นะ...ปล่อยนะ...”
“ปล่อยข้า”
“อา...”
“อืม...”
ถึงแม้ว่าประโยคที่เอื้อนเอ่ยจะเป็นอย่างนั้น แต่ทว่าการกระทำกลับมิได้เป็นอย่างนั้นแต่อย่างใด
คนสองคน
ร่างสองร่าง
ยังคงสอดประสานเข้าหากันอย่างรุนแรงเร่าร้อนกระชั้นถี่
แม้แต่อาภรณ์ยังถูกถอดออกจากเรือนร่างของแต่ละฝ่ายอย่างไม่ใยดี
เตียงนอนม่านมุ้งพลันสั่นไหวไปมาอย่างไม่ปราณี
ฝ่ายบุรุษยังคงก้มหน้าลงซุกไซร้อยู่ตรงซอกคอหอมกรุ่นของสตรีอย่างไม่อาจห้ามได้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจห้ามใจ ห้ามอารมณ์ ห้ามความพลุ่งพล่าน ห้ามความต้องการ ห้ามทุกสิ่งอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในยามนี้
ฝ่ายสตรีก็เช่นเดียวกัน นางมิอาจห้ามปรามความต้องการของตนในยามนี้ได้แต่อย่างใด
ในยามนี้นางทำได้เพียงโอบกอดเขา แอ่นกายเข้าหาเขา ตอบรับทุกสัมผัสของเขาอย่างรัญจวนเร่งเร้า เข้าขาได้เป็นอย่างดี
“ข้าบอกให้ปล่อย” นางยังคงคำรามแม้ว่ากายงามยังคงตอบรับ
“เจ้านั่นล่ะปล่อยข้า” เขายังคงคำรามแม้กายงามยังคงรุกล้ำ
“ปล่อย อา...”
“อืม...”
“อ๊ะ...ท่าน...”
“อืม...เจ้า...”
ทั้งสองคนยังคงพยายามเถียงกันไปมาในขณะที่กายายังคงแทรกซึม
กลิ่นกำยานยังคงตลบอบอวลในขณะที่อารมณ์รัญจวนยังคงทำงาน
ร่างสองร่างที่เมื่อครู่ยังคงมีอาภรณ์ติดอยู่อย่างรุ่มร่ามแต่ทว่าเพียงไม่นานอาภรณ์เหล่านั้นพลันถูกดึงทึ้งฉีกขาดจนเหลือเพียงร่างสองร่างเปลือยเปล่าคลุกเคล้ากันไปมาอยู่บนเตียงนอน
เสียงถกเถียงกันยังคงดัง…
อย่างต่อเนื่อง
“ไยทำอย่างนี้ อื้ม...”
“เจ้านั่นล่ะ กล้าดีอย่างไร อา...”
“ท่าน...ปล่อยนะ...”
“เจ้า...ปล่อยก่อน”
“อา...”
“อืม...”
เฉินเจียวเหมยเงียบงันพลันครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ภายในใจ เอาอย่างไรดี?“หยุดคิดที่จะหนีข้าได้แล้ว” จ้าวจิ่นหลงคำรามเสียงดังอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้าเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งตกใจ“พูดดีๆ ก็ได้” หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดัง“เจ้าคุยไม่รู้เรื่อง”“ท่านนั่นล่ะคุยไม่รู้เรื่อง”“เจ้านั่นล่ะ”“ท่านนั่นล่ะ”“ฮึ!”“หึ!”ทั้งสองสะบัดหน้าหนีออกจากกันคนละทิศละทางแม้ว่ากายงามจะยังคงแนบชิดพวกเขายังคงนั่งซ้อนกันอยู่บนหลังม้าอึดใจต่อมา จ้าวจิ่นหลงจึงทำท่าจะควบตะบึงม้าให้ออกตัวเดินทางอีกครา โดยที่มือข้างหนึ่งของเขายังคงรัดรึงโอบกอดร่างของเฉินเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คุมบังเหียนม้าเพื่อบังคับให้ไปตามทางเฉินเจียวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของจ้าวจิ่นหลงที่กำลังจับบังเหียนม้าอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อมือเล็กจับกุมมือใหญ่ ชายหนุ่มจึงชะงักไป“หยุดเลย!” เฉินเจียวเหมยยังคงเสียงดัง“อันใด!”“ท่านจะพาข้าไปที่ใด”“พาเจ้ากลับแคว้นจ้าว”“ข้าไม่ไป”“ทำไม”“ไม่ไปก็คือไม่ไป ท่านนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เฉินเจียวเหมยเริ่มหงุดหงิดเหลือประมาณ“...”จ้าวจิ่นหลงถึงกับเงียบงัน เข
เฉินเจียวเหมยเพียงใช้หางตาแอบมองใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา เขากำลังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยมาดของบุรุษที่มีเสน่ห์น่าแทรกกายเข้าหานางติดใจเขาเสียแล้ว นางเป็นสตรีอย่างนี้ได้อย่างไร อา...นางต้องอยู่ให้ไกลจากเรือนร่างอันยั่วยวนของเขา นางต้องหนีเขาไปให้ไกล ก่อนที่นางจะรู้สึกคลั่งเขาไปมากกว่านี้เรื่องอย่างนี้จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับบุรุษน่าตายผู้นี้ นางจะต้องเก็บข่มมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด ไม่ได้ ไม่ได้นางจะเสียชื่อหมอหญิงผู้เก่งกาจทุกสถานการณ์อย่างนี้...ไม่ได้! จะเสียท่าให้กับยาปลุกกำหนัดของตัวเองอย่างนี้...ไม่ได้! จะตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้...ไม่ได้! จะ....หือ!และแล้วความคิดที่ต้องการจะหนีใครบางคนด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงของเฉินเจียวเหมยพลันตกไป ด้วยเพราะว่าใครบางคนนั้นพลันอุ้มนางลงจากรถม้าแล้วพานางมาขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะควบตะบึงม้าพานางออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดและเพียงอึดใจ เสียงควบตะบึงม้าพลันดังขึ้นมาในโสตประสาทของเฉินเจียวเหมยและทำให้นางได้เข้าใจไม่...เฉินเจียวเหมยได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเฉินเจียวเหมยยังคงถูกบุรุษแป
เขาทำท่าทางดุดันน่าเกรงขามข่มคำรามใส่นาง ในขณะที่จับกดนางไม่ยอมปล่อยนางรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่ทำให้เขาไม่อาจถอนร่างกายของเขาออกจากร่างกายของนางเพราะว่านางเองก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกันนางโอบกอดกระหวัดรัดรึงเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นในขณะที่เขาก็ถาโถมเข้าใส่นางอย่างหนักหน่วง เราสองสอดประสานกันอย่างเหนียวแน่นเกินห้ามใจเกินยับยั้งแต่ทว่า...เขามิได้รักนาง เขามิได้ต้องการนางแต่อย่างใดนางเองก็เช่นเดียวกันนางมิได้ต้องการเขา ไม่ได้รักเขานางจะรักเขาได้อย่างไร เขาเป็นใครนางยังไม่รู้เลยที่สอดประสานกับจนเนื้อนวลเกือบจะแหลกเหลวนั่น ก็เพราะยาสูตรพิเศษของนางล้วนๆนางกับเขาไม่ควรเจอกัน นางไม่ควรเจอกับเขาอีก นางอยากจะลืมลืมความอับอาย ลืมความอัปยศดอดสูนี่ นางควรหนี นางจะต้องหนีเขา นางต้องหนีเขาเท่านั้น นางควรหนีเขาไปที่ใดดีเมื่อเฉินเจียวเหมยคิดได้อย่างนั้นจึงทำท่าจะกระโจนตัวหนีจ้าวจิ่นหลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ นอกจากฝ่ามือใหญ่หนาของเขาที่จับกระชากนางให้นั่งอยู่กับที่นิ่งๆ แล้ว ใบหน้าของจ้าวจิ่นหลงพลันแนบชิดเข้ามา แล้วกดจูบนางอย่างเร่าร้อน“อื้อ...อื้อ” เฉินเจียวเหมยถึงกับตกใจอุทานอยู่
เขาเป็นบุรุษน่าตายที่สุดในชีวิตของนางนางควรทำอย่างไรดี ทำตัวน่ารังเกียจไปเลยดีหรือไม่ จะอย่างไรเสีย นางก็น่ารังเกียจอยู่แล้วในยามนี้ นางเป็นสตรีน่ารังเกียจไปหมดแล้วตั้งแต่ค่ำคืนของคืนนั้นจ้าวจิ่นหลงที่ได้ถือโอกาสเข้ามาภายในรถม้าคันนี้เป็นผลสำเร็จเมื่อจูหยวนจางอุ้มภรรยาลงจากรถม้าไปเพื่อที่จะได้ไปนั่งชื่นชมทิวทัศน์พร้อมกับแนบชิดคลอเคลียไปมาอยู่กับภรรยาที่ริมลำธารนั่น เขาจึงเข้ามาเพื่อที่ต้องการจะคุยกับสตรีน่าตายผู้นี้ให้รู้เรื่อง เมื่อเขาเข้ามานั่งในรถม้าคันเดียวกันกับนางแล้ว เขาเพียงนั่งจ้องมองนางนิ่งๆ เพื่อหยั่งเชิงนาง เพื่อดูว่านางจะหนีเขาไปที่ใดได้อีกเมื่อเขาเห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปที่ใดแล้ว เขาจึงเริ่มต้นบทสนทนาแนะนำตัวและทำความรู้จักกับนางใช่! เขากับนางควรทำความรู้จักกันด้วยการเสวนากันดีๆ แบบปกติของบุรุษและสตรีทั่วไปถึงแม้ว่า เขากับนางจะทำความรู้จักกันด้วยเรือนร่างทุกสัดส่วน ด้วยลีลาเร่าร้อนหลายกระบวนท่าไปแล้วก็ตาม แต่ทว่า...นอกจากนางจะไม่หนีเขาแล้ว นางยังทำหน้าตาน่าจับกดอีกนางนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ แล้วซักพักนางก็หันหน้ามามองใบหน้าของเขาเพียงอึดใจนางก็ใช้สายตาของนา
ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามทางคันนี้มีสองสตรีกำลังนั่งอยู่ในนั้นหนึ่งในสตรีสองนางนี้คือเฉินเจียวเหมย นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สุดในชีวิตสตรีของนางมันเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้นางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษแปลกหน้านางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษไปแล้วทั้งๆ ที่นางยังมิเคยได้มีคนรัก ทั้งยังมิได้แต่งงานหากว่าวันหนึ่งนางเกิดปักใจรักใครขึ้นมา หรือหากว่าวันหนึ่งนางเกิดได้แต่งงานกับใครขึ้นมา แล้วนางจะต้องทำอย่างไรหากว่านางได้แต่งงานกับเขาแล้วสิ่งที่นางได้ทำผิดพลาดไปในวันนี้เล่า นางจะสามารถหลวกลวงบุรุษผู้ที่เป็นคนรักของนางได้หรือไม่นางจะลืมอดีตในวันนี้ได้หรือ หากในภายภาคหน้านางได้แต่งงานกับใครสักคนหนึ่งไปแน่นอนว่านางทำไม่ได้ นางไม่สามารถหลอกลวงใครได้โดยเฉพาะกับตนเองนางจะทำอย่างไรดี นางพลาดไปแล้วอย่างนี้ แล้วนางจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไร เรื่องที่ผิดพลาดในครั้งนี้ มันใช่เรื่องน้อยนิดเสียที่ไหน มันคือทั้งชีวิตของนางเลยใช่หรือไม่นางควรทำอย่างไรดี...“อาเหมย” เสียงแว่วหวานของสตรีนามว่าหลิวหลีภรรยาคนงามของจูหยว
“ท่านเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ข้าเป็นใครกันนี่” เฉินเจียวเหมยเริ่มต้นบทบาทที่คิดเอาไว้พลางยกมือของตนขึ้นกุมศีรษะด้านหนึ่ง คงเหลือเอาไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงบนหน้าผาก “ได้โปรดข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”จ้าวจิ่นหลงเพียงหรี่ตามองใครบางคนที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลยเฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องมารยาสักเท่าไหร่จึงได้แต่ทำแข็งใจตีเนียนต่อไปอย่างมึนๆ“ท่านคงเป็นท่านหมอของที่นี่สินะ ท่านควรไปดูแลคนป่วยบ้านโน้น” ว่าแล้วก็วาดนิ้วพลางผินใบหน้าไปตามทิศทางอันไกลโพ้น “ได้ข่าวว่าใกล้ตายแล้ว ท่านหมอรีบไปเลย” จบคำก็เดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าแล้วผลักดันเขาให้ออกไปยังทิศทางที่นางวาดนิ้วชี้ไปเมื่อครู่“ข้าว่าทางนี้มีคนป่วยมากกว่าทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ“อา...ใช่...ข้าเองก็ป่วย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ท่านรีบไป” เฉินเจียวเหมยยังคงตีเนียนหน้ามึนพลางฉุดดึงร่างของใครบางคนที่บัดนี้คล้ายกับรากไม้อีกแล้ว“หากเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ ข้าจะบอกกล่าวให้” จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขยับเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าเป็นสาม












ความคิดเห็น