องครักษ์คุ้มกันองค์ชายทั้งสองเร่งเดินทางมาตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงตระกูลเมิ่งแห่งเมืองซางก่อนวันส่งท้ายปีเก่าหลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งมอบองค์ชายทั้งสองให้กับฮูหยินเมิ่ง และตั้งใจคุ้มกันเรือนเดิมทีคิดว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว สามารถผ่อนคลายได้สักทีเพราะอย่างไรคืนนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแต่ใครจะรู้ว่าองค์ชายทั้งสองซุกซนไม่เลิกแค่ได้ยินเสียงร้องไห้จากภายในห้อง ก็รู้แล้วว่าสองพี่น้องทะเลาะกันอีกแล้วฝ่าบาทกับฮองเฮาไม่อยู่ข้างกาย องค์ชายทั้งสองท่านยิ่งดื้อรั้นและเอาแต่ใจภายในห้องฮูหยินเมิ่งมาปลอบคนนี้ที ไปปลอบคนนั้นทีนางวิ่งจนหัวหมุน เกือบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครและยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาชอบทะเลาะกันเช่นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรียบร้อยมาก ไม่ค่อยซนเลยฮูหยินเมิ่งเผลอเพียงครู่เดียว น้องชายก็ยื่นมือไปข่วนหน้าพี่ชายแล้วส่วนพี่ชายก็ไหวตัวทัน ขณะที่แหงนหน้าหลบ ก็ยกเท้าจิ้มเข้าไปในปากน้องชายเต็ม ๆคราวนี้น้องชายที่เพิ่งหยุดร้องไห้ก็เริ่มอีกแล้ว“ฮือ…”ฮูหยินเมิ่งร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก รีบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดปากของคนเป็นน้อง“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ”“อาหลิ่นเป็นเด็กดีที่สุด เมื่อ
สวีไท่ฉางให้ความสำคัญกับเรื่องของสำนักคุ้มภัยอย่างมากนี่ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลเขา แต่ยังรวมถึงบรรดาผู้คุ้มกันกับคนงานด้วย“ถ้าพูดถึงความผิดปกติ มันก็ไม่มีอะไรเพียงแต่เสนอค่าจ้างสูงเช่นนี้ ข้าสงสัยจริง ๆ พวกเขาจ่ายเงินให้ผู้คุ้มกันสูงเช่นนั้น จะเหลือกำไรอะไรอีก?”สวีไท่กู่ก็เห็นด้วย“ข้าเคยคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ตามค่าจ้างที่พวกเขาจ่าย แทบไม่เหลือกำไรเลย เช่นนั้นพวกเขาทำเพื่ออะไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้พูดอะไรมาก“ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของการค้านัก”สวีไท่ฉางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง“ข้าเลอะเลือนแล้ว“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ควรรักษาช่วงเวลาที่มิตรสหายได้อยู่ร่วมกัน สลัดเรื่องเก่า ๆ ต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ และมองไปสู่อนาคต”หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของสำนักคุ้มภัยอีกหลังอาหารเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้กลับไปที่ห้องหลังจากนางปิดประตูก็พูดกับเซียวอวี้ “ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย”เซียวอวี้จับมือของนางแล้วถาม“เหตุใดเจ้าไม่ช่วยสวีไท่ฉางสักหน่อย? เขาเป็นสหายของเจ้าไม่ใช่หรือ?”ถ้านางอยากช่วยเขา แค่เอ่ยปากคำเดียวก็ได้แล้ว
หลังจากอู๋ไป๋กับเฉินจี๋ไปแล้ว เสียวอู่ศิษย์น้องของเซียวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงหัวมุม ก็เดินกอดกระบี่เข้ามาถาม“ศิษย์พี่ จะกินข้าวเมื่อไร?”สวีไท่ฉางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ถึงเวลากินข้าวแล้วจริง ๆ ข้าละเลยแล้ว”เซียวอวี้เหลือบมองเสียวอู่ด้วยสายตาเฉียบคมเจ้าตัวขายขี้หน้า ภูเขาหวูหยาไม่มีอะไรจะให้เขากินหรืออย่างไร?เสียวอู่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยเขาต้องกินให้อิ่ม ถึงจะมีแรงปกป้องศิษย์พี่แม้ตลอดทางมานี้ เขาต้องพึ่งศิษย์พี่ใหญ่เลี้ยงปากท้องให้อิ่มมาโดยตลอดก็ตามวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า สุราชั้นดีและอาหารชั้นเลิศย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเหม่อลอย เพราะเป็นห่วงลูกทั้งสองคนไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงเมืองซางอย่างปลอดภัยแล้วหรือยังสามพี่น้องตระกูลสวีล้วนเป็นคนตรงไปตรงมาสวีซวนคารวะเหล้าสองสามีภรรยาเฟิ่งจิ่วเหยียน“คุณชายเซียว ฮูหยินเซียว ไม่ทราบว่าอาหารของคืนนี้ถูกปากพวกท่านหรือไม่ มา ข้าขอคารวะพวกท่าน! หากวันข้างหน้าต้องการความช่วยเหลือ ไปสำนักคุ้มภัยตระกูลสวีของเราได้เลย!”สวีไท่กู่ล้อเลียนน้องสาวของตัวเอง“สำนักคุ้มภัยตระกูลสวีของเราอะไร สวีซวน
เซียวอวี้มั่นใจว่าเรื่องที่เขาออกตรวจราชการอย่างลับ ๆ เคยสั่งกำชับกับขุนนางคนสนิทที่ไว้ใจเพียงไม่กี่คน ไม่ได้ประกาศออกไปเป็นวงกว้างแต่ทางการฝ่ายเหนือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร และยังจัดระเบียบถนนโดยพลการ?สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เฟิ่งจิ่วเหยียน เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหัวเบา ๆนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้อย่างไรแต่นางคาดการณ์ไว้แล้วว่า เรื่องนี้คงปิดได้อีกไม่นานฮ่องเต้ไม่อยู่ในวัง ก็แสดงว่าต้องออกตรวจราชการอย่างลับ ๆแต่เรื่องที่ทางการจัดระเบียบเส้นทางโดยพลการ จะเห็นได้ว่าพวกเขาได้รับข่าวล่วงหน้า อยากจัดระเบียบถนนให้เรียบร้อยก่อนขบวนเสด็จจะมาถึง พวกเขาอาจต้องการแสดงผลงาน หรือไม่ก็รีบร้อนซ่อนอะไรบางอย่างขณะนี้ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรเลยสวีซวนน้องสาวของซวีไท่ฉางแสดงความไม่พอใจ“ฮ่องเต้ออกตรวจราชการ ทำให้ราษฎรต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ ไหนบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าว่านะ…”“แค่ก ๆ!” สวีไท่ฉางกระแอมขัดคำพูดของน้องสาวนางมีกี่ชีวิต ถึงกล้าพูดคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าฝ่าบาท?สวีไท่ฉางรีบกลบเกลื่อนเพื่อให้น้องสาวพ้นผิด“ที่สุดแล้ว การที่ฝ่าบาทออกตรวจร
“สวีไท่ฉาง” เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ชอบต้อนรับแขก ยามค่ำคืนก็ไม่นอน ไปให้อาหารม้าของพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเองเสี่ยวอู่คำนึงเสมอว่าต้องปกป้องศิษย์พี่ จึงระมัดระวังตัวกับทุกคนอย่างมากเมื่อเห็นสวีไท่ฉางเข้าไปในโรงม้า ก็แอบจับตาดูจนแน่ใจว่าอาหารม้าไม่มีปัญหา เสี่ยวอู่ค่อยกลับห้องไปนอนวันรุ่งขึ้นเป็นวันส่งท้ายปีเก่า (ฉูซี)เดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ตั้งใจจะพักแค่คืนเดียว แล้วออกเดินทางต่อในวันถัดไปแต่เพราะเป็นวันส่งท้ายปีเก่าซึ่งมีความหมายพิเศษ สวีไท่ฉางตั้งใจเชิญชวนอย่างกระตือรือร้นบวกกับในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ประตูเมืองมักจะปิด ทำให้เข้าออกเมืองไม่สะดวกหลังจากไตร่ตรองแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจพักอีกวัน รอวันขึ้นปีใหม่ประตูเมืองเปิดแล้วค่อยออกเดินทางในวันส่งท้ายปี คนในครอบครัวของสวีไท่ฉางล้วนกลับมาอยู่พร้อมหน้า“พี่ชาย! พวกเรารับพี่สะใภ้กับหลานกลับมาแล้ว!” น้องชายสวีไท่กู่ เป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้าน อายุราวยี่สิบกว่า เพราะบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเคราเหมือนเซียวอวี้ แถมยังสวมชุดขาว ทำให้ดูมีความเป็นหนุ่มอยู่ไม่น้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกในใจ ไม่แปลกที่คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่า
ทางตอนเหนือของแคว้นหนานฉี หิมะยิ่งตกยิ่งหนักปลายเดือนสิบสอง ชาวบ้านต่างยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวฉลองปีใหม่ โรงพักแรมจำนวนไม่น้อยได้ปิดให้บริการเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสหายมากมาย ระหว่างทางจึงแวะพักที่บ้านของสหายสหายผู้นั้นชื่อ “สวีไท่ฉาง” ไว้เครารกรุงรัง รูปร่างกำยำ ผิวดำคล้ำเขาเปิดกิจการสำนักคุ้มภัยหลังจากแคว้นรอบด้านรุมโจมตีแคว้นหนานฉีแล้วพ่ายแพ้ ทำให้ต้องเปิดเส้นทางการค้าใหม่หลายสาย นั่นก็ทำให้สำนักคุ้มภัยของสกุลสวีมีงานเพิ่มขึ้นมากสวีไท่ฉางรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่าทั้งสองคนเป็นสหายในยุทธภพ อีกทั้งฮ่องเต้ฮองเฮาออกตรวจตราเป็นการส่วนตัว เขาจึงไม่เรียกขานด้วยคำยกย่องเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เซียวอวี้รู้จัก“พี่สวีออกเดินทางคุ้มภัยสินค้าตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เขากับเจียงหลินเป็นสหายสนิทกันมาหลายชั่วคน มักช่วยเหลือคุ้มภัยสินค้าตระกูลเจียง”สวีไท่ฉางยกมือคำนับเซียวอวี้โดยอัตโนมัติเซียวอวี้กลับเป็นฝ่ายคำนับแบบชาวยุทธเสียก่อน “พี่สวี”เมื่อเดินทางอยู่ด้านนอก ต้องลืมฐานะของตัวเองไปเสียสวีไท่ฉางไม่กล้ารับคำนับนี้ รีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างแนบเนียน“อย่ายืนอยู่หน