กว่าจะวาดภาพเหมือนของบุรุษต้องสงสัยออกมาจนครบหกคนฟ้าก็มืดลงแล้ว แต่บริเวณโรงเตี๊ยมวู่หลงยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ได้ข่าวเรื่องเด็กหาย หลายคนอยู่ในเหตุการณ์หน้าร้านซาลาเปาสกุลหลี่ก็รู้สึกเจ็บใจที่พวกเขาต่างก็กลายเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจและมาร่วมแสดงความเสียใจกับฉู่หลิงแต่ก็มีไม่น้อยที่เดินทางออกจากบ้านเรือนมาเพื่อชมความงามของหญิงสาวจากหอหงไถนามฉู่หลิงเป็นการเฉพาะ……….เช้าวันต่อมาภาพวาดของเด็กๆ และบุรุษทั้งหก รวมทั้งกู้เม่ยกับสาวใช้ก็ถูกปิดประกาศไปทั่วเมือง ทหารส่งกองกำลังออกมาค้นหาเด็กๆ ตามที่สถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ร้านซาลาเปาสกุลหงที่มีเรื่องมีราวกับเด็กๆ ข้าวของที่หงเหวินบรรจงจัดเก็บให้เป็นระเบียบตามเดิมเวลานี้ถูกทหารจงใจรื้อค้นให้กระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี มู่เจียเหยียนยังว่ากล่าวตักเตือนหงเหวินและภรรยาอีกหลายประโยค จนเขาร้อนตัวกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ ต้องรีบเอาเงินค่ารักษาส่วนของบุตรชายและภรรยามาคืนให้กับฉู่หลิง“มีข่าวแล้วขอรับใต้เท้า มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งกล่าวว่าได้พบกับบุรุษในภาพสองคน เวลานี้พวกเขาอยู่ที่ศาลาว่าการแล้วขอรับ” ทหารหนุ่มวิ่งเข้ามารายงานกับมู่เจียเหยี
เช้าวันที่สามหลังจากที่เด็กๆ หายตัวไป ฉู่หลิงก้าวขึ้นรถม้าหน้าศาลาว่าการเมืองสือเจียไปด้วยท่าทางอิดโรย เบ้าตาทั้งสองข้างช้ำบวมจากการผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงเกือบทั้งคืน “เจ้าติดตามพวกเราตลอดไปไม่ได้ เด็กๆ ที่เหลือยังต้องการคนดูแล วางใจเถิดเรื่องน้องของพวกเจ้าทางการจะไม่ปล่อยให้เงียบหายไปอย่างแน่นอน” มู่เจียเหยียนส่งหญิงสาวขึ้นรถม้าเพื่อให้คนพาไปส่งที่หอหงไถหลังจากที่พบศพกู้เม่ยและสาวใช้ของนางแล้ว ท่านเจ้าเมืองก็ส่งกำลังทหารออกไปค้นทั่วทุกตรอกซอกซอยภายในเมืองสือเจียเพื่อตามหาเด็กๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ค้นหากันมาทั้งวันทั้งคืนกลับไม่พบร่องรอยของเด็กๆ กอปรกับอู่จั้ว (เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ) ระบุออกมาแล้วว่ากู้เม่ยและสาวใช้ของนางเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน นั่นหมายความว่าพวกนางถูกสังหารทันทีที่พาเด็กๆ มาถึงเรือนพักแห่งนั้น และยังเป็นไปได้ว่ากลุ่มบุรุษต้องสงสัยอาจจะเดินทางออกนอกเมืองไปตั้งแต่เช้า ในขณะที่ชาวเมืองยังเข้าใจว่าเด็กๆ ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมวู่หลง และฉู่หลิงยังคงนั่งขายเนื้อกระต่ายเพื่อรวบรวมเงินมาไถ่ตัวเด็กอยู่ทหารเฝ้าประตูเมืองพากันมาดูภาพวาดของเด็กและคนร้าย
ฉีฟ่งและทหารคนอื่น ๆ คุ้นเคยกับหวังหยวนแล้วจึงให้เขาเข้าออกได้ตามสะดวก วันนี้เขาเห็นหวังหยวนเดินก้มหน้าเข้าไปในหอหงไถยามค่ำคืนก็ไม่ได้นึกเอะใจ คิดว่าหวังหยวนคงจะมาคอยดูเด็กๆ ด้วยความเป็นห่วงพอได้ยินเสียงร้องไห้ และเสียงยายเฉินเอะอะเสียงดัง พวกเขาจึงรีบตามเข้ามาดู“ข้ารู้สึกผิดที่ไม่สามารถคุ้มครองเด็กๆ จากหอหงไถไว้ได้ ข้าจึงมาอยู่ที่นี่เกือบทั้งวัน เมื่อคืนข้ากลับไปที่เรือน..” หวังหยวนพยายามกลั้นสะอื้น บอกเล่าเหตุการณ์ของตนกับพวกฉีฟ่ง“ภรรยาข้าถูกสังหาร นางตายแล้ว บุตรชายและบุตรสาวของข้าสองคนก็หายไปด้วย ฮือ…” หวังหยวนทุบตัวทุบศีรษะตนเองหลายครั้ง จนพวกฉีฟ่งต้องช่วยกันจับแขนจับขาหวังหยวนเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง“ใจเย็นๆ ก่อน เจ้าแจ้งกับเจ้าหน้าที่ทางการหรือยัง” “ข้าเข้าเมืองไปแจ้งแล้วขอรับ ข้าออกตามหาบุตรชายหญิงของข้าทั้งวัน เผื่อว่าในยามที่ภรรยาเกิดเรื่อง พวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในเรือนแต่ก็ไม่พบ ต้องเป็นคนร้ายคนกลุ่มเดียวกับที่จับตัวเจียวจ้านไปแน่ๆ ที่เอาตัวลูกข้าไป”“ท่านอา..เด็กๆ จะปลอดภัยเจ้าค่ะ พวกเราต้องเชื่ออย่างนั้น ท่านทำใจดีๆ ก่อน” ฉู่หลิงน้ำตาไหลพราก นางสูญเสียน้องๆ ที่ไม่ใช่ส
ฉู่หลิงเห็นหวังหยวนผมเผ้ารุงรังเสื้อผ้าและร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน นางเข้าใจได้ทันทีว่าที่ท่านอาหวังหายหน้าหายตาไปนั้น เขาคงจะกินนอนอยู่ที่หลุมศพของภรรยาตลอดเวลาเป็นแน่ เป็นนาง นางก็คงไม่อยากกลับไปนอนในเรือนที่ไม่มีภรรยาและลูกหวังหยวนถูกทหารพยุงร่างลงมาจากชั้นสองแล้วให้เขามานั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพาเขาออกไปด้านนอกฉู่หลิงหลับตาลงด้วยความเศร้าใจ คาดเดาเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุตรชายหญิงสองคนของท่านอาหวังได้ในทันที หากเด็กอยู่ในภาวะที่ปลอดภัยและต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง ทหารและท่านหมอคงจะพาพวกเขากลับเข้ามาในหอหงไถแล้ว ไม่ใช่เชิญหวังหยวนออกไปด้านนอกเช่นนี้บานประตูห้องพักบนชั้นสองห้องสุดท้ายที่มีทหารยืนรออยู่ด้านนอก ถูกเปิดให้กว้างขึ้นเพื่อให้ฉู่หลิงเดินเข้าไปด้านในได้สะดวกหมอชราอีกคนหนึ่งกำลังจับชีพจรตรวจอาการให้เจียวจูที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เมื่อเห็นฉู่หลิงเดินเข้ามาจวนเจียนจะถึงตัว ท่านหมอชราก็เงยหน้าสบตากับหญิงสาวพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ“ร่างกายนางบอบช้ำอย่างหนัก ศีรษะถูกทุบตีจนบวมช้ำและมีเลือดคั่งอยู่ อวัยวะภายในร่างกายเสียหายเกือบทั้งหมด เราสี่ค
ฉู่หลิงไม่ได้เสียเวลาอยู่ด้านนอกนานไปกว่านี้ เรื่องของเจียวจูยังคงเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดที่นางไม่กล้าแม้แต่จะบอกกล่าวกับท่านยายเฉิน นางจึงบอกกับทุกๆ คนว่าเจียวจูอ่อนเพลียมากกว่าเด็กคนอื่นและต้องการพักผ่อนห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนกลางดึกตะเกียงภายในห้องพักของเจียวจูยังคงจุดสว่างไสวในยามค่ำคืน ฉู่หลิงคอยเฝ้าดูนางตลอดเวลาเกรงว่าเด็กน้อยจะหมดลมหายใจไปก่อนที่นางจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างได้ “พี่หลิงหลิง” เจียวจ้านมีอาการบาดเจ็บน้อยกว่าผู้อื่น เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อเห็นว่าตนอยู่ในหอหงไถดังเดิมจึงคิดจะออกไปหาพี่สาวของตน เมื่อเห็นห้องชั้นบนที่จุดตะเกียงอยู่จึงผลักเข้ามา“เจียวจ้าน ลุกไหวแล้วหรือ รีบมานั่งข้างๆ ข้าก่อน” ฉู่หลิงได้ยินมาจากท่านหมอว่าเด็กทุกคนล้วนมีไข้และเพ้อกันมาตลอดทาง ไม่ว่าทหารจะสอบถามเรื่องราวอะไรพวกเขาก็ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนมีเพียงความหวาดกลัวกรีดร้องไม่ได้ศัพท์อยู่เกือบจะตลอดเวลา ไม่คิดว่าเมื่อกลับมาถึงหอหงไถเจียวจ้านจะมีสติดีกว่าผู้ใด“พี่เจียวจู..” เด็กชายมองเห็นร่างของพี่สาวแท้ๆ เต็มตา ภาพความโหดร้ายที่เพิ่งประสบมาไม่นานวนเวียนเข้าสู่จิตใจของเด็กชายจนเขาตัวสั่นไปอ
ค่ายทหารระหว่างชายแดนแคว้นต้าหยวนกับแคว้นหู เมืองสือเจีย“แคว้นหูปฏิเสธที่จะให้พวกเราตามจับคนร้ายที่หนีเข้าไปอยู่ฝั่งแคว้นหู เช่นนี้แล้วเราควรทำอย่างไรต่อดีขอรับ” แม่ทัพในค่ายทหารต้าหยวนเอาใจใส่คดีเด็กหายมากยิ่งขึ้น เพราะคดีนี้ลุกลามจากการเข่นฆ่าผู้คนในหลายเมืองที่ติดชายแดน และยังมีเด็กหายตัวไปไม่น้อย“พวกเขาไม่ใช่คนแคว้นหู เราอาจจะต้องรอเวลาอีกสักนิด ไม่แน่ว่าอีกไม่นานแคว้นหูก็อาจเกิดเรื่องแบบเดียวกับเรา เวลานั้นพวกเขานั่นล่ะที่จะเป็นผู้ไล่ล่าคนกลุ่มนี้เสียเอง” โจวเฉิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้“ไม่ใช่คนจากแคว้นหู? แล้วพวกเขาคือใครกัน ผู้ตรวจการโจวมั่นใจได้อย่างไรว่าคนร้ายจะก่อเรื่องที่แคว้นหูด้วย?” แม่ทัพคนเดิมตั้งคำถามซ้ำ“เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของชนเผ่าโบราณนามว่าเผี่ยนฮกหรือไม่” นายทหารหลายคนในที่ประชุม หากเป็นกลุ่มคนที่มีอายุสักหน่อยก็เบิกตากว้างคล้ายว่ารู้จักนามนี้เป็นอย่างดี แต่หากเป็นคนอายุน้อยก็แทบจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อชนเผ่ากลุ่มนี้มาก่อน“นานนับพันปีมาแล้ว มีตำนานที่เล่าถึงปีศาจดูดเลือดที่โหดร้าย พวกมันดื่มกินเลือดมนุษย์เป็นอาหาร เต็มไปด้วยพละกำลังและส
ค่ายทหารชายแดนกับหอหงไถไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก ช่วงหัวค่ำก่อนที่ฟ้าจะมืดโจวเฉิงก็ขี่ม้ากลับมาถึงหอหงไถในที่สุดขุนนางที่สวมชุดสีม่วงแต่ปักลวดลายต่างกันผู้มาใหม่ นับรวมโจวเฉิงแล้วมีทั้งหมด 47 คน ทหารชุดแดงที่มาถึงก่อนได้สร้างกระโจมที่พักชั่วคราวเอาไว้รอบกำแพงหอหงไถที่กว้างใหญ่ เมื่อโจวเฉิงมาถึง ทหารในชุดแดงก็ย้ายออกจากหอหงไถไปทั้งหมด ปล่อยให้ด้านในเหลือเพียงเด็กๆ และบิดามารดาของพวกเขา กับท่านหมอชราทั้งสี่ไว้เท่านั้นบุรุษชุดม่วงยกโต๊ะเก้าอี้ที่เด็กๆ ช่วยกันคว่ำเก็บไว้มุมหนึ่งของห้องโถงออกมาจัดเรียง และทั้ง 47 คนก็นั่งรวมกันอยู่ในโถงชั้นล่าง ครู่เดียวคนชุดม่วง 10 คนที่มาส่งเด็กๆ ในรอบแรกก็กลับมาพร้อมด้วยท่านเจ้าเมือง มู่เจียเหยียนและขุนนางอีกหลายคน ทำให้ห้องโถงชั้นล่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ท่านหมอที่ดูเด็กๆ อยู่ชั้นบนจึงเข้าไปกำชับพ่อแม่ของเด็กๆ 5 คน ด้านบนให้อยู่แต่ในห้องห้ามออกมารบกวนการทำงานของใต้เท้าโจว ส่วนพวกเขาทั้งสี่ ก็คอยดูแลเด็กจากหอหงไถ 4 คนที่ยังนอนไม่ได้สติกันอยู่“มีเด็กที่ฟื้นและมีสติพอจะพูดคุยรู้เรื่องบ้างหรือไม่” บุรุษในชุดสีม่วงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ“มีหน
คำถามและคำตอบระหว่างกลุ่มคนชุดม่วงกับเด็กชายวัย 10 ปี สร้างความสลดหดหู่และโกรธแค้นให้กับทุกผู้คนที่ได้ยินกู้เม่ยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายตามที่คาด นางเพียงแค่ละโมบอยากได้ส่วนต่างค่าตัวเด็กๆ ก็เท่านั้น เจียวจ้านเล่าให้ฟังว่าพวกเขาเดินทางไปถึงโรงเตี๊ยมวู่หลงแล้ว แต่กู้เม่ยได้พบกับผู้ติดตามของนายท่านเจียงก่อนที่จะพาเด็กๆ เข้าไปด้านใน และจากนั้นก็มีกลุ่มบุรุษอีกหลายคนออกมาจากโรงเตี๊ยมบอกกับนางว่าห้องพักเต็ม จะหาที่พักใหม่ให้เด็กๆ พักผ่อนก่อนพอมาถึงเรือนเช่า บุรุษที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มของนายท่านเจียงกลุ่มนั้นก็สังหารกู้เม่ยและสาวใช้ต่อหน้าเด็กๆ ทุกคน พวกเขาถูกจับมัดมือปิดปากและยัดตัวใส่กระสอบปิดบังด้วยท่อนไม้และผัก เมื่อถูกปล่อยตัวออกมาอีกครั้งก็ได้มาอยู่อีกสถานที่หนึ่งภายในป่านอกเมืองที่นั่นมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับพวกตนอีกหลายคน รวมๆ แล้วน่าจะมีราว 20 กว่าคน ผู้ใหญ่ที่อยู่ในกระท่อมกลางป่าล้วนเป็นบุรุษราว 10 กว่าคนบังคับให้เด็กชายต่อยตีกันเองเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่ง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เจียวจ้านและอู๋ฉีมีร่องรอยบาดเจ็บน้อยกว่าเพื่อน แต่กับห่าวซวนอายุ 7 ขวบและเว่ยหลง 6 ขวบ ที่ยังเล็
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก
แต่แล้วใบหน้าที่ค่อยๆ ซีดขาวลงไปทุกทีของผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ต้องแตกตื่นตกใจในทันทีที่ตนหลั่งโลหิตใส่ถ้วยครบทั้ง 13 ใบ เด็กชายหญิงที่ดูสดใสไร้เดียงสา คว้าเอาถ้วยบรรจุของเหลวสีแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นไปดื่มอักๆ ไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อดื่มเสร็จยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเลือดของผู้พิทักษ์จะแตกต่างกับเลือดกระต่ายที่เจียวจูดื่มทุกวันอย่างไรบ้าง “ข้าว่าต้องหวานกว่าเลือดกระต่ายแน่นอน ข้าดมอยู่ทุกวันเลือดกระต่ายเหม็นคาวกว่านี้หลายเท่าตัว” เจียวจ้านเช็ดเลือดที่มุมปากออกแล้วออกความเห็นเป็นคนแรก“กระต่ายน่ารักกว่าพี่ชายท่านนี้ตั้งเยอะ ข้าว่าเลือดกระต่ายน่าจะอร่อยกว่านะ” ไป๋ซุนตัวน้อยเบ้หน้าเล็กน้อยแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับพี่ชายใหญ่“แต่ข้าว่า..” หลินอีกำลังจะติเตียนอะไรบางอย่างแต่ถูกโจวเฉิงยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อน“พอที! พวกเจ้าสมควรเป็นน้องของนางจริงๆ” ไม่ต้องมีใครถามก็รู้ว่าผู้ตรวจการโจวกำลังกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด เขากับฉู่หลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ“พวกเราต้องพัก การหลั่งโลหิตของพวกเราทำให้พวกเราเสียพลังและอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง” โจวเฉิงผุดลุกขึ้นยืน ร่างสูงโอนเอนเล็กน้อยจนเจียวจ้า
พลังของผู้พิทักษ์สายเลือดแท้ของโจวเฉิง เมื่อเข้าใกล้มายังกลุ่มปีศาจดูดเลือดที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งก็กดข่มพลังของปีศาจดูดเลือดระดับต่ำไว้ได้ส่วนหนึ่งจนพวกมันรู้สึกตัวกลุ่มของฉู่หลิงและพวกทหารที่กลายมาเป็นปีศาจดูดเลือดก็รับรู้ได้ถึงการมาของโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาอีกสองคนเช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนถูกกัดจากฉู่หลิงทั้งสิ้นจึงมีความต้านทานสูงกว่าพวกระดับต่ำ“ถอยกลับเข้าไปในกำแพง ทางด้านนอกนี้ปล่อยให้ผู้พิทักษ์จัดการ พวกเขาแข็งแกร่งมาก!” ฉู่หลิงรีบร้องเตือนพรรคพวกของตนให้กลับเข้าไปจัดการปีศาจดูดเลือดที่หลุดรอดเข้าไปในจวน นางต้องพาทุกคนออกไปให้ไกลจากโจวเฉิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ภายในจวนฝ่ายชาวบ้านกับทหารที่ยังไม่ถูกกัดสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ฉู่หลิงก็พาปีศาจดูดเลือดทุกคนที่นางเพิ่งกัดหนีเข้าไปในป่า ตั้งใจจะไปตั้งหลักที่อุโมงค์เพื่อรอดูท่าทีกันก่อนโจวเฉิงและพรรคพวกเข้าร่วมการต่อสู้กับทหารและชาวบ้านที่ยังคงสภาพเป็นมนุษย์อยู่อีกพักใหญ่ พวกปีศาจดูดเลือดก็เริ่มแตกกระจายหลบหนีไปได้บ้าง ส่วนที่ถูกสังหารจบดับสิ้นก็มีไม่น้อย“เจ้าสองคนออกไปดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจ เมื่อครู่เราสังหารได้เพียง
เมื่อท้องฟ้าสิ้นแสงตะวัน เวลานี้ผู้คนในจวนผู้ตรวจการพิเศษทั้งหมดจึงได้เห็นกับตาว่าฉู่หลิงไม่ได้คิดไปเอง ปีศาจดูดเลือดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่พวกเขาแข็งแรงกว่าและมีเขี้ยวยาวพยายามบุกเข้ามาภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษเป็นจำนวนมาก“เล็งไปที่หัวใจ! ตัดคอมัน!” มู่เจียเหยียนตะโกนก้องระหว่างที่ทหารและชาวบ้านข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวและพยายามเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นร่างของ ฉู่หลิง หวังหยวน ท่านยายเฉิน และเด็กกลุ่มหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่าคือใครบ้างพุ่งโจมตีด้วยความรุนแรงไปที่อีกฝ่ายแต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือคนกลุ่มนี้มีเขี้ยวเล็บไม่ต่างจากปีศาจดูดเลือดที่ดาหน้าเข้ามาโจมตีจวนผู้ตรวจการไม่มีผิด แต่ทุกคนแข็งแรงกว่ากระโดดได้สูงกว่าอีกฝ่ายมากนักและยังไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่กำลังเร่งกำจัดปีศาจดูดเลือดเช่นเดียวกันกับพวกเขา“แม่นางฉู่ หวังหยวน ท่านยาย..” มู่เจียเหยียนตกตะลึงอย่างหนัก เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลายร่างที่กำลังปกป้องผู้คนในจวนผู้ตรวจการเอาไว้เต็มกำลังทหารและชาวบ้านเองก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ายามนี้พวกตนเป็นเพียงแค่มดปลวกตัวจ้อย ทหารยังพอทำเนาพวกเขาใช้อาวุธกันได้คล่องมือพ