ศิษย์สายข่าวของสำนักเงาอาฆาตคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจ้าสำนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภระยิบระยับ“ส่งคำสั่งของฉันไป รวบรวมศิษย์ชั้นยอดที่เข้าสำนักมาเกินสิบปีทั้งหมด ภายในครึ่งชั่วโมงให้มารวมกันที่ลานกลาง”เจ้าสำนักเงาอาฆาตไม่มีทางปล่อยโอกาสดีแบบนี้หลุดมือไปหรอกเขาคาดเดาว่าเย่ซิวกับพวกต้องใช้พลังไปมหาศาลในการถล่มสำนักวิญญาณเพลิง ตอนนี้น่าจะอ่อนแรงสุดขีดกำลังรบแทบไม่เหลือ เท่ากับว่าสามารถเก็บพวกนั้นได้ง่าย ๆในเวลาไม่นาน ศิษย์ชั้นยอดของสำนักเงาอาฆาตกว่าหนึ่งในสามก็ถูกระดมมารวมตัวเจ้าสำนักถือธงสีขาวไว้แน่น แล้วสะบัดลงเต็มแรงทันใดนั้น พลังสีดำจำนวนมหาศาลก็พุ่งออกมาจากธงนั้น ปกคลุมเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสทั้งหมดไว้กลายเป็นหัวกะโหลกขนาดยักษ์ที่หน้าตาน่าสยดสยอง พุ่งตรงไปยังทิศทางของสำนักวิญญาณเพลิงอย่างรวดเร็วสำนักวิญญาณเพลิงกว้างใหญ่เกินไป การกวาดเก็บทรัพยากรใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้นจากนั้นทั้งสี่คนก็กลับมารวมตัวกันที่จุดนัดหมายหลัวเวยเวยมองใบหน้าซีดเซียวของเย่ซิวด้วยความเป็นห่วง “นายเป็นไงบ้าง? ไหวไหม”“ยังพอฝืนไหว รีบออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”พูดจบ เย่ซิ
สนามรบที่เคยอึกทึกพลันเงียบงันลงในพริบตาเหล่าศิษย์ของสำนักวิญญาณเพลิงต่างมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่นสุดขีดแต่ละคนรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ“ผู้อาวุโสตายแล้ว”“ขนาดผู้อาวุโสระดับปฐมญาณยังถูกฆ่า”“แบบนี้พวกเราจะชนะได้ยังไง?”……ศิษย์จำนวนไม่น้อยสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแทบทั้งหมดในทันทีแต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เย่ซิวก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกเสียงอันดังกึกก้องของเขาดังไปทั่วทั้งสนาม “เป้าหมายของฉันในครั้งนี้มีแค่ทรัพยากรของสำนักวิญญาณเพลิงเท่านั้น ไม่มีความสนใจในชีวิตของพวกนายแม้แต่น้อย ถ้าพวกนายออกไปตอนนี้ ก็ยังมีโอกาสรอดตาย”ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ก็มีคนจำนวนมากยอมวางอาวุธแล้วแตกกระเจิงหนีไปบรรดาผู้อาวุโสต่างพากันด่าทอเสียงดัง“พวกแกบ้าไปแล้วเหรอ ทรยศสำนักได้ลงคอ”“อย่าไปหลงเชื่อคำโกหกของมัน ข้างนอกอาจจะมีคนรอซุ่มโจมตีอยู่ก็ได้ ออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะถูกฆ่าทีละคน”“กลับมาเดี๋ยวนี้”“พวกแก...”“ฉึก!”กระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุผู้อาวุโสที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งเข้าอย่างจังเย่ซิวประสานมือ ร่ายอาคมให้กระบี่ดาวตกกับกระบี่หงส์โบยบินกลายเป็นกระบี่มังกรคู่ และพุ่งเข้าสังหารอ
พลังโจมตีส่วนใหญ่ถูกเย่ซิวดึงดูดเอาไว้ ทำให้แรงกดดันของฝั่งผู้หญิงทั้งสามแทบไม่มีแต่ความเสียหายที่พวกเธอทำได้นั้นกลับรุนแรงมาก จนสำนักวิญญาณเพลิงกลายเป็นความโกลาหลโดยสมบูรณ์โครม!เสียงระเบิดดังสนั่น ร่างจำแลงของเย่ซิวถูกพลังโจมตีจนแตกละเอียดเลือดแทบพุ่งออกจากปาก แต่เขาฝืนกลืนมันกลับลงไปทันทีที่ยกมือขึ้น กระบี่บินสายฟ้าสามสิบหกเล่มก็พุ่งออกไปยังไม่พอ เขายังปล่อยวิญญาณนักรบทั้งหมดที่มีออกมาทุกกลยุทธ์ถูกระดมใช้ในพริบตาเดียว สร้างความปั่นป่วนไปทั่วสนามรบสำนักวิญญาณเพลิงกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างแท้จริงอาคมหลากสีพวยพุ่งสว่างไสว แต่แฝงไปด้วยอันตรายถึงชีวิต“ฉัวะ!”เฉินเยียนจือฟันศิษย์ชั้นยอดคนหนึ่งล้มไปในดาบเดียว จากนั้นก็หันไปมองสนามรบฝั่งของเย่ซิวดวงตาของเธอฉายแววหลงใหลและชื่นชม “แข็งแกร่งเหลือเกิน ต่อสู้อยู่คนเดียวกับผู้อาวุโสตั้งมากมายแต่ยังไม่เสียเปรียบเลย สมแล้วที่เป็นผู้ชายของฉัน”เธอรู้สึกดีใจมาก คิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับเย่ซิวอีกสองฝั่ง รั่วอวิ๋นกับหลัวเวยเวยรุกคืบเข้าไปอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งเพราะพวกเธอแข็งแกร่ง อีกส่วนเป็นเพราะมีประสบการณ์รบมาก
สายตาเย่ซิวกวาดไปด้านหน้าอย่างเฉียบคมราวกับสายฟ้าเขาพบว่าการเฝ้าระวังของอีกฝ่ายแน่นหนาเป็นอย่างมากรอบนอกมีศิษย์ชั้นยอดเดินลาดตระเวนเป็นชุด ๆอีกทั้งยังสามารถรู้สึกได้ถึงพลังจิตของผู้อาวุโสระดับวิญญาณก่อกำเนิดและถอดจิตที่สลับกันกวาดผ่านไปมาเป็นระยะท่าทีทั้งหมดนี้เหมือนกับกำลังเตรียมตัวจะสู้ตายกันไปข้างจริง ๆหญิงสาวทั้งสามข้างกายต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลแต่เย่ซิวกลับยิ้มออกมาอย่างเฉยชา“ยิ้มอะไรของนาย?” หลัวเวยเวยถลึงตาใส่เขา “สถานการณ์แบบนี้ ถ้าบุกเข้าไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง มีหวังได้เกิดเรื่องใหญ่แน่”“เวลาที่ไม่มีความมั่นใจในการรับมือศัตรู บางทีมันก็จะแกล้งทำเป็นแข็งกร้าว เพื่อขู่ให้อีกฝ่ายกลัวแล้วถอยไป เหมือนหมาที่เห่าเสียงดัง มันอาจจะเห่าแรงแต่ไม่กล้ากัดใครแต่หมาที่ไม่เห่าเลยต่างหากที่ต้องระวัง เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะกระโจนเข้ามากัด”รั่วอวิ๋นก็เข้าใจทันที “นายหมายความว่ายิ่งพวกเขาแสดงออกว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ก็แสดงว่าข้างในอาจจะว่างเปล่าสินะ?”เย่ซิวพยักหน้า “ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่แบบนั้น พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ก็แค่ต้องการแสด
ทั้งสองคนหยอกล้อกันไปพลางรีบกลับไปยังสำนักอวิ้นหลิงด้วยความรวดเร็วหลัวเวยเวยรู้สึกใจลอยเล็กน้อย การได้อยู่กับเย่ซิวทำให้เธอเหมือนย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง‘เจ้านี่มันน่าหมั่นไส้ แต่ก็เกลียดไม่ลงเลยจริง ๆ…’ หลัวเวยเวยคิดในใจเมื่อทั้งสองกลับถึงสำนักก็เริ่มลงมือทันทีอย่างแรก หลัวเวยเวยนำวัตถุดิบที่ในการใช้สร้างหุ่นเชิดมามากมายจากนั้นก็ส่งศพของจางซู่ไปยังถ้ำของเย่ซิวเย่ซิวแจ้งเรื่องนี้ให้รั่วอวิ๋นรู้เธอใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อยก็ยอมตกลงเย่ซิวเข้าสู่การปิดด่านในช่วงระยะเวลาสั้น ๆเพียงครึ่งวัน เขาก็สร้างหุ่นเชิดเสร็จเรียบร้อยหลังจากกลายเป็นหุ่นเชิดแล้ว พลังก็ลดลงเหลือเพียงระดับปฐมญาณขั้นต้นและเพราะไม่มีปฐมญาณเหลืออยู่ พลังต่อสู้โดยรวมจึงด้อยกว่าระดับปฐมญาณขั้นต้นทั่วไปประมาณว่าเทียบเท่าผู้บำเพ็ญตนระดับถอดจิตขั้นสมบูรณ์สามคนรวมกันแต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วเย่ซิวหันไปมองเสี่ยวโหรวอีกครั้งเธอยังไม่ฟื้น เขาจึงไม่ได้ไปรบกวนเขาเก็บของเล็กน้อยแล้วก็เดินออกจากถ้ำตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว แต่ทั้งสำนักยังคงอยู่ในสถานะเฝ้าระวังเพราะเกรงว่าสำนักวิญญาณเพลิงจะกลับมาแก้แค้นโดย
“ฉันว่าความเป็นไปได้ที่เราจะสำเร็จมีสูงมาก” แววตาของเย่ซิวเปล่งประกายความมั่นใจที่ทำให้ใจของหลัวเวยเวยสั่นไหวและเผลอหลงใหลไปชั่วครู่ “ตอนนี้กำลังรบของพวกมันน่าจะหายไปอย่างน้อยหนึ่งในสาม แถมเรายังมีศพระดับปฐมญาณอยู่ฝั่งเราอีก ถ้าเอาไปสร้างเป็นหุ่นเชิดได้ แล้วบวกกับพลังที่ผมมีอยู่ในมือ การจะจัดการพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้คุณลองคิดดูให้ดีนะ รากฐานของสำนักหนึ่งมันทรงพลังขนาดไหน ถ้าเรากลืนมันเข้าไปได้ เราจะเปลี่ยนจากปลาตัวเล็กเป็นปลาวาฬทันที”หลัวเวยเวยได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ยังคงส่ายหน้า “มีอยู่สองปัญหาที่ต้องจัดการ อย่างแรกคือการสร้างหุ่นเชิดจากศพไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่างน้อยต้องใช้เวลาเป็นเดือน โดยเฉพาะคนอย่างจางซู่น่าจะมีแผ่นวิญญาณแน่นอน ตอนนี้พวกมันคงรู้เรื่องที่เขาตายไปแล้ว และน่าจะเริ่มตั้งรับกันไว้เรียบร้อย แถมยังเปิดค่ายกลป้องกันสำนักอีกด้วย พอเราไปถึงก็คงเสียเปรียบอยู่ดี”“ไม่ ๆ ๆ” เย่ซิวปฏิเสธความคิดเธอทันที “ข้อแรก การสร้างหุ่นเชิดไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น คุณแค่เตรียมวัตถุดิบให้ผมก็พอ เดี๋ยวผมจัดการเอง ครึ่งวันก็น่าจะเสร็จแล้ว ข้อสอง ผมมีวิธีทำ