เย่ซิวดื่มชาหมดถ้วยแล้ววางลง “ตั้งใจฟังอยู่”“ช่วงแรก ฉันจะดูดซับเพียงพลังหยางบริสุทธิ์และพลังปราณโลหิตอันแข็งแกร่งของพวกเขานำมันเข้ามาในร่างกายเพื่อใช้ในการบำเพ็ญ คนที่จับมาได้ในช่วงหลายปีนี้ล้วนใช้วิธีนี้ในการฝึกฝน”เย่ซิวเผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ ในความคิดของเขา นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเจ้าสำนักของสำนักสายบำเพ็ญคู่ที่จริงยังบริสุทธิ์อยู่ เรื่องแบบนี้พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อแต่พอนึกถึงแม่สาวน้อยหลินปิง เย่ซิวก็พอจะเข้าใจได้บางทีวิชาที่อาจารย์และศิษย์คู่นี้ฝึกฝนอาจจะเป็นวิชาเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป“ส่วนวิธีที่สอง ก็คือการหลอมรวมหยินหยาง”ดวงตาของเย่ซิวเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าตอนนี้คุณยัง...”เฉินอิ๋งอิ๋งพยักหน้า ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ เป็นอย่างที่คุณคาดเดานั่นแหละ”เย่ซิวรู้สึกสนใจขึ้นมา “แล้วคุณเตรียมจะใช้วิธีไหนกับผมล่ะ”แม้ภายนอกจะดูผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากำลังสั่งสมพลังภายในร่างกายอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมที่จะระเบิดการโจมตีที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินออกมาได้ทุกเมื่อในระยะที่ใก
“ชี่ ๆ ๆ…”ชั่วพริบตาที่มือดุจหยกของเฉินอิ๋งอิ๋งสัมผัสกับภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา มือของเธอแดงก่ำและปรากฏรอยไหม้เธอนิ่วหน้าเล็กน้อย บนมือปรากฏหมอกสีชมพูชั้นหนึ่งปกคลุมไว้ แล้วยื่นออกไปคว้าอีกครั้ง“ชี่ ๆ ๆ!”ม่านหมอกนั้นก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น บนภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ยังเกิดแรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว ผลักเธอให้ถอยไปเล็กน้อยพร้อมกันนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์“เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองพวกเรา”“ถ้ายังคงบีบคั้นต่อไป พวกเราก็เหลือแค่ทางเดียวคือระเบิดตัวเอง ถึงตอนนั้นต่อให้เธอจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรอดไปโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไตร่ตรองให้ดี”…… “น่าสนใจ”เฉินอิ๋งอิ๋งดึงมือกลับ ไม่ได้พยายามจะสัมผัสภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์อีกดวงตาที่แฝงไปด้วยพลังอันลึกลับคู่หนึ่งจับจ้องมาที่เย่ซิว “บททดสอบสามด่านผ่านไปแล้ว ตามฉันมา”ร่างของเธอไหววูบ หายไปจากที่นี่ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมพิเศษเป็นสิ่งนำทาง เพื่อให้เย่ซิวตามไปได้เย่ซิวเก็บภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์แล้วตามเธอไปเหาะเหินตามไปตลอดท
แสงสว่างอันไพศาลแผ่ออกมาจากร่างของเขา ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องทันใดนั้น ร่างของหญิงสาวเหล่านี้ก็พลันแข็งทื่อภายใต้แสงสว่างนี้ ความเย้ายวนของพวกเธอก็พลันสลายหายไปจนหมดสิ้น ทุกคนต่างนั่งลงขัดสมาธิ สองมือประกบกันมีไอสีแดงปนดำแผ่ออกมาจากร่างของพวกเธอ จากนั้นหญิงสาวเหล่านี้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นสง่างามศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายแห่งโลกีย์จางหายไปอย่างรวดเร็วสิ่งที่มาแทนที่คือความน่าเลื่อมใสทีละน้อย!ฉากกั้นห้องหลุดลอกออกมา กลายเป็นภาพวาดม้วนหนึ่ง ตกลงตรงหน้าเย่ซิวเย่ซิวก้มลงมอง บนภาพวาดนั้น เดิมทีเขียนไว้ว่า ‘ภาพสังวาสร้อยนารี’ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็น ‘ภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์’!เย่ซิวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจภาพนี้เดิมทีเป็นแบบนี้อยู่แล้ว หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่“ขอบคุณนายท่านที่ช่วยปลดปล่อยพวกเรา”“เดิมทีพวกเราถูกวิชามารทำให้แปดเปื้อนมลทิน ตกสู่ทางมาร บัดนี้ในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว”“พวกเราขอปกป้องนายน้อยไปทุกชาติภพ”……หญิงสาวที่เคยเปี่ยมด้วยเสน่ห์ยั่วยวนเหล่านี้ ในตอนนี้แต่ละคนกลับกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ดุจน้ำแข็งแลหยก ร่างกายแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันมิอา
เย่ซิวถูกพามายังห้องหนึ่งที่แสงสลัวเบื้องหน้าของเขาคือฉากกั้นห้องบนฉากกั้นห้องนั้นวาดภาพหญิงสาวที่งดงามเย้ายวนร้อยพันหญิงสาวเหล่านี้ดูราวกับมีชีวิตจริง เหมือนกับว่าวินาทีถัดไปจะเดินออกมาจากฉากกั้นห้องได้เลยเมื่อหลินปิงเห็นฉากกั้นห้องนี้ ในแววตาของเธอก็ฉายแววหวาดหวั่น เธอพูดกับเย่ซิวว่า “ด่านที่สาม แค่อยู่ในนี้ให้ครบหนึ่งชั่วโมงก็พอ ขอให้โชคดี”พูดจบ มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันความน่ากลัวของด่านที่สามนี้ เธอเคยสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้วในตอนนั้นเธอยังทนอยู่ได้แค่สองนาทีหลังจากนั้นก็ล้มป่วย ต้องพักฟื้นอยู่นานหลายเดือนแต่เย่ซิวกลับต้องอยู่ที่นี่นานถึงหนึ่งชั่วโมง ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งกว่าเธอ ก็ไม่มีทางที่จะรอดออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วนแน่ปัง!เธอรีบเดินจากไปแล้วปิดประตูอย่างแรง แถมยังแปะแผ่นยันต์ไว้บนประตูสร้างเป็นค่ายกลไว้อีกด้วยเย่ซิวจ้องมองฉากกั้นห้องนั้น“คิกคิกคิก...”“พี่ชาย มาเล่นกันเถอะ”“อื้อออ~ เราเหงาเหลือเกิน”……ทันใดนั้น หญิงสาวบนฉากกั้นห้องก็ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาจริง ๆ พวกเธอค่อย ๆ ทะลุออกมาจากฉากกั้นแล้วเข้ามาล้อมรอบเย่ซิวนิ้วเรียวงามค่อย ๆ ลูบ
เย่ซิวไม่ได้ปฏิเสธและรับของทั้งหมดไว้แต่ที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ เหมือนจะมีของแปลก ๆ ปนเข้ามาด้วยไหนจะเอี๊ยมตู้โตว ถุงน่องดำ ถุงน่องขาว แถมยังเป็นของที่ใช้แล้วอีกต่างหาก ใครมันจะไปอยากได้กัน?เย่ซิวปฏิเสธในใจแต่เพื่อไม่ให้พวกเธอเสียหน้า เขาจึงเก็บมันไว้ก่อนชั่วคราวอืม แค่นั้นแหละ“พวกเธอ!!!” หลินปิงโกรธจนแทบระเบิด “รีบไสหัวไปให้หมด ห้ามโผล่หน้ามาแถวนี้อีก!”เมื่อเห็นว่าหลินปิงโกรธจริง ๆ แล้ว ศิษย์หญิงเหล่านั้นก็รีบถอยทัพไปก่อนจะไป ยังไม่วายขยิบตาให้เย่ซิวอีกหนึ่งทีความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น ผู้ชายทุกคนย่อมเข้าใจดีทว่าเย่ซิวกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของเธอ เขากลับรู้สึกสนุกสนาน “สาวน้อย โกรธมากไปเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ แผลเมื่อสองวันก่อนหายดีแล้วเหรอ?”ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีอยู่หรอก พอพูดขึ้นมา หลินปิงก็ทำท่าเไหมือนจะคลั่งขึ้นมาอีกแล้วนั่นคือแผลใจที่ไม่มีวันลบเลือนของเธอ“นายได้ใจได้อีกไม่นานหรอก!” หลินปิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเธอต้องท่องคาถาสงบจิตในใจ ถึงจะพอระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านของตัวเองลงได้แต่ประโยคถัดมาของเย่ซิวก็ทำให้เธอแทบจะคลั่งอีกครั้
เย่ซิวมองเหล่าสาวงามร่ายรำอย่างสบายอารมณ์ศิษย์หญิงของสำนักศตะบุปผาเหล่านี้ คนที่หน้าตาธรรมดาที่สุดยังเทียบได้กับพวกดาราในวงการบันเทิงสมัยก่อนเลยในตอนนี้ทุกคนกำลังเต้นรำเพื่อเย่ซิวเพียงคนเดียว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาและความรู้สึกเหนือกว่าทางจิตใจที่ได้รับนั้น ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้“ยอดเยี่ยม!”เย่ซิวตะโกนชมออกมาเสียงดัง พร้อมกับหยิบไหสุราออกมา ดื่มไปพลางชมการแสดงไปพลางหลินปิงโกรธจนตัวสั่น เธอชี้นิ้วไปยังเย่ซิวอย่างเกรี้ยวกราด “นายกำลังทำอะไรน่ะ ตอนนี้นายอยู่ระหว่างการทดสอบนะ เก็บเหล้าของนายไปเดี๋ยวนี้”เย่ซิวเหลือบมองเธอ “เมื่อกี้เธอไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามดื่มเหล้า”“!!!” ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เย่ซิวคงถูกสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้นไปนานแล้ว เธอโกรธจัด “แต่ตอนนี้ฉันสั่งแล้วไงว่าห้ามดื่ม! พวกเธอก็ด้วย!”เธอชี้ไปที่ศิษย์หญิงทั้งหลาย “เขาเป็นแค่อาหารของท่านอาจารย์เท่านั้น ห้ามเต้นให้เขาดู!”บารมีของหลินปิงในสำนักยังคงสูงส่งเมื่อเธอแสดงความโกรธออกมา ศิษย์หญิงเหล่านั้นก็หยุดเต้นทันที ไม่กล้าฝ่าฝืนเย่ซิวส่ายหน้า รู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่อจริง ๆแต่ศิษย์หญิงเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความเพลิดเพลิ