ตอนนี้ ถ้าคนเห็นว่าเขาต้องการซื้อวัสดุปรับปรุงต่าง ๆ เช่น ประปาและเครื่องใช้ไฟฟ้า พวกเขาคงคิดว่าเย่ซิวเป็นบ้าไปแล้วอย่างแน่นอนพวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่หยุดเขาเท่านั้น แต่ยังจะขายให้กับเย่ซิวในปริมาณมากและราคาอาจจะต่ำกว่าปกติด้วยซ้ำ“แก้ไขได้แล้วจริง ๆ เหรอ?” เซี่ยซิ่วซิ่วไม่อยากจะเชื่อเลย “เรายังสามารถซื้ออิฐซีเมนต์จากโรงงานเล็ก ๆ ได้ แล้วทรายและกรวดล่ะ โดยพื้นฐานแล้วของพวกนั้นต้องผูกขาดกับบริษัทใหญ่ ๆ ไปแล้ว”เย่ซิวเดินไปพลางอธิบายให้เซี่ยซิ่วซิ่วฟัง“อย่างนี้นี่เอง” ดวงตาของเซี่ยซิ่วซิ่วเป็นประกาย เธอชื่นชมเย่ซิวมากขึ้นไปอีกเธอมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เธอก็เขย่งปลายเท้าและจุ๊บเข้าที่แก้มของเย่ซิวไปหนึ่งกรุบ“นี่รางวัลของนาย”หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็วิ่งหนีไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำเย่ซิวยิ้มแล้วเอามือทาบแก้ม……สองวันต่อมาในคลับระดับไฮเอนด์หวังซงนอนสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้ โดยมีผู้หญิงสองคนที่มีรูปร่างหน้าตายอดเยี่ยมคอยดูแลเขาอยู่คนละด้านคนหนึ่งนวดหลังอีกคนหนึ่งป้อนองุ่นอีกคนบีบเท้าให้เขา และอีกคนถึงกับ…ข้าง ๆ เขายังมีเลขาสาวผู้มากความสามารถยืนอยู่“ตอนนี
“ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เราได้ใช้เงินไปแล้วสองหมื่นล้านในการซื้อวัสดุปรับปรุงใหม่จำนวนมาก และราคาก็ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณสองในห้า”เซี่ยซิ่วซิ่วที่ตื่นเต้นมากกำลังรายงานผลลัพธ์ของสองวันที่ผ่านมาให้เย่ซิวฟังวัสดุที่ซื้อมาในตอนนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับอาคารเจ็ดหรือแปดหลังเย่ซิวพยักหน้า “กว้านซื้อให้ได้มากที่สุดในตอนที่พวกเขายังไม่รู้ตัว”เซี่ยซิ่วซิ่วกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็มีสายเข้ามาไม่นานหลังจากรับสาย สีหน้าของเธอก็ค่อนข้างจริงจัง“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”เซี่ยซิ่วซิ่ววางสายโทรศัพท์แล้วพูดกับเย่ซิว“บริษัทต่าง ๆ หยุดขายสินค้าให้เรากะทันหัน พวกเขาอาจรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ”เย่ซิวคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้แล้ว“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดการซื้อชั่วคราวแล้วทุ่มทำโครงการระยะแรกให้เสร็จก่อน”ด้วยวัตถุดิบที่จัดซื้อในปัจจุบัน การก่อสร้างระยะแรกจึงสามารถแล้วเสร็จได้อย่างราบรื่นเซี่ยซิ่วซิ่วพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไปเย่ซิวเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ พลางสายตาครุ่นคิด“คนพวกนั้นจะไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แน่ ๆ หรืออาจจะฮึดสู้กลับเหมือนสุนัขจนตรอก”“หมู่บ้านช่างตีเหล็กไม่มีอะไรต้องกังวล แต่บริ
เมื่อคนเหล่านั้นเงยหน้าพร้อมกัน ก็เห็นผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาหลางสือจิ่วมีสีหน้าที่เย็นชา “เป็นอย่างที่นายน้อยพูดไว้ไม่มีผิด จะต้องมีคนบุกมาทำลายที่นี่”“ไม่ได้การแล้ว เราถูกจับได้แล้ว!”“ไปพวกเรา ไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะ!”คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว พวกเขาชักมีดพับออกมาแล้วขว้างไปที่หลางสือจิ่วอย่างแรงฝีมือของคนเหล่านี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว พวกเขาล้วนเคยผ่านการต่อสู้ในสังเวียนมาอย่างโชกโชนหากร่วมมือกัน พวกเขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ระดับหนึ่งได้ แต่สำหรับหลางสือจิ่วนั้นพวกเขาเทียบกับเธอไม่ติดเลย เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ใครคนหนึ่งถูกเตะปลิวออกไปและหมดสติในทันทีเธอใช้มือทั้งสองข้างกดพื้นและหมุนตัวด้วยความเร็วสูงกลุ่มคนที่ล้อมรอบต่างก็ถูกเธอจัดการจนลงไปนอนกองกับพื้นทีละคนท่าเตะที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของเธอเตะเข้าที่กระดูกเข่าของพวกเขา จนทำให้ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะ และด้วยท่าเตะนั้น ขาของพวกเขาจึงใช้การไม่ได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังโวยวาย ไป๋ปิงก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันทีเธอมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชาและไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะรีบ
“ที่แกพูดมันหมายความว่ายังไง?!”หลิวเหว่ยหัวเราะด้วยใบหน้าที่เย็นชาขณะมองไปที่คนเหล่านั้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจเต็มเปี่ยม“ก่อนหน้านี้ มีคนที่ชื่อหลิวเหนิงเดินทางมาจากหนานเฉิง เขาเดินทางมาหาฉันด้วยตัวเอง เขามาจากตระกูลหลิ่วแห่งหนานหลิ่ว และเขาก็ได้มาขอซื้อบริษัทของฉันไปเรียบร้อยแล้ว”“เพราะฉะนั้นตอนนี้ ฉันจึงมีตระกูลหลิ่วแห่งเมืองหนานเฉิงเป็นผู้สนับสนุนอยู่ หากพวกแกไม่เชื่อก็ลองไปสืบดูประวัติของตระกูลหลิ่วดูสิ พวกเขานี่แหละ ที่จัดหาชิ้นส่วนอาวุธให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ”“หรือจะให้ฉันพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือในตอนนี้ ฉันมีความเกี่ยวข้องกับทางเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ถ้าหากพวกแกกล้าแตะต้องฉันก็คิดถึงผลที่จะตามมาด้วยแล้วกัน”ในประเทศหลงเถิง ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดาหรือตระกูลทรงอิทธิพลใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีหากใครกล้าล้ำเส้นของประเทศ ก็จะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถเมื่อคนเหล่านี้ได้ยินที่หลิวเหว่ยพูดต่างก็หน้าซีดทันทีแม้ว่าพวกเขาจะมีความกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าต่อกรกับประเทศชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักไม่ได้พูดจาหยิ่งทะนงเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป เขาวางมีดพับที่ถืออยู่ลงแล้วพูดว่า “นี่แกไม่ได้
ในขณะที่เธอรีบวิ่งเข้ามา หวังซงเหลือบไปเห็นเธอพอดีเขาหัวเราะดังลั่นพร้อมตะโกนสั่งเธอว่า “คุกเข่าลงซะ!”สีหน้าของเลขาสาวเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ท่านประธานคะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!”เนื่องจากเสียงเพลงภายในวิลล่าดังเกินไป หวังซงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมคุกเข่าตามที่เขาสั่ง เขาจึงยกมือขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าของเธอหนึ่งฉาดหญิงสาวตาแดงก่ำ เธอรู้สึกเสียใจมากแต่เธอก็ไม่อาจทำให้เสียเวลาได้ จึงรีบวิ่งไปปิดเครื่องเสียงทุกคนตกตะลึง ในขณะที่หวังซงโกรธเธอมากยิ่งขึ้น “นี่เธออยากตายหรือไง? กล้าดียังไงมาขัดจังหวะความสุขของฉัน!”เลขาสาวรู้สึกเสียใจ แต่ก็ยังต้องรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเธอรีบเดินเข้าไปข้าง ๆ หวังซงแล้วกระซิบที่ข้างหูเขาว่า “ท่านประธานคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ…”หวังซงที่เดิมทีรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของเลขาสาว ทันใดนั้น ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความเยือกเย็นและดูน่ากลัวราวกับงูพิษ“ฉันประเมินไอเด็กนั่นต่ำไปจริง ๆ!” เขามองเธอด้วยแววตาที่เยือกเย็น “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เธอยังจัดการมันไม่ได้ แล้วต่อไปฉันจะเชื่อใจอะไรเธอได้อีก?”เขาส
ภายในคลับส่วนตัวแห่งหนึ่ง“ผู้ว่าจาง แก้วนี้ผมดื่มให้กับท่านครับ! นับวันท่านยิ่งดูเด็กลงนะครับ”หวังซงยกแก้วไวน์เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ชายคนหนึ่งที่มีอายุราว ๆ สี่สิบปี เขาสวมแว่นตาและดูสุภาพผู้ชายคนนั้นคือจางต้งเหลียงจางต้งเหลียงยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกับหวังซงและดื่มไปหนึ่งอึกก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “คุณก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่รองผู้ว่า คุณควรจะระมัดระวังคำพูดด้วยนะครับ”หวังซงทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านนี่ช่างชอบพูดเล่นซะจริงนะครับ ท่านก็รู้ว่าสุขภาพของเขาแย่ลงทุกวัน ผมได้ยินมาว่าปีนี้เขาคงจะต้องเกษียณแล้วทั้งเมืองหวู่เฉิง นอกจากท่านแล้ว ยังมีใครที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับท่านอีกเหรอครับ? เพราะฉะนั้น ถ้าตอนนี้ผมจะเรียกท่านว่าผู้ว่า ก็คงไม่มีปัญหาหรอกครับ”จางต้งเหลียงเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงทันทีพร้อมพูดว่า “ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับ ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ยกโทษให้คุณ!”แม้จะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขากลับเผยความคิดที่แท้จริงของเขาออกมาหวังซงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ตามที่ท่านว่าก็ได้ครับ”“อ้อ! จริงสิครับ” หวังซงทำท่าราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหยิบกล่องที
ใบหน้ารูปไข่ที่มีเสน่ห์เล็กน้อยและผมดำเงางามที่นุ่มลื่นดวงตาใสราวกับน้ำพุธรรมชาติเธอคืออวี่เฟยเฟยเย่ซิวเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “บังเอิญจังเลย เจอกันอีกแล้วนะครับ”เฟยเฟยรู้สึกดีใจมากที่วันนี้เธอได้พบเย่ซิวอีกครั้ง “ว่าแต่คุณเย่กำลังจะไปที่ไหนเหรอคะ?”เย่ซิวพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ไฟท์นี้กำลังจะไปหวู่เฉิงไม่ใช่เหรอครับ? คุณว่าผมจะไปที่ไหนล่ะ?”ใบหน้าของอวี่เฟยเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “ฉันนี่ซื่อบื้อจริง ๆ พอเห็นคุณเย่แล้ว ฉันก็เลยรู้สึกตื่นเต้นไปหน่อยน่ะค่ะ“เย่ซิวยิ้มพร้อมกับส่ายศรีษะเบา ๆอวี่เฟยเฟยพูดต่อ “ว่าแต่คุณเย่อยากจะดื่มเครื่องดื่มอะไรดีคะ? หรืออยากทานอะไรหรือเปล่า? ฉันจะได้ไปเตรียมมาให้คุณ”“ผมขอผัดหมี่หนึ่งที่กับน้ำส้มหนึ่งแก้วก็พอครับ”“บ้านนอกจริง ๆ!”ทันทีที่เย่ซิวพูดจบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เบ้ปากแสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด“มานั่งถึงชั้นเฟิร์สคลาสแต่ดันสั่งแค่ผัดหมี่ ฉันว่าคุณคงเก็บเงินเดือนมาหลายเดือนเพื่อที่จะมานั่งชั้นเฟิร์สคลาสละสิ อุตส่าห์ดันทุรังมานั่งถึงชั้นนี้เพราะอยากจะมาจีบสาวใช่ไหมล่ะ?”เย่ซิวหันไปมองผู้หญิงวัยประมาณสี่สิบป
“คุณเป็นคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไหน?”คำถามที่ไม่คาดคิดจากเย่ซิว ทำให้คนตรงหน้าดูตกใจเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามปกปิดมันเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกเย่ซิวจับได้อยู่ดีเดิมทีเขายังมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขามั่นใจอย่างเต็มที่แล้วเพราะเย่ซิวไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคนตรงหน้ามาก่อน เพราะถ้าเป็นคนปกติก็คงไม่กล้าทำให้ตัวเองเสื่อมเสียถึงขนาดนี้ดังนั้น ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาที่จะทำแบบนี้เพื่อต้องการที่จะกักตัวเขาไว้ หรืออย่างน้อยก็พยายามถ่วงเวลาเย่ซิวเอาไว้ให้มากที่สุดแม้ฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่รู้ว่าเย่ซิวจะไปที่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การถ่วงเวลาก็เป็นเรื่องที่ต้องทำคนที่มีเจตนาและจุดประสงค์เช่นนี้ นอกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์แล้ว เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นใครอื่นไปได้อีก หญิงสาวพูดด้วยเสียงดังขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดอะไร แต่ตอนนี้แกอย่าคิดหนีไปไหนเด็ดขาด!”ยิ่งเธอเอะอะโวยวายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกกระวนกระวายมากเท่านั้นเย่ซิวไม่สนใจว่าเธอจะถูกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไหนส่งมา เพราะถึงอย่างไร เขาก็กำลังจะสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยอ
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน