ทรัพย์สินของศิษย์น้องหลิวหยางก็มีประมาณแปดถึงเก้าพันล้านไหนจะบวกกับของเฉิงเฟิง เย่ซิวเข้ามาที่เมืองหวู่เพียงไม่กี่วัน ก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าสองหมื่นล้านความเร็วในการทำเงินแบบนี้ถือว่าสุดยอดมากส่วนการโอนทรัพย์สินทั้งหมดนั้น มีเฉิงเฟิงเป็นคนช่วยจัดการเย่ซิวติดตามการแถลงข่าวของหลัวเฟิงและหุ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าหลังจากที่หลัวเฟิงเปิดเผยหลักฐานต่าง ๆ ทางด้านบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักบริษัทอื่น ๆ ในตลาดก็ฉวยโอกาสเข้ามากดดันบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าอย่างหนักตอนนี้หวังเฟิงกำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เส้นสายที่เขาเคยมีก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่นิดเดียวไม่สิ ควรจะเอ่ยว่าหลัวเฟิงนั้นตัดการติดต่อทุกช่องทาง มีความตั้งใจที่จะสู้จนถึงที่สุดเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถมากเพียงใด แต่หากไม่สามารถติดต่อเขาได้ ก็จะไม่มีทางทำอะไรเขาได้“บ้าจริง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!”หวังเฟิงเดินไปเดินมาในห้อง ตะโกนด้วยความโกรธแม้จะเป็นผู้ที่มีทักษะบ่มเพาะกำลังภายใน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถสงบสติได้เลยลูกชายถูกจับ บริษัทก็ถูกโจมตี
ชายคนนั้นรู้สึกจิตใจคล้อยตาม แต่ก็ยังไม่ได้รีบตกลงหญิงสาวได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ตอนนี้สถานการณ์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าเป็นยังไง คุณคงรู้ดี มันยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้ คุณควรรีบหาทางออกใหม่ดีกว่านะคะ”“คุณช่วยเหลือบริษัทที่กำลังจะล่มจมขนาดนี้ อาจจะไม่ได้รับเงินเดือนเลยก็ได้นะคะ”“ตอนนี้มีโอกาสดีขนาดนี้ที่จะหลุดพ้นได้ คุณควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้ดีกว่านะคะ”ชายคนนั้นมีแววตาที่สั่นไหว เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มสนใจ เขากัดฟันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หนึ่งล้านห้าแสนน้อยไป อย่างน้อยต้องสิบล้าน!”หญิงสาวยิ้มเบา ๆ แล้วยกนิ้วมือทั้งห้าขึ้น “ห้าล้าน”“ได้ ตกลงตามนั้น!”หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ได้โทรไปหาหวังเฟิงเมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ เขาก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ตีหน้าเศร้าร้องไห้และกล่าวเกินความจริงต่าง ๆ นานาเอ่ยว่าตนได้เจรจากับผู้ซื้อหลายสิบราย ราคาแต่ละที่ต่ำลงเรื่อย ๆ ราคาสูงสุดก็แค่แปดร้อยล้านเขาเป็นถึงสมาชิกอาวุโสของบริษัทและได้รับการเคารพจากหวังเฟิงดังนั้น เขาพูดเช่นนี้จึงไม่มีใครสงสัยถึงแม้จะโกรธจนถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แต่หวังเฟิงก็ยังคงต้องกัดฟันขายออกไปไม่เพียงแค่ที่ดินผืนน
ทันทีที่เธอเอ่ยจบ สีหน้าของทุกคนในที่นั้นก็เปลี่ยนไปแม่ของหลัวอีอีเป็นคนแรกที่ตะคอกออกมา “พูดอะไรเหลวไหลแบบนั้น!”หลัวฮุ่ยหมิ่นรู้สึกใจหายวาบขึ้นทันที เธอหันไปมองเย่ซิวโดยไม่รู้ตัวแต่เย่ซิวกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่หลัวอีอีทำปากจู๋ “หนูไม่ได้พูดอะไรผิดซะหน่อย พวกเราสองคนเหมาะสมอย่างกับกิ่งทองใบหยก รอหนูเข้ามหาลัยก่อนเถอะ พวกเราก็จะอยู่ด้วยกัน เรียนจบก็แต่งงานมีลูกได้เลย”ต้องยอมรับว่าเด็กผู้หญิงสมัยนี้กล้าพูดทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าหลัวฮ่าวและหลัวเฟิงหันมาสบตากัน แต่สิ่งที่พวกเขาคิดกลับไม่เหมือนกันบุคลิกและความสามารถของเย่ซิวปรากฏอยู่ตรงหน้าหากพวกเขาสามารถเป็นเครือญาติกันได้ก็คงจะดีไม่น้อยเพียงแค่มองตากัน พ่อและลูกชายทั้งสองก็เข้าใจความคิดของกันและกันได้ทันทีหลัวฮ่าวมองไปยังเย่ซิวยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “พ่อรู้สึก/คิดว่าว่าน้องเย่เป็นคนดีมาก ถ้าเขายินดี พ่อก็ไม่มีปัญหาอะไร”หลัวเฟิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “นิสัยของเสี่ยวเย่สามารถเชื่อถือได้ ปู่เองก็เห็นด้วย”หวังเหม่ยลี่เริ่มรู้สึกกังวล เธอวางแผนไว้ว่าจะให้หลัวฮุ่ยหมิ่นได้คบกับเย่ซิว
เธอยังคงไม่ยอมแพ้กว่าจะเจอผู้ชายที่ถูกใจได้สักคน จะให้พลาดไปได้อย่างไรกัน?เธอสาบานอย่างเงียบ ๆ ว่าจะรักษาเย่ซิวให้หายดีให้ได้ดังนั้น เธอจึงเริ่มค้นหาสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ วิธีการนวด และอื่น ๆขณะค้นหา เธอก็จดบันทึกไปด้วยเธอห้าข้อมูลจนดึกดื่น ก่อนที่จะเข้านอนวันถัดมา หลัวฮุ่ยหมิ่นตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เมื่อเปิดประตูออกมาก็เห็นว่าเย่ซิวตื่นแล้วเหมือนกันทันใดนั้น ใบหน้าของเธอแดงขึ้นและรู้สึกเขินอายอย่างมากเย่ซิวแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรและเอ่ยทักทายเธอว่า “สวัสดีตอนเช้าครับ”หลัวฮุ่ยหมิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีตอนเช้า นายรอเดี๋ยวเดียวนะ พอดีตอนนี้ฉันจะออกไปจ่ายตลาด”เนื่องจากหวังเหม่ยลี่อายุมากแล้ว ดังนั้น หลัวฮุ่ยหมิ่นจึงเป็นคนออกไปจ่ายตลาดแทนเย่ซิวพยักหน้าตอบ และไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมอีกหลัวฮุ่ยหมิ่นรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วการกระทำเมื่อคืนมีความหุนหันพลันแล่นเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เธอก็ยังรู้สึกเขินอายและลำบากใจเป็นอย่างมาก จนไม่กล้าอยู่กับเย่ซิวตามลำพังในขณะเดียวกัน เย่ซิวก็เปิดโทรศัพท์ดูข้อความที่ถูกส่งมาตลอดทั้งคืนส่วนใหญ่เป็นข้
หลัวฮุ่ยหมิ่นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของเย่ซิวอย่างรวดเร็ว หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น แต่เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติและถามว่า “ตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง?”เย่ซิวใช้กำลังภายในจากตำราวิเศษในการปรับลมปราณในร่างกาย หลังจากที่กำลังภายในหมุนเวียนไปทั่วเส้นลมปราณในร่างกาย ความปรารถนาภายในก็ค่อย ๆ จางหายไป สายตาของเขากลับมาสงบอีกครั้งเขาเอ่ยตอบเสียงเรียบไปว่า “ผมอิ่มแล้ว”“หา?” หลัวฮุ่ยหมิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “แค่รู้สึกอิ่มเองเหรอ ไม่มีความรู้สึกอื่นเลยหรือไง?”สายตาของเธอเผลอมองไปที่หน้าท้องของเย่ซิวโดยไม่รู้ตัวเย่ซิวส่ายหัวหลัวฮุ่ยหมิ่นฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวตอนเที่ยงฉันจะทำให้นายกินอีกหนึ่งมือ รับรองว่ามื้อนั้นจะต้องอร่อยกว่ามื้อนี้แน่”เย่ซิวถึงกับรู้สึกตกใจ “ยังมีอีกเหรอครับ?”หลัวฮุ่ยหมิ่นยิ้มแห้ง ๆ “ยังเหลืออีกสองในสาม กินได้อีกสองมื้อสบาย ๆ เลย”เย่ซิว “...”เย่ซิวถึงกับพูดไม่ออกหลังจากที่หลัวฮุ่ยหมิ่นเก็บจานชามแล้ว เธอก็ไปทำงานต่อเมื่อเห็นว่าหลัวฮุ่ยหมิ่นออกไปทำงาน เย่ซิวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกการมีผู้หญิงที่พร้อมจะทำเรื่องอย่างว่ากับตนตลอดเวลาแบบนี้
ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบเจอผู้ชายอย่างเย่ซิวเธอไม่ต้องการปล่อยเขาไปแม้กระทั่งวิธีการที่เธอจะตามจีบเย่ซิว ตอนนี้ในหัวของเธอก็มีแผนการที่ชัดเจนแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง……ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหวังเฟิงได้ฟื้นขึ้นมาเขาพยายามลุกขึ้นยืนและมองไปที่เลขาของเขา “ตอนนี้…บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”เลขาสาวถึงกับถอนหายใจ “ราคาหุ้นตกต่ำต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน ขาดทุนมากกว่าแสนล้านและเงินทุนที่สามารถใช้งานได้ในบัญชีเหลือเพียงห้าหมื่นกว่าล้านค่ะ”“และผู้ว่าหลัวใช้หลักฐานที่มีอยู่จับกุมผู้บริหารระดับสูงหลายคน ซึ่งพวกเขาก็เปิดเผยปัญหามากมายของเราเพื่อปกป้องตัวเอง…”“ในสถานการณ์ตอนนี้ บริษัทเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ตอนนี้บริษัททั้งหมดที่เคยร่วมมือกับเรา ต่างหันหลังให้เราแล้วค่ะท่าน”“ขืนสถานการ์ณเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงยื้อต่อไม่ไหวแน่ค่ะท่าน”“ท่านประธานคะ ตามความคิดเห็นของดิฉัน ตอนนี้เราควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อความอยู่รอด โดยการละทิ้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าและจับจ่ายสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอื่น ๆ เอาไว้ เพื่อมีโอกาสฟื
“อายุสิบแปดปี เป็นจอมยุทธขั้นสูงสุดระดับห้า คุณแน่ใจหรือว่าไม่ได้เข้าใจผิด?”ในความเป็นจริง หวังเฟิงไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่ด้วยความคิดที่ว่า เย่ซิวสามารถเอาชนะหนึ่งในสามนายพลลูกน้องของเขาได้ ดังนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้มากจากนั้น เขาก็พูดอย่างหนักแน่น “ผมแน่ใจ”อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์หลิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอที่อยู่ให้ผมหน่อย ผมอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าในโลกนี้มีคนที่ฝืนกฎธรรมชาติได้จริง ๆ หรือไม่”หวังเฟิงดีใจมากและรีบบอกที่อยู่ของหลัวเฟิงให้อีกฝ่ายทราบทันทีที่วางสาย เลขาของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารหลายฉบับหวังเฟิงอ่านทีละฉบับแล้วลงนามแล้วเขาก็พูดกับเลขาว่า “รีบไปจัดการซะ ยิ่งไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งสูญเสียน้อยลงเท่านั้น”“ครับท่าน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ด้วยครับ”เลขานุการออกจากห้องพักผู้ป่วย หลังจากปิดประตูแล้วเขาก็มองดูเอกสารในมือ ทันใดนั้นสีหน้าแปลก ๆ น่าขนลุกก็ฉายขึ้นบนใบหน้าของเขาเขาเร่งฝีเท้าเดินออกไป หลังจากขับรถไปคนเดียวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงเขตพื้นที่วิลล่าที่มีสภาพแวดล้อมหรูหรางดงามจากนั้น เขาก็ลงจาก
หลัวอีอีหันกลับมาพร้อมมือข้างหนึ่งทีกำลังเท้าคาง แล้วพึมพำเบา ๆ ว่า “พ่อหนุ่มน้อย นายไม่ได้แก่กว่าฉันเลยนะ เรียกฉันว่าพี่สาวสิ”ความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจของเธอเห็นได้ชัดว่า เย่ซิวดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงกว่าเธอ แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้แก่กว่าเธอเลย น่าสนใจจริง ๆเย่ซิว “ออกไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวถ้าครอบครัวคุณกลับมาแล้วมาเห็นแบบนี้เข้า แล้วจะอธิบายยังไง?”“ฉันจะไม่ออกไปจนกว่านายจะตอบมาให้ชัดเจน” หลัวอีอีพูดอย่างเมินเฉย “ฉันบอกแล้วว่าฉันอยากเป็นแฟนกับนาย นายกลัวเหรอ? นายนี่ขี้อายจริง ๆ เลยนะ”เย่ซิวก้าวไปข้างหน้า และคว้าหลังคอของเธอไว้โดยไม่เอ่ยปากอะไรสักคำเด็กสาวดิ้นรนอย่างแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของเย่ซิวได้ เขาลากเธอกลับห้อง และผลักเธอลงบนเตียงเธอกลิ้งไปหนึ่งตลบ จากนั้น เธอก็ลุกออกจากเตียงแล้วกระโจนใส่เย่ซิวการกระทำนี้อาจหาญและอันตรายมากถ้าเย่ซิวจับไว้ไม่ทันเธอจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ดวงตาของหลัวอีอีฉายแวบแววเจ้าเล่ห์ เธอรู้อยู่แล้วว่าเย่ซิวไม่มีทางปล่อยให้เธอได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนแม้ว่าเย่ซิวจะรู้ถึงกลอุบายของแม่สาวน้อยคนนี้ แต่เขาก็ยังต้องจับเธอไว้อยู่ดีจากนั
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน