ในเวลาเพียงไม่กี่นาที บอดี้การ์ดทั้งหมดในวิลล่าของเธอก็ล้มลงกับพื้น และไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก“โอ้พระเจ้า นี่เขามีความแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ?” หลิวอวิ้นอุทาน แต่แล้วเธอก็ยังส่ายหัว “เขาค่อนข้างมีฝีมือ แต่เมื่อเทียบกับผู้ชายคนนั้นแล้วก็ยังไม่เพียงพอ เฮ่อ…”“แกนี่เอง!”ลู่เจิ้นเฟิงได้ยินเสียงดังจึงวิ่งออกไป เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเย่ซิว เขาก็ทั้งตกใจและโกรธจัด เขาชี้หน้าเย่ซิวและคำราม “เด็กสารเลว แกอยากตายนักใช่ไหม!”เย่ซิวเดินเข้าไปสองสามก้าว และตบเข้าที่ใบหน้าของเขาเขาควบคุมพลังไว้พอควรมันจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของลู่เจิ้นเฟิง ทว่าจะทำให้เขาเจ็บปวดไปอีกนาน“อ๊ากกก!!!”ลู่เจิ้นเฟิงยกมือกุมครึ่งหน้า และร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดผลัวะเย่ซิวเตะเขาลงกับพื้น และเหยียบหน้าอกของเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์เลยจริง ๆ แม้แต่ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองคุณยังขายได้!”“คุณควรจะขอบคุณที่คุณเป็นพ่อของเธอ ไม่อย่างนั้นคุณได้เป็นศพไปแล้ว”พูดจบเขาก็ออกแรงที่เท้าเล็กน้อย และซี่โครงหลายซี่ของลู่เจิ้นเฟิงก็แตกหัก จากนั้นก็สลบไปจากความเจ็บปวดเมื่อระบายโทสะออกมาเต็มที่แล้วเย่ซิวก็
เย่ซิวเองก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินไปด้านหลังชายสูงอายุนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาซีดผิดธรรมชาติ และดวงตาของเขาลึกโปน“หลีกทางหน่อยค่ะ หลีกทางด้วยค่ะ อย่าล้อมเขา ให้อากาศถ่ายเทก่อนค่ะ”น่าหลันเหยียนหรานตะโกนให้ทุกคนที่ล้อมอยู่ถอยออกไป เธอนั่งยอง ๆ ตรวจอาหารให้แก่ชายชรา จากนั้นก็เริ่มกดที่หัวใจของเขาอย่างไรก็ตาม อาการของชายชราเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และหัวใจของเขาก็เต้นช้าลงน่าหลันเหยียนหรานตื่นตระหนก เธอสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของชายชราที่จางหายไปอย่างรวดเร็วเธอเพิ่มแรงมากขึ้นแต่ก็ยังไร้ผล“จะทำยังไงดี? ถ้าไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ฉันก็ช่วยเขาไม่ได้!”ดวงตาของน่าหลันเหยียนหรานแดงก่ำ และรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก“ฉันจัดการเอง”ในขณะที่เธอรู้สึกสิ้นหวัง เสียงที่สงบและทรงพลังก็ดังขึ้น ทำให้เธอรู้สึกสงบลงได้ในทันทีเมื่อหันกลับมา เธอก็เห็นเย่ซิวที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ดวงตาของน่าหลันเหยียนหรานสว่างขึ้น เธอจำได้ว่าเย่ซิวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์“คุณชายเย่ รีบช่วยเขาทีเถอะค่ะ”เย่ซิวตรวจสอบชีพจรของชายชรา จากนั้นก็รีบหยิบเข็มเงินออกมา และเตรียมที่จะฝังเข็มแต่ทันใดนั้น ชาย
“พวกคุณดูสิ ชายชราฟื้นแล้ว!”……เมื่อเย่ซิวฝังเข็มเล่มสุดท้าย ชายชราก็ฟื้นขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และมีอาการมึนงงเล็กน้อยน่าหลันเยียนหรานมองไปที่เย่ซิวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส และหัวใจที่เต้นรัวเธอยอมรับว่า ในแง่ของทักษะการแพทย์ ระหว่างคนทั้งสองมีความแตกต่างกันมากขณะนี้ เย่ซิวดูเหมือนว่าได้ส่องแสงอยู่ในดวงตาของน่าหลันเยียนหรานแต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับมองเย่ซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นเย่ซิวเงยหน้าขึ้นมอง และแก้มัดให้เขาชายหนุ่มสามารถขยับร่างกายได้แล้ว เขานั่งยอง ๆ ลงทันที และแสดงสีหน้านึกกลัวในภายหลัง "ปู่ ดีใจที่ปู่ไม่เป็นอะไร เมื่อสักครู่นี้ทำหลานตกใจหมดเลย"ชายชราขมวดคิ้ว พร้อมเปล่งเสียงแหบเล็กน้อย "โรคหัวใจของปู่อาการกำเริบ เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?"ชายหนุ่มพูดว่า "ไม่มีอะไร หลานแค่ป้อนยาโรคหัวใจที่ออกฤทธิ์เร็วให้ปู่ทาน แล้วปู่ก็ตื่น"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป น่าหลันเยียนหรานก็โมโหทันที และพูดด้วยความโกรธว่า "นี่คุณ คุณพูดแบบนี้จะมากเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพื่อนของฉันที่ช่วยปู่ของคุณไว้ พูดบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ยังไง?"ชายหนุ่มตะคอก
“คุณเย่ ช่วยทิ้งเบอร์โทรศัพท์คุณไว้ให้ฉันได้ไหม?”ใบหน้าของน่าหลันเยียนหรานร้อนผ่าว เธอรู้สึกเขินอายมากโตมาขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขอเบอร์ติดต่อของผู้ชายเพราะว่าตั้งแต่เล็กจนโต เธอเป็นคนสวยและโดดเด่นที่สุดในชั้นเรียนมีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่พยายามเข้าหาเธอและใช้ทุกวิถีทางเพื่อขอเบอร์ติดต่อจากเธอหัวใจของเธอเต้นแรง กลัวว่าเย่ซิวจะเข้าใจผิด ดังนั้นเธอจึงกล่าวเสริมไปอีกประโยค“ฉันไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น แค่คิดว่าหากหลังจากนี้มีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์ ฉันจะได้สามารถถามคุณเย่ได้”เย่ซิวพยักหน้าเล็กน้อยและให้เบอร์โทรศัพท์ของเขาแก่เธอหากเธอกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เย่ซิวก็ไม่รังเกียจที่จะมอบความรู้ให้เธอท้ายที่สุดแล้ว การมีคนที่มีความรู้ความสามารถทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งในโลกนี้ ก็สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้คนหลายสิบ หลายร้อย หรือมากกว่านั้น“อ้า เยี่ยมไปเลย ขอบคุณนะ!”น่าหลันเยียนหรานมีความสุขมาก แต่แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองเสียมารยาทเล็กน้อย จึงแลบลิ้นออกมาด้วยความเขินอายเย่ซิวโบกมือลาแล้วเดินออกไปข้างนอกนอกสนามบินมีคนเรียกผู้โดยสารม
คนอื่น ๆ เพิ่งจะรู้สึกตัว จึงพากันปล่อยหมัดและอาวุธสารพัด เข้าโจมตีเย่ซิวซึ่ง ๆ หน้าเย่ซิวเตะชายหนุ่มคนนั้นทรุดไปกองที่พื้น จากนั้นจึงลงมือเตะต่อย ทุกการเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้าหนึ่งนาทีต่อมา ทุกคนต่างก็ลงไปกองที่พื้น ร้องครวญครางระงมมีร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเย่ซิวจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้แต่ไม่นานเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ ท่าท่างของเขากลับมาเย่อหยิ่งอีกครั้ง“แกเสร็จแน่ แกไม่รอดแน่ แกรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร!”เย่ซิวไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนของมดปลวกเช่นนี้ตอนนี้เขาแค่ต้องการตามหาลู่เสวี่ยเอ๋อร์โดยเร็วที่สุดจึงหันหลังเดินไปทางแท็กซี่เมื่อชายหนุ่มเห็นเย่ซิวเพิกเฉยต่อเขา เขาก็โกรธจัดและตะโกนไปว่า "แกตายแน่ ฉันเป็นคนของตระกูลเย่ แม้ว่าแกจะหนีไปสุดขอบโลกก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากความตายได้!"เย่ซิวที่กำลังจะก้าวขึ้นรถชะงักกึก เขาเดินกลับไปหาอีกฝ่ายอีกครั้งชายหนุ่มคิดว่าเย่ซิวหวาดกลัว เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มที่ดุร้ายว่า "แกกลัวแล้วล่ะสิ คุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้ บางทีฉันอาจจะไว้ชีวิตแก...อ๊าก!"เย่ซิวเหยียบมือขวาของเขาจนกระดูกแหลกละเอีย
สาวสวยสองคนทั้งพูดและหัวเราะเดินจูงมือกันเข้ามาคนทางซ้ายอายุประมาณสามสิบปีผิวขาวมาก ราวกับน้ำนมเส้นผมยาวตรงสีดำเงางามเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นดูมีราคาแพงตั้งแต่แรกเห็น แสดงออกถึงความมีฐานะที่ไม่เหมือนใครอีกคนเมื่อเทียบกับเธอแล้ว มีความสง่างามด้อยกว่าเล็กน้อยแต่ข้อดีคืออายุน้อยกว่า ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเธอสวมชุดสูททำงานรัดรูปสีน้ำเงินภายใต้กระโปรงยังสวมถุงน่องสีดำ สวมแว่นตา ย่างเดินด้วยท่าทางของผู้หญิงวัยทำงานที่มีอำนาจสาวสวยทั้งสองคนพูดไปพลางหัวเราะไปพลางแล้วเดินเข้ามา จากนั้นทั้งคู่ก็มองไปที่เย่ซิวเมื่อสาวสวยในชุดสูททำงานเห็นเขา เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "คุณนั่นเอง!"เย่ซิวรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเธอที่นี่คนสวยนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินโหรวเย่ซิวยังจำได้ว่าตอนที่เขาช่วยอวี่เฟยเฟยในห้องน้ำหญิง และเมื่อออกมาก็ถูกเธอบังเอิญเห็นเข้าดังนั้นหลินโหรวจึงเข้าใจผิดว่าเขาและอวี่เฟยเฟยกำลังทำเรื่องสกปรกกันอยู่ข้างในเพราะเหตุนี้หลินโหรวจึงไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ข้าง ๆ หลินโหรวถามอย่างสงสัย "เสี่ยวโหรว นี่เพื่อนของเธอเหรอ?"สีหน้ารังเกียจของหลินโหรวเห็น
บุคลิกภาพที่สง่างามเช่นนี้ จะเกิดขึ้นได้หลังจากผ่านประสบการณ์ความยากลำบากต่าง ๆ มาเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นจุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดบนร่างของเธออีกด้วย“พี่เสวี่ยเหมย”ผู้หญิงสองคนรีบทักทายอย่างสนิทสนมจากสายตาของพวกเธอ สามารถเห็นถึงความเคารพต่อผู้หญิงที่ชื่อเสวี่ยเหมยได้อย่างชัดเจนรูปร่างหน้าตาของเสวี่ยเหมยไม่สามารถบอกอายุอย่างเจาะจงได้มองแวบแรกเหมือนจะอายุยี่สิบแต่ถ้ามองดี ๆ ก็เหมือนอายุสามสิบเธอพูดคุยกับผู้หญิงสองคนด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหลบนใบหน้าของเธอสองสามคำ จากนั้นทอดสายตาไปที่เย่ซิว“เขาคือใคร?”เย่ซิวก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างใจเย็น "สวัสดีครับ ผมชื่อเย่ซิว ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ"เสวี่ยเหมยเหลือบมองเย่ซิวอีกสองสามครั้งเธอพบว่าชายตรงหน้านี้แตกต่างจากชายที่เธอเคยพบมาทั้งหมดสงบนิ่ง!สงบนิ่งอย่างที่แท้จริงแม้แต่ในวงสังคมชั้นสูงของเมืองหลวง ลูกหลานของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลเหล่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าต่อก็ไม่สงบขนาดนี้เมื่อพวกเขาเห็นเธอ ถ้าไม่ตกตะลึง ก็โลภหรือไม่ก็คลั่งไคล้มีบางคนที่เก็บความรู้สึกได้ดีมาก แต่เสวี่ยเหมยก็ยังมองออกแต่เย่ซิวกลับไม่มีร่อ
“ถ้าคุณบอกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาให้กับผม ผมจะถือว่าผมติดหนี้บุญคุณของคุณ”"อะไรนะ?"ทันทีที่เย่ซิวพูดจบ ผู้หญิงทั้งสามก็มองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินโหรว เกินจริงที่สุด มองเขาด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง“คุณบ้าไปแล้ว รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?”สตรีสูงศักดิ์เองปิดปากหัวเราะ "หนุ่มน้อยคนนี้ตลกจริง ๆ"เสวี่ยเหมยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและไม่ได้จริงจังกับมันเธอรู้จักบุคคลสำคัญนับไม่ถ้วน และถ้าจะสุ่มเลือกใครก็ตาม พวกเขาก็ล้วนอยู่ในระดับใหญ่โตทั้งสิ้นเธอไม่คิดว่าหนี้บุญคุณของเย่ซิวจะมีประโยชน์มากนักเสวี่ยเหมยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า "ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่สามารถตอบรับเงื่อนไขนี้ได้ ยิ่งไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้หมายเลขโทรศัพท์ของนายน้อยเย่แก่คุณ เชิญคุณกลับไปเถอะ"เย่ซิวถอนหายใจ "ผมมาที่นี่ด้วยความจริงใจ และหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ แต่ถ้าไม่..."จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากใช้กำลังบังคับเลยหลินโหรวยักคิ้วและเยาะเย้ย "ถ้าไม่แล้วจะยังไง คุณจะลงมือให้ได้เลยใช่ไหม!"สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นเตือน "ฉันขอแนะนำคุณว่าอย่าคิดทำอะไรจะดีกว่า ในโรสการ์เด้นมียอดฝีมือมากมาย ต่อให้มาก
“รู้…แล้ว...”เฉินเยียนจือตอบเสียงแผ่วเบาอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ คนเลวต้องเจอกับคนที่เลวยิ่งกว่า คนแบบเธอ มีแต่ต้องเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเท่านั้น ถึงจะถูกกำราบอยู่หมัด“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ลองเรียกคำว่านายท่านให้ฉันฟังหน่อยสิ”เย่ซิวไม่ได้หลงเชื่อว่าเธอจะยอมสยบง่าย ๆ สิ่งที่เธอแสดงออกตอนนี้มีแต่จะเป็นการยอมจำนนแบบชั่วคราวเท่านั้นและก็จริงตามคาด สีหน้าของเฉินเยียนจือพลันแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง“หืม ไม่อยากพูดงั้นเหรอ” เย่ซิวแกล้งทำหน้าบึ้ง “แสดงว่าบทเรียนเมื่อกี้ยังเบาเกินไปสินะ”เฉินเยียนจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว เรื่องเมื่อกี้ยังคงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากเผชิญซ้ำอีก“นาย…ท่าน...”สองคำนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยความรู้สึกอัปยศเกินบรรยายเย่ซิวยิ้ม แล้วบิดแหวนผนึกของจากนิ้วของเธอออกมา “เปิดมันซะ”เฉินเยียนจือรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำตามอย่างว่าง่ายเย่ซิวใช้พลังจิตสำรวจภายในทันที ด้านในมีทั้งศิลาวิญญาณจำนวนมาก สมุนไพรหายาก และโอสถล้ำค่า รวมมูลค่าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณเย่ซิวเก็บทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเลเฉินเยียนจือเจ็บใจจนแทบร้องไห้ทรัพยากรจำนวนมหาศา
“ฉัวะ!!”สายฝนสีเลือดโปรยปรายลงมาทั่วฟ้าเย่ซิวฉีกสัตว์วิญญาณของเฉินเยียนจือเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ลังเลจากนั้นเตะเข้าหน้าอกเธอเข้าเต็มรักร่างของเธอลอยละลิ่วไปกระแทกกับเนินเขาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกหักดังทั่วร่าง ไม่รู้ว่าหักไปกี่จุดเฉินเยียนจือมองเย่ซิวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น“ไอ้สารเลว แกตายแน่ แกต้องตาย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!!!”ถึงจะเจ็บปางตาย เธอก็ยังไม่หยุดอาฆาต ใจคิดแต่จะแก้แค้นให้ได้ในภายหลัง“เพียะ ๆ ๆ”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนให้กับคนอย่างเธอเขาตบซ้ายทีขวาที เพียงพริบตาก็ฟาดไปกว่าร้อยครั้งแรงฝ่ามือแต่ละครั้ง ทำให้ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอบวมช้ำจนดูไม่ได้ความแค้นในใจของเธอระเบิดออกจนแทบปิดไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำราวกับจะสังหารได้ทุกสิ่งเธอไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เด็กก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และแฟนหนุ่มถูกตามใจทุกอย่างราวกับแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้กลับโดนกระทืบจนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้เย่ซิวเห็นสภาพเธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไปเขาควักโอสถสองเม็ดออกมา แล้วยัดใส่ปาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ