จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของคุณออกด้วยวิธีนี้ ร่องรอยของเขาและลู่เสวี่ยเอ๋อร์จึงหายไป`ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มที่เพิ่งมาถึงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับไป๋หยูเจี๋ยได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนร่วมในการดำเนินการในระดับที่ลึกซึ้งอีกด้วยเย่ซิวมองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างที่ไป๋อวี้เจี๋ยพูดจริง ๆ ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวผู้อยู่อาศัยแต่ละคนมีพื้นที่อิสระของตนเอง และได้รับความเป็นส่วนตัวในระดับสูง รับรองว่าพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนอย่างแน่นอนเขาแอบพยักหน้ากับตัวเองไป๋อวี้เจี๋ยพาทั้งสองคนเข้าไปในห้อง“เป็นยังไงบ้าง? คุณสองคนพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไหมคะ?”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์มองไปรอบ ๆ “ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณไป๋ที่รับเราเข้ามาร่วมด้วยนะคะ”เย่ซิวกวาดสายตาตรวจสอบทั่วทั้งห้องอย่างละเอียดหลังจากที่ไม่พบอันตรายด้านความปลอดภัย เขาก็พูดกับลู่เสวี่ยเอ๋อร์ “คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ และอย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมให้หนักด้วย”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้ว่าเย่ซิวต้องจากไปอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่อยากแยกจากกันเลย แต่เธอก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาเตือน "คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้ด้วย"เย่ซิวลูบหัวเธอแล
ใบหน้าของเสวี่ยเหมยเคร่งขรึมขึ้น "หุบปาก ใครใช้ให้เธอหยาบคายกับคุณเย่!"คนขับอยู่กับเสวี่ยเหมยมาหลายปีแล้วและไม่เคยดุเธอเลย แต่ตอนนี้เสวี่ยเหมยกลับดุเธอเพราะเย่ซิวเธอเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าเสวี่ยเหมยมักจะดูเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อเธอจริงจังเธอก็น่ากลัวมากเช่นกันเสวี่ยเหมยกดสวิตช์กระจกถูกเลื่อนขึ้นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับที่นั่งด้านหลังวิธีนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นทางด้านหลังได้หากเป็นผู้ชายคนอื่นที่มีโอกาสได้อยู่กับเสวี่ยเหมยสองต่อสองเช่นนี้ เขาคงจะตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่แล้วแต่เย่ซิวกลับมีท่าทีสงบแม้ว่าเสวี่ยเหมยจะสวยและมีเสน่ห์ แต่เธอก็ยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำให้เย่ซิวตื่นเต้นได้เสวี่ยเหมยมองไปที่เย่ซิว ในไม่กี่วินาทีสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น “คุณเย่ คุณทานข้าวหรือยังคะ? พอดีฉันมีอาหารอยู่ กินรองท้องสักหน่อยไหมคะ?""ยังครับ" เย่ซิวตอบเบา ๆ “เรื่องกินไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าคืนนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า"เสวี่ยเหมยยิ้มและกล่าวว่า "คืนนี้ บุคคลสำคัญหลายคนในเมืองหลวงจะ
ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่ซิว หากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตของเธอได้ถึงคราวหาไม่มือของเย่ซิวเลื่อนลงมาที่หัวใจของเธอและหยุดอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส“ผมไม่ชอบให้ใครมาวางแผนเล่นเล่ห์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”เสวี่ยเหมยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ "ฉันทราบค่ะ ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"เมื่อนั้นเย่ซิวจึงดึงมือออกจากหัวใจของเธอเธอหอบหายใจแรง เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากนั้นไม่นานเธอก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และมองไปที่เย่ซิวด้วยความคับข้องใจเธอนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองหลวงไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจ มั่งคั่ง และเผด็จการแค่ไหน พวกเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเธอ ทั้งอ่อนโยนและสุภาพกับเธอเป็นอย่างมากพวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังกับเธอ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนสวย ๆ อย่างเธอจะมีใครที่ไหนเหมือนกับเย่ซิวที่กระทำรุนแรงเช่นนี้ และในวันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เย่ซิวปฏิบัติกับเธออย่างหยายคายในขณะที่เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของเธอพลันแดงก
ดวงตาของเย่ซิวจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่ดูน่าดึงดูดมากคนหนึ่งเธอยืนอยู่ข้างชายร่างอ้วนผิวเป็นสีแทนที่ดูสุขภาพดี และเธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สร้างมาอย่างดีรูปร่างเรียบง่าย ไม่ดูโอ้อวดสัดส่วนเกินไปดวงตาคมมากเหมือนเสือดาวตัวเมียตัวน้อยที่พร้อมจะจับเหยื่อได้ตลอดเวลา“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์แล้ว!”เย่ซิวรู้สึกประหลาดใจมากผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเหตุผลที่มองเห็นได้ก็คือระยะนี้จะปล่อยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมาแน่นอนว่า มีเพียงคนในระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะสัมผัสสิ่งนี้ได้ทั่วทั้งสถานที่นี้ นอกเหนือจากเย่ซิวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่เสวี่ยเหมยทักทายบุคคลสำคัญจากฝ่ายต่าง ๆ แล้ว เธอก็หันไปหาเย่ซิวพร้อมกับรอยยิ้ม "คุณไช่ เชิญค่ะ"ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากทีเดียว เธอรู้ว่าต้องช่วยเย่ซิวปกปิดตัวตนอย่างไรรอยยิ้มของเธอน่าดึงดูดมาก ยิ่งกว่านั้นมันอ่อนหวานยิ่งกว่าตอนที่เธอยิ้มให้คนอื่นก่อนหน้านี้อีกทันใดนั้น หลายคนรู้สึกเป็นศัตรูเล็กน้อยต่อเย่ซิวเย่ซิวพยักหน้าสถานที่จัดงานมีขนาดใหญ่มาก การตกแต่งก็อลังก
เสวี่ยเหมยพูดไม่ออกเล็กน้อย และสงสัยในใจว่า เย่ซิวไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ?แต่ในขณะที่เธอคิดอย่างรอบคอบ เธอก็ตระหนักรู้ได้ทันทีความแข็งแกร่งของเย่ซิวนั้นทรงพลังมาก ส่วนภูมิหลังของเขานั้นยิ่งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้บางทีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเย่ซิวอาจไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจางเลย เหล่าคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างมองด้วยสายตาวาววับทุกคนในแวดวงต่างรู้กันดีว่า คนที่ไล่ตามจีบเสวี่ยเหมยอย่างหนักที่สุดก็คือ เย่ขวง และอีกคนหนึ่งก็คือชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้สำหรับชายหนุ่มธรรมดาที่กล้าเข้าใกล้เสวี่ยเหมยมากเกินไปจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหัก หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวทางธุรกิจและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูสุภาพอ่อนโยน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีในเวลานี้ มีคนเข้ามากระซิบบอกจางรั่วหลิงที่ข้างหูของเขาว่า เสวี่ยเหมยเป็นคนตักอาหารให้เย่ซิวด้วยตัวเองจากนั้นจางรั่วหลิงก็มองไปที่เย่ซิว "น้องชายคนนี้ดูไม่คุ้นเลย ไม่ทราบว่าเขามาจากนิกายสันโดษที่ไหน?"ในสถานที่อื่นนั้นจอมยุทธระดับสาม
อาจกล่าวได้ว่าการตบของเย่ซิวทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้าชายคนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าจางรั่วหลิงด้วยจางรั่วหลิงมองไปที่เสวี่ยเหมยและพูดอย่างใจเย็น "คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ้เด็กนี่ต้องตาย"ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเขา หากวันนี้ไม่ได้กำจัดเย่ซิว มันจะกลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างแน่นอนในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนคงได้ถูกเยาะเย้ยเป็นแน่เสวี่ยเหมยรีบเข้าไปยืนขวางเย่ซิวอย่างรวดเร็ว "เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ไหม ยังไงแล้ว… คุณเองก็เป็นคนเริ่มก่อน"ดวงตาของจางรั่วหลิงปะทุกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น น้ำเสียงของเขาเย็นชา "นี่คุณจะต่อต้านผมเพราะเห็นแก่ไอ้เด็กนี่จริง ๆ สินะ!"ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอกจางรั่วหลิงมีจุดแข็งมากมาย แต่เขาก็มีข้อบกพร่องใหญ่ประการหนึ่งเช่นกันนั่นคือความอิจฉาริษยาอย่างหนักในสายตาของเขา พฤติกรรมของเสวี่ยเหมยนั้นเหมือนกำลังสวมเขาให้ตนด้วยความโกรธที่แผดเผาในอก น้ำเสียงของจางรั่วหลิงจึงยิ่งเย็นเยือก "ขอโทษทีนะ แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ผล หลบไป!"จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่ซิว "ถ้านายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็อย่าหลบอยู่ข
ในแวดวงวิทยายุทธ ไร้คู่ต่อสู้ คือคำที่กล่าวกันในหมู่ปรมาจารย์เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เสวี่ยเหมยไม่มั่นใจแม้แต่น้อยเลยว่าเย่ซิวจะชนะได้จางรั่วหลิงแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดเย่ซิว จึงพาคนของเขาไปที่เวทีประลอง ทันทีเสวี่ยเหมยส่ายหัวและโน้มตัวกระซิบข้างหูเย่ซิว "วางใจเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ปล่อยให้คุณตายเด็ดขาด ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ"เย่ซิวหัวเราะอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเธอคิดมากเกินไปแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมทุกคนมายังเวทีประลอง เฟยหู่ขึ้นไปก่อนพร้อมถอดเสื้อคลุมออกกล้ามเนื้อของเขาเป็นมัด ๆ เส้นเลือดเด่นเห็นชัด ทำให้เขาดูความแข็งแกร่งและทรงพลังในทางตรงกันข้ามเย่ซิวดูผอมบางมาก ราวกับว่าเขาจะถูกคว่ำได้ด้วยหมัดเดียวพวกเขาเชิญผู้ตัดสินมืออาชีพขึ้นบนเวที จากนั้นก็มีการอธิบายสั้น ๆ เล็กน้อยกฎหลักคือไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธ หรืออาวุธลับ“การประลองคู่แรก เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”พูดจบกรรมการก็ก้าวลงจากเวทีไปตุบ ตุบ! เฟยหู่กระแทกกำปั้นเข้าหากัน โค้งตัวลงเล็กน้อย ตั้งท่าโจมตี และเผยยิ้มพร้อมฟันขาวทั้งแผง“ไอ้หนู ตอนนี้แกยังมีเวลาขอความเมตตานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบให
ปัง!หมัดทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงอื้ออึงเฟยหู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดคิด!เฟยหู่คิดไว้ว่า ถ้าเย่ซิวได้รับหมัดนี้ไป อย่างน้อยที่สุดกระดูกของเขาจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่ แต่สุดท้าย หลังจากแลกหมัดกัน เย่ซิวก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดในความเป็นจริงเขาไม่ได้ขยับเท้าเลยด้วยซ้ำเยาะเย้ยอย่างเย็นชา "แกก็พอมีความสามารถอยู่บ้างนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่แกจะอวดดีขนาดนี้ เอาหมัดสายฟ้าของฉันไปกินซะ!"เขาเหวี่ยงหมัดทั้งสองข้างออกไปเร็วราวกับสายฟ้าเหล่าผู้ชมมองเห็นเพียงเงาเท่านั้นจางรั่วหลิงจิบไวน์แดงและดูมั่นใจ "เฟยหู่สามารถฆ่าควายโตเต็มวัยได้ด้วยหมัดเดียว หมัดที่เร็วที่สุดคือสามสิบครั้งต่อหนึ่งวินาที เด็กนั่นไม่มีทางหยุดเขาได้แน่"จู่ ๆ ในใจของเสวี่ยเหมยก็เรื่มวิตกกังวลแต่ไม่นานเธอก็ผ่อนคลายลงดูนั่น!บนเวทีประลอง ขาของเย่ซิวดูเหมือนจะปักหลักอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งของเขาไพล่ไว้ด้านหลังเขาสกัดการโจมตีอันบ้าคลั่งของเฟยหู่ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทะลุการป้องกันของเย่ซิวได้ฉากนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนที่นั่งชมเป
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน