“นายท่านรองจาง!”“ลมอะไรพาท่านมาที่นี่กันครับเนี่ย”“นายท่านรองจางยังแข็งแกร่งเหมือนเดิมเลยนะครับ”……สีหน้าของเสวี่ยเหมยเริ่มจริงจังมากขึ้นเย่ซิวที่ยืนถัดจากเธอสามารถสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่หาได้ยากจากร่างกายของเธอสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกกังวลเขาถามว่า "ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใครเหรอ?"เสวี่ยเหมยตอบด้วยเสียงต่ำ "นายท่านรองจาง รองประธานของหย่วนหางกรุ๊ปเขามีความสามารถรอบด้าน ใครก็ตามที่ตกเป็นเป้าหมายของเขา มักจะมีจุดจบน่าสังเวช เขาน่ากลัวยิ่งกว่าจางรั่วหลิงมาก”เย่ซิวพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีกเมื่อเห็นผู้มาเยือนจางรั่วหลิงก้มศีรษะที่เย่อหยิ่งลง "คุณอา คุณอามาทำอะไรที่นี่ครับ?"นายจางพ่นลมอย่างเย็นชา "อยู่นอกบ้าน ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”“แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ!”แม้ว่าจางรั่วหลิงจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้า "ผมเข้าใจแล้วครับคุณอา ใครก็ได้... "เขาเรียกให้คนนำสัญญาการโอนมา และโอนหุ้นไปให้เสวี่ยเหมยทันทีเสวี่ยเหมยอ่านอย่างละเอียดแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปใบหน้าเผด็จการของนายท่านรองจางแสดงมีรอยยิ้มเป็นนัย "ฮ่าฮ่า จากนี้ไปเราก
ด้วยทักษะของเย่ซิวจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านั้นจะตามเขาทันในอีกด้านหนึ่ง เสวี่ยเหมยกำลังตรวจดูข้อความในโทรศัพท์อยู่ภายในรถทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับเย่ซิว!“ผู้ชายคนนี้น่าทึ่งมาก!”หลังจากอ่านแล้วเสวี่ยเหมยก็ถอนหายใจคนขับรถหญิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เป็นหนึ่งในคนสนิทของเธอเช่นกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น "นาน ๆ ทีจะได้ยินเจ้านายชมคนอื่นนะคะ"ดวงตาของเสวี่ยเหมยฉายแววแปลก "เด็กคนนั้นต้องมีภูมิหลังที่คาดไม่ถึงแน่นอน!เขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีทรัพย์สินมหาศาลเกินคาดเดาอีกด้วยและที่สำคัญ… เขาประสบความสำเร็จทุกอย่างด้วยความสามารถของตัวเองสิ่งนี้ทำให้การประเมินของเย่ซิวของเสวี่ยเหมยเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนคนขับรถหญิงพูดติดตลกว่า "ในเมื่อเขายอดเยี่ยมขนาดนั้น ทำไมเจ้านายไม่ลองทำให้เขามาอยู่ในมือล่ะคะ?"เสวี่ยเหมยไม่ได้แสดงท่าทีเขินอาย แต่กลับพยักหน้าอย่างจริงจัง "ฉันก็คิดเหมือนกัน เขาจะไม่มีทางหนีจากเงื้อมมือฉันไปได้แน่!"ดวงตาของเสวี่ยเหมยประกายสุกใสเธอมั่นใจในเสน่ห์ของเธอมาก และคิดว่าเย่ซิวจะต้องหลงใหลในตัวเธออย่างแ
นอกจากนี้ประตูและหน้าต่างก็ปิดสนิทเกือบตลอดเวลาดังนั้นเสวี่ยเหมยจึงคุ้นเคยกับการไม่สวมเสื้อผ้าหลังอาบน้ำในขณะนี้ เธอได้เผยรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอต่อหน้าเย่ซิวเธอมีรูปร่างที่สง่างาม ผิวที่ขาวราวกับหยก และมีกลิ่นหอมตามร่างกายดวงตาคมกริบ คิ้วโค้งมนขนตายาวสั่นเล็กน้อยขณะที่เธอกำลังเดินใบหน้าที่สวยไร้ที่ติมีสีชมพูเล็กน้อย และริมฝีปากที่ไม่หนาเกินไปสีแดงราวกับกลีบกุหลาบ ละเอียดอ่อนมากจนผู้คนอดไม่ได้ที่อยากจะลิ้มรสเมื่อมองลงไปด้านล่างก็มองเห็นยอดหยกที่คมชัด งดงามปานจะล่มเมืองได้ทั้งเมืองทุกส่วนบนเรือนร่างของเสวี่ยเหมยนั้นสมบูรณ์ไร้ที่ตินี่แหละที่เรียกกันว่าลูกรักพระเจ้า ต่อให้เย่ซิวมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เมื่อเผชิญหน้ากับฉากเช่นนี้ก็ทำให้เขาใจเต้นได้เช่นกันเสวี่ยเหมยเดินไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบเสื้อผ้าเย่ซิวพลันหันหน้าหนี...ตอนนี้เย่ซิวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาหลุดออกจากการควบคุมกำลังภายในยิ่งกว่านั้น เขายังส่งเสียงออกมาเบา ๆ อีกด้วยเสวี่ยเหมยตื่นตัวและระวังตัวอยู่เสมอ เธอรีบหันหลังกลับทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเย่ซิว ร่องรอยของความตื่นตระหนกก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเธอ
"กรี๊ด!!!"เสวี่ยเหมยกรีดร้องอีกครั้งเคราะห์ดีที่ห้องของเธอเก็บเสียงได้ดีมาก ไม่ว่าเธอจะกรีดร้องอยู่ข้างในดังแค่ไหน ข้างนอกก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอไม่เช่นนั้นหากมีคนเข้ามาเห็นฉากนี้ เธอคงได้อับอายหนักกว่านี้เป็นแน่เย่ซิวหยิบชุดเดรสยาวสีดำจากตู้เสื้อผ้ามาและช่วยใส่ให้เธอเนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงทำให้เสวี่ยเหมยต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากแต่งตัวให้เธอเสร็จแล้ว เย่ซิวก็อุ้มเธอขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วไปที่ห้องน้ำดวงตาของเสวี่ยเหมยเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เธอก็กรีดร้องดังยิ่งขึ้น "ไม่ อย่าทำแบบนี้..."ซ่าซ่าซ่า...เขาเปิดก๊อกน้ำ ใช้น้ำเย็นจัดราดลงบนศีรษะของเธอ จนเธอไม่สามารถพูดคำที่เหลือได้หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเสวี่ยเหมยก็หยุดกรีดร้องเย่ซิวพูดอย่างใจเย็น "ตอนนี้คุณใจเย็นลงแล้วหรือยัง?"เสวี่ยเหมยเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอยังคงความเกลียดชังอยู่แต่เธอก็ไม่ได้บ้าคลั่งแล้ว น้ำเสียงของเธอเย็นชา "คุณอยากจะทำอะไรกันแน่!"เย่ซิวคลายจุดสกัดให้เธอเสวี่ยเหมยกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งและกระโดดออกไปทันที โดยรักษาระยะห่างจากเย่ซิว“ออกไป ฉันไม่อยากเจอคุ
เมื่อมาถึงห้องควบคุม เธอก็บอกให้ใครสักคนเปิดวิดีโอของชั่วโมงที่แล้วขึ้นมาหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จแล้ว เสวี่ยเหมยรีบบอกให้คนตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดทันทีผลก็คือ อุปกรณ์ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใดคลื่นแห่งความหนาวเย็นพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้าของเธออย่างรวดเร็วเธอไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่เห็นเลย“เขาเข้ามาเงียบ ๆ แบบนั้นได้ยังไง หรือว่าเขาล่องหนได้?เสวี่ยเหมยหายใจเข้าลึก ๆ และสั่งให้ทุกคนตรวจสอบบริเวณวิลล่าทั้งหมดอย่างละเอียดทั้งภายในและภายนอกทว่ากลับไม่พบอะไรเลยเสวี่ยเหมยไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป คืนนั้นเธอรีบออกไปพบคนสนิทของเธอทันทีเธอเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริง ๆระบบเฝ้าระวังทั้งหมดตรวจไม่พบเลยว่า เย่ซิวเข้ามาและออกไปได้อย่างไรนั่นหมายความว่าเย่ซิเข้าออกได้ตามที่เขาต้องการแล้วจะเป็นอย่างไรถ้าหากเย่ซิวแอบย่องขึ้นมาบนเตียงของเธอกลางดึกในขณะที่เธอกำลังหลับ แล้วกระทำการบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเธอ...เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เสวี่ยเหมยก็ตัวสั่นและบอกให้คนขับรถเร่งความเร็วทันทีอย่างไรก็ตาม เธอก็มีธุรกิจและทรัพสินย์มากมายในเมืองหลวงจากนี้ไป เวลาเธอออกไปไหนเธอก็แค่ต้องทำตัวให้เงียบเข้าไว
ในร้านอาหารมีเพียงเธออยู่แค่คนเดียวเธอไม่ชอบให้ใครมองตอนเธอกินข้าวเธอจัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสมาธิจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเธอเสวี่ยเหมยกินขนมปังในมือหมดแล้ว ก็เอื้อมมือไปหยิบอีกก้อนในจานสายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่คอมพิวเตอร์ทว่าก็หยิบได้เพียงความว่างเปล่าคิ้วสวยขมวดเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้น และทันใดนั้นขนทั้งร่างของเธอก็ลุกชัน เกือบจะกระโดดขึ้นมาจากที่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ เย่ซิวกำลังเคี้ยวขนมปังและมองเธอด้วยรอยยิ้ม"อรุณสวัสดิ์"หัวใจของเสวี่ยเหมยเต้นตึกตัก และสีหน้าของเธอก็ซีดลงไปครู่หนึ่งอ้าปากอยากที่จะตะโกนบางคำออกไปแต่เธอก็ไม่กล้าเพราะออร่าของเย่ซิวได้ตรึงเธอเอาไว้แล้วถ้าเธอมีความผิดปกติแม้เพียงเสี้ยวกระเบียดนิ้ว จะต้องถูกจู่โจมราวกับสายฟ้าอย่างแน่นอนใบหน้าฉีกยิ้มซึ่งน่าเกลียดยิ่งว่าร้องไห้ออกไป "อรุณสวัสดิ์ค่ะ"เย่ซิ่วกินขนมปังจนเสร็จ รอยยิ้มไม่มีเปลี่ยนแปลง "โอนเงินเถอะครับ เรื่องเมื่อคืนนี้คุณยังไม่ลืมใช่ไหม?"เสวี่ยเหมยรู้สึกอึดอัดมากรู้สึกอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีตมีเพียงเธอที่วางแผนเล่นงานและเ
อารมณ์ในตอนนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเมื่อคืนนี้หลายเท่า“เป็นม้าป่าที่พยศมากจริง ๆ!”เย่ซิวแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา เขาลงมือรวดเร็วราวกับสายฟ้า ตีลงไปที่เดิมอีกถึงห้าหรือหกครั้งติดต่อกัน"คุณหนู!"ตอนนี้เองเหล่าบอดี้การ์ดข้างนอกที่ได้ยินเสียงทะเลาะก็รีบปรี่เข้ามาและเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ แต่ละคนก็ชะงักอยู่กับที่สติหลุดไปแล้วในหัวใจของพวกเขา เสวี่ยเหมยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยให้ชายใดมาสัมผัสเนื้อตัวแม้เพียงปลายก้อย แต่วินาทีนี้เธอกลับกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจับกดลงกับโต๊ะอย่างป่าเถื่อน"รีบปล่อยคุณหนูเดี๋ยวนี้!""แกกำลังรนหาที่ตาย!"......บอดี้การ์ดแต่ละคนต่างก็ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ และรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคำรามลั่น"ไสหัวไป!"เย่ซิวอ้าปากและตะโกนดัง ๆ โดยใช้ทักษะราชสีห์คำรามของวัดพุทธคลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งโจมตีออกไปทุกทิศทางบอดี้การ์ดเหล่านี้ฉับพลันเกิดอาการเวียนหัวและล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้ แต่ละคนต่างน้ำลายฟูมปากเย่ซิวยังคงโจมตีต่อไปเสียงที่กระจ่างชัดและไพเราะดังก้องไปทั่วห้องความอัปยศ!ความโกรธแค้น!ความจนปัญญา!แ
“เมื่อคืนนี้ หมอนั่นแข็งแกร่งมากจริง ๆ!”ไป๋อวี้เจี๋ยเพิ่งได้ยินเรื่องของเย่ซิวหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าถัดจากเธอ เลขานุการสาวสวยซึ่งกำลังยืนรายงานเธอพูดว่า "นั่นสิคะ กล้าที่จะงัดข้อกับจางรั่วหลิง แถมยังฆ่าลูกน้องมือดีที่สุดของเขาไปอีก ตอนนี้คิดว่าน่าจะกำลังถูกทั้งเมืองตามฆ่าอยู่แน่”ไป๋อวี้เจี๋ยยกมือขึ้นจับแก้มของเธอ ภายในหัวพลันก็ปรากฏภาพของเย่ซิวที่หล่อเหลา สีหน้าของเธอดูซีดลง“จบสิ้นแล้ว ถ้าเขาตายแล้วฉันจะทำยังไง?”“ผมไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง”จู่ ๆ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นในห้อง ทำเอาผู้หญิงทั้งสองคนตกใจสะดุ้งโหยงเย่ซิวปรากฏตัวออกมาราวกับผีดวงตาของหญิงสาวทั้งสองคนเบิกกว้างไป๋อวี้เจี๋ยทำหน้าอย่างกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ อย่างไรอย่างนั้น "คุณยังมีชีวิตอยู่?!"เย่ซิวยิ้ม "มันแปลกมากเหรอ?"ไป๋อวี้เจี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วพูดไปว่า “น่าทึ่งมาก คุณหลบหนีมาจากเงื้อมมือของตระกูลจางได้จริง ๆ ด้วย"เย่ซิวดึงหน้ากากบนใบหน้าของเขาออก ขยำมันแล้วโยนมันทิ้งไปในถังขยะ เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ ผมจะฝังเข็มให้คุณ"ไป๋อวี้เจี๋ยก็ยืนขึ้นและพูดก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน