ฉีฉูฉู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเรียกลูกน้องทั้งหมดให้มารวมตัวกันทันทีเมื่อทุกคนมาถึงครบแล้วเธอก็สั่งให้พวกเขายืนเรียงแถว ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจทีละคนอย่างละเอียดเธอสงสัยว่าคนที่ลงมืออาจจะเป็นลูกน้องของตัวเอง เพราะคนนอกคงไม่มีใครกล้าล้ำเข้ามาในพื้นที่นี้สายตาที่เฉียบขาดของเธอทำให้ลูกน้องหลายคนถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น พวกเขาต่างสงสัยว่านายหญิงกำลังโกรธเรื่องอะไรอยู่ฉีฉูฉู่จ้องมองพวกเขาซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ไม่พบพิรุธอะไรในแววตาของใคร เธอจึงยุติความสงสัยในตัวลูกน้องไปชั่วคราว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า“ให้ตึกหลังนี้เป็นศูนย์กลาง ฆ่าทุกคนในรัศมีหนึ่งลี้โดยไม่ต้องไว้ชีวิตใครทั้งนั้น!”เธอต้องการระบายความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจชีวิตของผู้บริสุทธิ์สำหรับเธอก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก จะฆ่ามากแค่ไหนก็ไม่กระทบจิตใจของเธอเลยแม้แต่น้อย แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมนายหญิงถึงออกคำสั่งเช่นนี้ แต่ลูกน้องของเธอก็ปฏิบัติตามทันทีโดยไม่ลังเล“ฆ่าให้หมดโดยไม่สนว่าผิดหรือถูกงั้นเหรอ? ช่างเป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตาจริง ๆ”เย่ซิวยังคงอยู่ไม่ไกล เขาได้ยินคำพูดของฉีฉูฉู่เมื่อครู่ชัดเจนทุกคำเขา
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันในหูของฉีฉูฉู่ราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ทำให้เธอสะดุ้งโหยงจนขนทั่วร่างลุกชัน ร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติแต่ในจังหวะนั้นเอง มือทรงพลังข้างหนึ่งก็ยื่นมากดลำคอของเธอไว้พร้อมกันนั้น หัวเข่าของเย่ซิวก็กดตรึงมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น ทำให้ร่างท่อนบนของเธอขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว“แก! นี่! เอง!” ฉีฉูฉู่จ้องมองชายแปลกหน้าตรงหน้าอย่างแน่วแน่ สัญชาตญาณของเธอตะโกนบอกว่าเขานี่แหละคือคนที่ทำลายความบริสุทธิ์ของเธอแต่ใบหน้าที่เย่ซิวเผยออกมาในตอนนี้ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเดิมทีเย่ซิวไม่ได้คิดจะอยู่ต่อ หลังจากที่ไม่พบสมาชิกคนอื่นในตระกูลฉีแต่เมื่อคิดดูอีกทีเขาก็เปลี่ยนใจ การปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปง่าย ๆ คงจะเป็นการปรานีเกินไป เธอควรได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดเสียบ้าง“แรงดีใช้ได้เลยนะ” เย่ซิวยิ้มบาง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ถูกปรับเปลี่ยนจนจำไม่ได้ “แต่ฉันชอบเธอในตอนที่หมดสติมากกว่า ราวกับลูกกระต่ายน้อยที่ฉันจัดการได้ตามใจชอบ”คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่แทงลึกลงในหัวใจของฉีฉูฉู่ ความโกรธและความอับอายเอ่อล้นจนแทบจะระเบิดออกมา“แกเป็นใครกันแน่?!” ฉีฉูฉู่
แต่ต่อให้เย่ซิวจะรู้เรื่องนี้ก็คงไม่สำคัญอะไรเพราะต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับฉีฉูฉู่สักห้าหรือหกสิบคนพร้อมกันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาเมื่อเขากลับไปแล้ว หลังจากนั้นอีกห้าวันเย่ซิวก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยกลางวันเขาแอบบำเพ็ญตนเงียบ ๆ ส่วนกลางคืนเขาก็ลากเฉินหลานมาบำเพ็ญด้วยกัน ทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เขาก็ได้รับข้อความจากเวินหว่านเอ๋อร์คืนนี้เวลาสองทุ่ม สมาชิกระดับแกนกลางของหกตระกูลใหญ่จะพบปะกับทูตจากประเทศปิงจือเพื่อจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ ความร่วมมือระหว่างพวกเขาได้บรรลุผลแล้วงานเลี้ยงระดับนี้หัวหน้าตระกูลทั้งหกจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน ถือเป็นโอกาสที่ดีในการจัดการพวกเขาทั้งหมดให้สิ้นซากเวินหว่านเอ๋อร์แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเธอเธอสามารถสร้างเครือข่ายข่าวกรองของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น และยังสามารถระบุตำแหน่งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำหลังจากที่ได้รับข้อความแล้ว เย่ซิวจึงรีบเรียกหวังซวงและเฉินหลานมารวมตัวทันทีเพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายแม้ทั้งสองสาวจะไม่รู้ว่าเย่ซิวต้องการจะทำอะไร แต่ก็ปฏิบัติต
วันนี้ฉีฉูฉู่งดงามจนสะกดทุกสายตาเธอสวมชุดราตรีสีทองที่ช่วยขับรูปร่างสูงเพรียวและเซ็กซี่ของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบตัวชุดรัดรูปเผยให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบไร้ไขมันส่วนเกินได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างพิถีพิถัน บริเวณลำคอประดับด้วยสร้อยอัญมณีสีน้ำเงินมูลค่านับร้อยล้าน เพิ่มความสง่างามและหรูหราให้กับตัวเธอมากขึ้นสายตาของทุกคนในงานต่างจับจ้องที่ใบหน้าของเธอเป็นอันดับแรก ก่อนจะเลื่อนลงไปยังส่วนล่างของร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะโพกของเธอเป็นทรงลูกแพร์ แต่มีส่วนโค้งเว้าที่งดงาม ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือเทอะทะเลยแม้แต่น้อยเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉีฉูฉู่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระหว่างการหลับใหล ร่างกายและจิตใจของเธอเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลจากภายในสู่ภายนอกการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นดั่งการก้าวกระโดดของระดับชีวิตมันทำให้ฉีฉูฉู่เปลี่ยนจากลูกแก้วที่เปล่งประกาย กลายเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าที่เจิดจ้า ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใดก็เปี่ยมไปด้วยแสงอันน่าหลงใหลผู้ชายทุกคนในงานเมื่อได้เห็นเธอต่างก็เกิดปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณแรกของผู้ชายที่ได้เห็นหญิงงามแม้แต่ฉีตังกั๋วยังไม่อาจซ่อนความ
สำหรับจอมยุทธ์ระดับเก้าเช่นพวกเธอ ร่างกายจะยังคงความเยาว์วัยราวกับหยุดเวลาดูอ่อนเยาว์กว่าเด็กสาววัยสิบแปดปีเสียอีก ทั้งยังสดใส เปล่งปลั่ง และ…แม้ในแง่รูปลักษณ์ภายนอก ฝาแฝดคู่นี้อาจด้อยกว่าฉีฉูฉู่เล็กน้อย แต่ในด้านเสน่ห์และความลุ่มลึก ทั้งคู่กลับมีมากกว่าทันทีที่ฝาแฝดก้าวเข้ามาในงาน บรรดาชายหนุ่มต่างเปรียบเทียบเธอทั้งสองกับฉีฉูฉู่ในใจหากเป็นการเปรียบเทียบตัวต่อตัว ฉีฉูฉู่ย่อมดูโดดเด่นกว่าแต่ถ้าหากเป็นสองต่อหนึ่ง ฝาแฝดคู่นี้ย่อมได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดแต่ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ในสถานการณ์สองต่อหนึ่ง คู่แฝดย่อมชนะอย่างไม่ต้องสงสัยสายตาของฉีฉูฉู่และฝาแฝดทั้งสองประสานกันในทันทีราวกับมีกระแสไฟฟ้าบางอย่างปะทะกันกลางอากาศแม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่สัญชาตญาณกลับทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกไม่ชอบหน้ากันโดยอัตโนมัติฉีฉูฉู่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยันหากเธอได้พบฝาแฝดคู่นี้เมื่อห้าวันก่อน เธอคงจะเคารพและเกรงกลัวพวกเธอไม่น้อยแต่ในตอนนี้เธอได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับที่เหนือกว่าพวกเธอแล้ว ยังไงเธอก็มีสิทธิ์ที่จะมองพวกเ
เย่ซิวและพรรคพวกเดินทางมาถึงจุดหมายในเวลาประมาณสองทุ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่จัดงานประมาณสามกิโลเมตรเวินหว่านเอ๋อร์และทีมของเธอเดินทางมาถึงก่อนแล้วจำนวนคนในทีมมีทั้งหมดยี่สิบห้าคนรวมเธอ พวกเขาไม่ได้รับหน้าที่ในการต่อสู้ แต่เป็นการปิดล้อมพื้นที่เพื่อไม่ให้ใครหลบหนีออกไปได้เย่ซิวออกคำสั่งให้ทุกคนรวมถึงหวังซวงและเฉินหลานแยกย้ายกันไปล้อมรอบพื้นที่จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังประตูใหญ่เพียงลำพังค่ำคืนนี้จะเป็นค่ำคืนที่หกตระกูลใหญ่ต้องสูญสิ้นจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล……ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่เย้ายวนของฉีฉูฉู่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเปล่งคำพูดที่ทำให้ทุกคนในห้องถึงกับตกตะลึง “ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายขนาดนี้กับพวกเธอสองคนหรอกค่ะ หนูจะจัดการเย่ซิวเอง ส่วนพวกเธอก็คืนเงินหกแสนล้านบาทมาซะ!”เปรี้ยง!เหมือนเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นในห้องโถงใหญ่ ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดของเธอจนพูดไม่ออกหัวหน้าตระกูลทั้งหกคนใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธและพากันตำหนิฉีฉูฉู่อย่างรุนแรง“เธอเสียสติไปแล้วหรือไงถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา?!”“เธอกินยาผิดสำแดงไปหรือไง?”“รีบขอโทษสองยอดฝีมือเดี๋ยว
ฝาแฝดหนานกงมองฉีฉูฉู่ด้วยท่าทีเคร่งขรึม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความดูแคลนในสายตาอีกต่อไปพวกเธอปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา พลังเหล่านั้นผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบและสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเสียอีกหัวหน้าตระกูลอีกห้าคนที่ยืนอยู่ ต่างพากันจับจ้องไปที่ฉีตังกั๋วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามฉีตังกั๋วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่รู้ แต่สองมือกลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัวในใจเขาคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างที่ทำให้หัวใจพลันเต้นแรงด้วยความร้อนรุ่มแต่ไหนแต่ไรมาหลานสาวคนนี้มักทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ไม่เคยทำอะไรโดยปราศจากเหตุผลแต่คืนนี้กลับแตกต่างออกไป จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกผิดปกติ นั่นทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องปกติตอนแรกเขาโกรธจัดกับพฤติกรรมของหลานสาว แต่เมื่อคิดให้รอบคอบ เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจแสดงถึงความมั่นใจอันแน่วแน่ของเธอ“หรือว่าเธอทะลวงถึงจอมยุทธ์ระดับเก้าไปแล้ว?!”เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบด้วยความตื่นเต้น เขาจับจ้องไปยังสนามต่อสู้โดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียวเพียงไม่นาน การคาดเดาของเขาก็ได้รับการพิสู
ในห้องควบคุม เจ้าหน้าที่สิบกว่าคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันด้วยความตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาถึงล้มลงกันหมด?”“รีบกดสัญญาณเตือน…เอ๊ะ…”ยังไม่ทันพูดจบ กระบี่เล่มหนึ่งก็พุ่งทะลุผนังหนาเข้ามาหมุนวนในห้องควบคุมรอบหนึ่ง ก่อนจะบินออกไปร่างของทุกคนในห้องล้มลงอย่างอ่อนแรงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองถูกเย่ซิวจัดการจนหมดสิ้น จากนั้นเขาจึงเก็บกระบี่หงส์โบยบินก่อนจะยกเท้าถีบประตูใหญ่จนเปิดออกแล้วเดินเข้าไปภายในงาน ฉีฉูฉู่ที่กำลังเป็นจุดสนใจของทุกคน กำลังประกาศเจตนารมณ์ของเธอโดยไม่ปิดบัง “ปู่ก็แก่แล้วนะ เรื่องของตระกูลให้หนูเป็นคนจัดการเถอะ!”หัวใจของฉีตังกั๋วกระตุกวูบ คำว่า “ยึดอำนาจ”ลอยขึ้นมาในหัวทันที!แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสะท้าน แต่เขาก็เป็นคนผ่านโลกมามากพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกมา ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “หลานปู่มีความสามารถมากขนาดนี้ เรื่องของตระกูลในอนาคตย่อมให้หนูเป็นคนจัดการอยู่แล้ว แต่…”“ไม่มีแต่!” ฉีฉูฉู่เอ่ยขัดอย่างแข็งกร้าว “หนูจะเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ตั้งแต่ตอนนี้เลย!”ในใจของฉีตังกั๋วโกรธจัด นี่มันเป็นการบีบบังคับต่อหน้าสาธารณชนชัด ๆแต่ไม่นาน ความโกร
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน