เย่ซิวดีดนิ้ว ก็ดีดมือของฉีฉูฉู่ออกไปจากนั้นปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังออกมา ทำให้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อน“ไอ้ปีศาจ ฆ่าฉันเถอะ ฉันไม่มีวันยอมศิโรราบต่อนายหรอก!”“นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ”พูดพลาง เย่ซิวก็วางมือลงบนหน้าท้องของเธอ ร่างบางของฉีฉูฉู่สั่นสะท้าน รู้สึกว่าพลังงานในร่างกายของตัวเองกำลังขับเคลื่อนอย่างไม่อาจควบคุมได้“นายคิดจะทำอะไรกันแน่?!” ฉีฉูฉู่รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ จึงอดไม่ได้กรีดร้องออกมาเย่ซิวไม่สนใจเธอเกี่ยวกับที่ว่าจะควบคุมฉีฉูฉู่อย่างไร เขาวางแผนไว้นานแล้ว ในบรรดาวิชายุทธที่เขาครอบครองอยู่ มีวิชาหนึ่งที่พิเศษอย่างมากเรียกว่า "วิชามาตาบุตร" ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับบนและระดับล่างวิชายุทธนี้ใช้เพื่อควบคุมคนโดยเฉพาะหลังจากที่บุคคลเป้าหมายฝึก 'วิชาบุตร' แล้ว ก็จะถูกคนที่ฝึก 'วิชามาตา' ควบคุมโดยสมบูรณ์แถมยังไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ให้ฉีฉูฉู่ยอมฝึกวิชานี้ด้วยตัวอย่างเต็มใจ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเย่ซิวจึงช่วยเธอฝึกมันให้สำเร็จภายใต้การชักนำของเย่ซิว ฉีฉูฉู่ก็ขับเคลื่อนวิชายุทธนี้ในร่างกายเป็นจำนวนเก้ารอบ ซึ่งก็เทียบเท
“เรียกนายท่าน”"ฉัน...นายท่าน"ใบหน้าทั้งใบของฉีฉูฉู่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะความอัปยศ ดูแล้วเหมือนจะคั้นเลือดออกมาให้ได้นี่นับว่าเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดสำหรับเธอตัวเองคือผู้หญิงที่ติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ แล้วทำไมเธอถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้!เธอไม่ได้คิดแม้แต่นิดว่าที่นำมาสู่ผลลัพธ์ในวันนี้ ล้วนเกิดจากตัวเธอรนหาที่เองทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วคุณทำเรื่องชั่ว ๆ เช่นนั้นก็จะได้รับผลกรรมไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น ข้อแตกต่างเดียวก็คือจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเย่ซิวเก่งมากในเรื่องการสั่งสอนผู้หญิงเขามองไปที่ฉีฉูฉู่ที่หน้าแดงแล้วพูดว่า "คุกเข่าลงแล้วคลานมา"วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับผู้หญิงประเภทนี้ที่คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินใคร ก็คือหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธอให้แหลกสลายฉีฉูฉู่คุกเข่าลงเสียงดังตึก จากนั้นคลานไปหาเย่ซิวน้ำตาหยดแหมะลงมาอย่างต่อเนื่อง ดูน่าสงสารอย่างมากแต่นี่เทียบไม่ได้กับสิ่งเลวร้ายมากมายที่พวกเธอเคยทำในอดีตเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดแล้วข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ คราวนี้เย่ซิวไ
เวินหว่านเอ๋อร์อ้าริมฝีปากสีชมพูชุ่มฉ่ำ "ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะตั้งชื่อใหม่ ควรจะเรียกว่าอะไรดี?"เย่ซิวคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เขาทอดสายตามองออกไปไกล แล้วพูดด้วยแววตาที่ลึกล้ำ "เรียกมันว่าสำนักโอสถ"“สำนักโอสถ…” เฉินหลานพึมพำคำสองคำนี้ จากนั้นแสงจ้าก็เบ่งบานในดวงตาที่สวยงามของเธอ “ท่านอาจารย์ ชื่อนี้มีความหมายพิเศษอะไรไหมคะ?”แม้แต่ฉีฉูฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง อยากได้ยินว่าทำไมเย่ซิวถึงตั้งชื่อนี้นี่ย่อมเป็นเพราะเย่ซิวอยากสานต่อสำนักโอสถ แต่เรื่องบางเรื่องเขาจะไม่พูดให้พวกเธอฟัง จึงเลือกเพียงบางส่วนที่สามารถพูดได้“นี่เป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ ที่ครอบคลุมพื้นที่ประมาณพันตารางกิโลเมตรถ้าต้องการมีชีวิตรอดต่อไป ต้องไม่ปล่อยให้คนอื่นคิดว่าคุณมีความทะเยอทะยาน เช่นนั้นจึงต้องพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะปลูกอย่างแข็งขันเพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ใช่ภัยคุกคาม ดังนั้นจึงเรียกว่าสำนักโอสถ”แน่นอนว่ายังมีบางท่อนที่เย่ซิวไม่ได้พูดออกมานั่นก็คือพัฒนาการเกษตรในเบื้องหน้า แต่เบื้องหลังกลับยังต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นสูงต่าง ๆ ซึ่งเป็นของตัวเองอาทิเช่นอาวุธและเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นต้น
ประตูอันหนักอึ้งถูกเย่ซิวตัดออกด้วยดาบ สัญญาณเตือนภัยที่อยู่ข้างในดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนี่คือห้องใต้ดินขนาดใหญ่ อาจมีเนื้อที่เกินหนึ่งหมื่นตารางเมตรภายในมีตู้กระจกขนาดใหญ่อยู่มากมายหลายตู้ซึ่งแต่ละตู้ข้างในบรรจุภาพวาดโบราณ ภาพวาดที่มีชื่อเสียง ทองคำ และอัญมณีต่าง ๆ อยู่นับไม่ถ้วนนี่คือสิ่งที่หกตระกูลใหญ่สร้างขึ้นร่วมกัน โดยแบ่งออกเป็นหกพื้นที่ ในแต่ละพื้นที่หมายถึงตระกูลหนึ่ง มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเปิดได้กระจกที่อยู่ตรงหน้าทำขึ้นจากกระจกกันกระสุนที่ดีที่สุดแม้ว่าจะขับรถบรรทุกขนาดใหญ่แล้วเหยียบคันเร่งจนมิด ขับชนมันนานกว่าสิบนาทีก็ไม่สามารถทำให้มันบุบสลายได้สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เย่ซิวต้องการในตอนนี้เขาอ้าปากแล้วคายกระบี่หงส์โบยบินออกมา ถือมันไว้ในมือแล้วตัดเปิดตู้ทีละตู้ ๆกระจกกันกระสุนอะไรนั่น เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่เล่มนี้กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ช่างง่ายเหมือนกับการตัดเต้าหู้ทองทำ เงิน เครื่องประดับ วัตถุโบราณและภาพวาดภาพเขียนโบราณทุกชนิดถูกยัดเข้าไปในแหวนผนึกของโดยเย่ซิวเขาประเมินว่าหากของเหล่านี้ออกสู่ตลาดและถูกประมูลออกไป เขาจะสามารถขายมันเป็นเงินสดได้
เช่นนี้ก็เหลืออีกเพียงสามชนิดเท่านั้น ตอนนี้เองที่จู่ ๆ เสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากตัวเขา พุ่งตรงไปที่ขวดแก้วนั้นร่างของมันเจาะขวดแก้วเข้าไปโดยตรง มันอ้าปากเล็ก ๆ สมุนไพรที่อยู่ข้างในก็ถูกกลืนลงท้องในอึกเดียวแกร๊ก! แกร๊ก!เย่ซิวไม่ทันได้ห้ามมันด้วยซ้ำ สมุนไพรที่มีราคาแพงหูฉี่หลายร้อยต้นในตู้ก็ถูกเสี่ยวไป๋กินไปสิบกว่าต้นแล้วเย่ซิวรีบยกเสี่ยวไป๋ขึ้นมา สั่งสอนมันด้วยสีหน้าเจ็บปวดและเสียดายว่า “เจ้าตัวเล็กนี่ จะสิ้นเปลืองของดีเกินไปแล้ว ถ้าฉันใช้สมุนไพรเหล่านี้หลอมโอสถ แกรู้ไหมว่าจะหลอมโอสถออกมาได้เท่าไหร่?"เสี่ยวไป๋ตีสีหน้าไร้เดียงสา กะพริบตาปริบ ๆ ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมากเย่ซิวมองแล้วก็ใจอ่อนยวบ หักใจดุไม่ไหวอีกต่อไปแต่ไม่นานเรื่องที่ทำให้เย่ซิวต้องตกใจก็เกิดขึ้นมีเส้นไหมสีขาวจำนวนมากผุดออกมาจากร่างของเสี่ยวไป๋ กลายเป็นรังไหม แล้วห่อหุ้มมันไว้ข้างในนั้นเย่ซิวแผ่จิตสัมผัส ข้างในไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้วราวกับว่ามันเป็นของตายชิ้นหนึ่งแต่เมื่อสัมผัสมันผ่านสายโลหิต เย่ซิวกลับรู้ว่าเสี่ยวไป๋ยังสบายดี“แมลงสร้างรังไหมก็เพื่อที่จะหลุดออกจากรังไหมในที่สุด ดังนั้นเสี่ยวไป
นั่นย่อมเป็นการเลือกสำนักงานใหญ่ของสำนักโอสถสถานที่นี้ไม่สามารถเลือกอย่างลวก ๆ จำเป็นต้องมองหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยเป็นเลิศแต่มันยากมากที่จะหาที่ดี ๆ ในดินแดนนี้ อย่างมากที่สุดก็หาคนตัวสูงในหมู่คนแคระเย่ซิวเหาะเหินด้วยกระบี่ แล้วร่ายอาคมเพื่อล่องหน ตรวจสอบอาณาเขตของสำนักโอสถอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบในที่สุดก็เลือกสถานที่ที่เหมาะสมได้แล้วสถานที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน หลังจากผ่านภูเขา ห่างออกไปประมาณยี่สิบไมล์ก็คือพรมแดนที่ติดกับประเทศปิงจือที่นี่คือสถานที่ที่เย่ซิวคิดว่าดีที่สุดหลังจากสังเกตดู ดังนั้นเขาจึงลงมา สลายอาคมที่ร่ายไว้เย่ซิวอ้าปาก คายพลังวิญญาณอันหนาแน่นออกมาแล้วถ่ายโอนเข้าไปในกระบี่หงส์โบยบินดาบขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มขุดที่นี่ภายใต้การควบคุมของเขาเขากำลังวางแผนที่จะวางค่ายกลฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ที่นี่แถมที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากประเทศปิงจือตราบเท่าที่ค่ายกลนี้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไป โชคลาภจากประเทศปิงจือก็จะถูกรวบรวมมาทีละน้อยในความเป็นจริง ตอนนี้เย่ซิวก็มีความสามารถที่จะโค่นประเทศปิงจือได้แล้ว แต่ไม่จำเป็นมีเนื้อที่มากเกินไป รังแต่จะทำให
ข้างในมีไอเย็นแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง มีอุณหภูมิอยู่ที่ลบสามสิบถึงลบสี่สิบองศา แม้แต่เย่ซิวก็ยังได้รับผลกระทบและต้องอัดพลังวิญญาณกางเกราะวิญญาณหนา ๆเขาเดินไปข้างหน้าประมาณหกหรือเจ็ดร้อยเมตร ถึงได้มองเห็นแหล่งกำเนิดของไอเย็นมันเป็นเตียงน้ำแข็งเตียงหนึ่งบนเตียงยังมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ด้วยผู้หญิงคนนี้สวมชุดโบราณสีขาว ผิวขาวราวกับหิมะ และมีรูปโฉมที่งามล่มบ้านล่มเมืองบอกว่าเป็นผู้หญิงอาจจะไม่ตรงสักเท่าไหร่นักเนื่องจากไม่มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์จากตัวเธอ เธอเหมือนเซียนที่ลงมาจากสรวงสวรรค์มากกว่า ชายใดก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอก็ต้องรู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่เย่ซิวก็ไม่มีข้อยกเว้น ร่างกายเขาหมุนกลับไปโดยสัญชาตญาณ ราวกับว่าการมองผู้หญิงคนนี้จะเป็นการดูหมิ่นเธอเย่ซิวกัดปลายลิ้นเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ในใจรู้สึกตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ผู้หญิงคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นอนเงียบ ๆ ก็ส่งผลต่อตัวเองมากขนาดนี้หากเปลี่ยนป็นคนอื่น ผลกระทบนั้นจะยิ่งน่ากลัวกว่านี้อีกเขาถือกระบี่หงส์โบยบินไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้รอจนกระทั่งอยู่ห่
“ที่นี่ก็คือประเทศจ้านอิงเหรอ?”หงอียืนอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ล้อมรอบด้วยอาคารสูงและรถหรูหลายคันที่วิ่งไปมาบนถนนไม่รู้ว่าเธอแก้ปัญหาเรื่องบัตรประจำตัวประชาชนและวีซ่าของเธออย่างไรเธอช่างสมดั่งชื่อ สวมเสื้อคลุมสีแดงขนาดใหญ่ ที่เท้าสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งจับคู่กับกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตสีแดง ยิ่งทำให้ผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์นั้นความอลังการถึงขีดสุดเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เธอก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สัญจรไปมาเธอสวยมาก แต่มีบรรยากาศรอบตัวที่เย็นชาและห่างเหินเกินไป ท่วงท่าที่ประดุจดั่งราชินีซึ่งมีมาแต่กำเนิด กระแทกหัวใจของผู้ชายทุกคนที่ได้พบเห็นเธออย่างลึกซึ้งผู้ชายบางคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง บังเกิดความคิดที่จะปราบผู้หญิงคนนี้บางคนที่มีรายได้น้อย กลับเกิดความคิดที่จะคุกเข่าเลียแข้งเลียขาเธอการปรากฏตัวของหงอีทำให้ถนนทั้งสายติดขัดในช่วงเวลาสั้น ๆ มีชายเจ็ดหรือแปดคนที่ขับรถหรูและสวมนาฬิการาคาเป็นล้านล้านเข้ามา พยายามเริ่มบทสนทนามุมปากของหงอีโค้งขึ้น "พวกคุณอยากขึ้นเตียงกับฉันเหรอ?"เธอพูดภาษาของประเทศจ้านอิง สำเนียงชัดเจนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากการฟังผู
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน