ที่มาและภูมิหลังของเจ้าสำนักเย่ซิว พวกเราก็สืบมาอย่างชัดเจนแล้วเบื้องหลังของคุณคือเจ้าสำนักแห่งสำนักรัตติกาล ในมือยังกุมอำนาจสำนักระดับเจ็ดอย่างสำนักโลหิตสังหารเอาไว้แต่ว่านะ... เบื้องหลังของพวกเรายิ่งใหญ่กว่า เธอเป็นถึงลูกสาวของรองเจ้าสำนักสหัสราคะความหมายข่มขู่ในคำพูดนี้ชัดเจนมากหลัวเวยเวยทนไม่ไหว “พวกเธอรังแกกันเกินไปแล้วฯธใช่ ระดับบำเพ็ญของพวกเราด้อยกว่าพวกเธอจริง แต่ถ้าบีบคั้นกันจนถึงที่สุดแล้วต้องแตกหักกันไปข้างหนึ่ง ทุกคนก็ไม่มีใครได้ประโยชน์”เหมยกุยส่ายหน้า มองหลัวเวยเวยด้วยแววตาเย้ยหยัน “พวกเธอประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว ในมือของเจ้าสำนักพวกเราครอบครองของวิเศษชิ้นหนึ่ง เป็นสมบัติวิญญาณระดับสุดยอด ชื่อว่ากระจกสังหารหมื่นลี้เมื่อเปิดใช้งาน มันสามารถสังหารศัตรูได้จากระยะไกลเป็นหมื่นลี้คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับรวมกายาไม่มีทางหลบรอดไปได้ ตอนนี้พวกเธอน่าจะถูกเจ้าสำนักของพวกเราล็อกเป้าหมายไว้แล้ว”สีหน้าของเย่ซิวและหลัวเวยเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเย่ซิวลองตั้งสมาธิสัมผัสดูอย่างละเอียด ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อครู่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันต
หัวใจของหลัวเวยเวยที่เพิ่งผ่อนคลายลงก็ต้องกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ภายนอกยังคงรักษาท่าทีสงบ “มีเรื่องอะไรเหรอคะ ว่ามาได้เลย”“เจ้าสำนักเย่ซิวของพวกเธออยู่ไหน ให้เขาออกมาพบหน้ากันหน่อยสิ”ดวงตาของหลัวเวยเวยหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้าสำนักกำลังติดภารกิจสำคัญ หากมีเรื่องเร่งด่วนก็บอกฉันมาได้ค่ะ ฉันจะเป็นคนจัดการให้”เหมยกุยพูดอย่างไม่ไว้หน้า “เรียกเขาออกมา เรื่องที่จะพูดต่อจากนี้ เธอตัดสินใจเองไม่ได้หรอก”สีหน้าของหลัวเวยเวยเปลี่ยนไปทันทีเหมยกุยเอ่ยต่อ “ขอเตือนเอาไว้เลยนะอย่าคิดจะเล่นลูกไม้ ทำตามที่ฉันบอกอย่างเชื่อฟังจะดีกว่า”ความโกรธผุดขึ้นในใจของหลัวเวยเวยทันที สองหญิงตรงหน้านี่ช่างเย่อหยิ่งเสียเหลือเกินแต่ภายใต้ความโกรธกลับแฝงด้วยความรู้สึกหมดหนทางอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ถึงแม้ตอนนี้เธอจะบรรลุถึงระดับปฐมญาณแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความกล้าและความมุ่งมั่นแม้แต่จะเผชิญหน้ากับพวกเธอตรง ๆสุดท้ายเธอจึงได้แต่ข่มความโกรธเอาไว้ในใจ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “รอสักครู่ ฉันจะไปเชิญเจ้าสำนักให้มาพบค่ะ”เหล่านักโทษประหารทั้งสิบที่อยู่ด้านข้าง แต่ละคนตาเป็นประกาย ใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดแทบจะทนไม่ไหวอ
เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นเมื่อถูกเหยียบคันเร่งสุดแรง รถสปอร์ตลอยฟ้าสีชมพูพุ่งทะยานฉีกอากาศออกไปทันที……สองวันต่อมา หลัวเวยเวยกลับมาจากด้านนอกพร้อมกับนักโทษประหารสิบคนหลังจากจับพวกเขาแต่งตัวเสียใหม่ก็ดูหล่อเหลาเอาการ แถมพลังก็ไม่น้อยเลยเธอสอบถามดูคร่าว ๆ พบว่าคนจากสำนักศตะบุปผายังมาไม่ถึง จึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอกเล็กน้อยตั้งใจจะสั่งให้คนไปจัดที่พักให้นักโทษเหล่านี้ก่อนทันใดนั้น เธอก็หันไปมองยังประตูใหญ่ของสำนักสายสีชมพูเส้นหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านประตูเข้ามา ลอยอยู่เหนือหัวทุกคนเมื่อแสงจางลงก็เผยให้เห็นเป็นรถสปอร์ตสีชมพูคันหนึ่งการกระทำนี้เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างไม่เกรงใจใคร แต่หลัวเวยเวยกลับรีบยกมือห้ามไม่ให้เหล่าศิษย์ที่เฝ้าเวรยามเข้าไปเอาเรื่องประตูรถทั้งสองฝั่งเปิดออก ก่อนที่หญิงสาวสองคนจะเดินลงมาทีละคนเมื่อเห็นสองคนนี้ ศิษย์หลายคนก็สูดลมหายใจซี้ดพร้อมกันโดยเฉพาะเมื่อสายตาเหลือบไปยังหญิงสาวหน้าตายั่วยวน ที่บนร่างมีเพียงเศษผ้าปิดบังร่างกายเพียงน้อยนิดเท่านั้น สำหรับบุรุษแล้ว แค่เห็นก็แทบคลั่งหญิงสาวหน้าตาเย้ายวนเก็บรถไป จากนั้นทั้งสองก็เหินร่
“มีเรื่องอะไร ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน”“ไม่รีบไม่ได้หรอก” หลัวเวยเวยตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งได้รับข่าวจากสำนักศตะบุปผา พวกเธอจะส่งคนมาที่สำนักอวิ้นหลิงในอีกไม่กี่วัน”“สำนักศตะบุปผา?” เย่ซิวขมวดคิ้วแน่น “ผมไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อนเลย มีอะไรพิเศษเหรอ”หลัวเวยเวยยิ้มขื่น ๆ “แน่นอนว่าเก่งน่ะสิ นั่นคือสาขาย่อยของสำนักระดับสามในแถบนี้เลยนะแค่พลังของสาขาย่อยก็ใกล้เคียงกับสำนักระดับหกเข้าไปทุกที แข็งแกร่งกว่าเราหลายเท่าตัว”“ดูเหมือนคุณจะหวาดเกรงพวกเขามาก บอกผมมาให้ละเอียดหน่อยสิ”“สำนักนี้มีแต่ผู้หญิงหน้าตาสวยงาม หุ่นดี บอบบางอ่อนช้อย และวิชาที่ถนัดของพวกเธอก็คือดูดหยางเสริมหยิน ใครที่ถูกพวกเธอหมายตาไว้ ไม่มีใครรอดสักคน สุดท้ายก็จบลงอย่างน่าสลดทั้งนั้น”เย่ซิวพอได้ยินก็เข้าใจทันที นี่มันสำนักมารชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?หลัวเวยเวยยังพูดต่อ “พวกเธอมีสำนักระดับสามหนุนหลัง มีอิทธิพลใหญ่โต ไม่มีใครกล้าขัดขวางโชคดีที่พวกเธอไม่ได้โหดเหี้ยมถึงฆ่าไม่เลือก ในแต่ละปีจะเลือกเพียงสิบคนจากแต่ละสำนัก ทุกสำนักจึงยังพอทนรับไหว”เมื่อเห็นสีหน้าเย่ซิวเปลี่
ไม่นานหลังจากนั้น รูขุมขนของฝูงวานรไม้ครามก็พ่นพลังปราณออกมาจำนวนมากภายใต้แรงผลักดันจากสัญชาตญาณ วานรแต่ละตัวรีบนั่งขัดสมาธิ และเริ่มดูดซับพลังงานอันมหาศาลที่แฝงอยู่ในร่างเย่ซิวนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ อย่างใส่ใจ เผื่อหากมีปัญหาใดเกิดขึ้นจะได้ลงมือช่วยได้ทันทีแต่ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงเกินเหตุไปหน่อยเพราะรากฐานของวานรเหล่านี้เย่ซิวฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ละตัวจึงมีรากฐานที่มั่นคงอย่างหาตัวจับยากการทะลวงเข้าสู่ระดับจินตานจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยภายใต้สายตาของเย่ซิว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ก็มีวานรทะลวงระดับประสบความสำเร็จเป็นตัวแรกขนที่ไหม้เกรียมก่อนหน้านี้กลับงอกขึ้นใหม่ ดูหนาแน่นและแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ความสามารถในการป้องกันก็เพิ่มสูงขึ้นมากความสูงไม่เปลี่ยนไปนัก แต่กล้ามเนื้อกลับกระชับแน่น และพละกำลังทางกายภาพพุ่งขึ้นมหาศาลเมื่อตัวแรกทะลวงผ่านได้ ตัวที่สอง ตัวที่สาม ก็ทยอยตามมาเรื่อย ๆ…เพียงแค่สองชั่วโมง วานรทั้งร้อยตัวก็ทะลวงเข้าสู่ระดับจินตานครบทั้งหมด ทั่วห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายพลังปีศาจอันหนาแน่นเย่ซิวพอใจอย่างมากที่เขาทุ่มเทลงไปมากมายไม่เสียเปล่า ในที่สุดก็ทำให้เจ้
เมื่อเย่ซิวรับรู้ถึงพลังจิตที่ถูกส่งมา ดวงตาเขาก็หดแคบลงโดยไม่รู้ตัว เขาหันขวับไปมองหญิงสาวคนนั้นทันทีในพลังจิตนั้นแฝงไปด้วยข้อความที่บอกว่าอีกไม่นานเธอก็จะฟื้นคืนชีพ และจะออกจากที่นี่ เธอเลยขอให้เย่ซิวช่วยเตรียมของบางอย่างเอาไว้ให้พร้อมและยังบอกเย่ซิวด้วยว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะมอบโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ให้แก่เขาสีหน้าของเย่ซิวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปเขารู้สึกกังวลขึ้นมาในใจ หากผู้หญิงคนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับคำ ฆ่าเขาทิ้งเสียจะทำยังไง?ไม่ใช่ว่าเขาคิดร้ายกับผู้อื่น แต่เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกของผู้ฝึกตนอยู่ทุกวันดูเหมือนว่าเธอจะรับรู้ถึงความคิดในใจของเย่ซิว จึงส่งพลังจิตมาอีกระลอก แสดงความหมายว่าจะไม่ทำอะไรเขาแน่นอนและในพลังจิตนั้นยังแฝงไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว เกินกว่าที่เย่ซิวจะจินตนาการได้เขาตกตะลึงอย่างหนักเมื่อพบว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมร่างกายได้มีพลังลึกลับบางอย่างควบคุมร่างกายของเขาให้ขยับเคลื่อนไหวตามต้องการเพียงไม่กี่วินาที พลังนั้นก็จางหายไปเย่ซิวก็สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้งหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งใช้วิธีนี้บอกกับ