คนที่เคาะประตูอยู่ด้านนอกคือหัวหน้าแผนกคนหนึ่ง อายุราวสี่สิบกว่าและมีหัวล้านหลังจากได้รับอนุญาตจากเย่ซิว เขาก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป“ประธานครับ มีข่าวเกี่ยวกับสมุนไพรที่คุณกำลังมองหาแล้วครับ”เย่ซิวโน้มตัวไปข้างหน้า "บอกฉันมาเร็วว่ามันอยู่ที่ไหน"พักนี้การระงับพลังของตัวเองไว้นั้นทำให้เขาลำบากมาก ถ้าสามารถทะลวงระดับไปได้เร็วยิ่งขึ้น เขาก็จะสามารถฝึกฝนได้อย่างไร้ขีดจำกัด แล้วเร่งการบำเพ็ญตน ให้ความแข็งแกร่งพุ่งสูงขึ้นได้รวดเร็วอีกครั้ง“มันอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาแห่งหนึ่งครับ คนของเราสอบถามและได้รู้มาจากปากของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเธอบอกว่าเธอเคยเห็นพืชที่คล้ายกันนี้บนภูเขาแต่เนื่องจากไม่มีใครเข้าไปในภูเขานั้นมาเป็นเวลานานแล้ว ว่ากันว่าข้างในมีทั้งงูพิษและสัตว์ร้ายมากมายข้างในนั้น จึงไม่มีใครกล้าเยื้องย่างเข้าไป”หลัวฮุ่ยหมิ่นซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ สงบลงแล้วหลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกเธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองเห็นคางของเย่ซิวทันใดนั้น เธอก็นึกถึงวิดีโอที่ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นกดเล่นตอนที่อีกฝ่ายสอนเธอ ฉากนั้นก็เหมือนกับตอนนี้ทุกประการหัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อ
ดวงตาของหลัวฮุ่ยหมิ่นสว่างจ้า "จริงเหรอ? คุณจะหลอกกันไม่ได้นะ"เมื่อเธอทำตัวออดอ้อน พลังทำลายของมันนับว่ามหาศาลมากเย่ซิวยิ้มและพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ”หลัวฮุ่ยหมิ่นรู้ว่าไม่ควรจะทำตัวติดกับเย่ซิวมากเกินไป มิฉะนั้นความสดใหม่จะหายไปหลังจากนั้นในเวลาไม่นานหนึ่งชั่วโมงต่อมา ชายวัยกลางคนก็มาที่ห้องทำงานของเย่ซิวอีกครั้ง และบอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้วเย่ซิวลุกขึ้นและออกไป มาที่โรงรถแล้วโทรหาชูตง“ทำไมคุณถึงโทรหาฉันในเวลาทำงานล่ะ”โทนเสียงของชูตงนั้นแข็งทื่อมากแต่เย่ซิวสามารถบอกได้ว่าผู้หญิงคนนี้จงใจ ไม่แน่ในขณะนี้เธออาจจะลั้นลาอยู่ในใจก็ได้“มาที่โรงรถชั้นใต้ดินแล้วออกไปทํางานนอกสถานที่กับผม”“ฉันไม่ไป วันมะรืนนี้ก็จะสอบแล้ว ฉันงานยุ่งมาก”“ค่าทํางานนอกสถานที่คือห้าหมื่นบาทต่อวัน” เย่ซิวเสนอ โยนไพ่ตายออกไปโดยตรง“รับทราบค่ะท่านประธาน กรุณารอสักครู่นะคะ ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”ทัศนคติของชูตงเปลี่ยนไปในทันที หลังจากวางสาย เธอก็รีบเก็บข้าวของและวิ่งไปหาเซี่ยซิ่วซิ่วเพื่อแจ้งให้เธอทราบเดิมทียังคิดว่าเซี่ยซิ่วซิ่วจะโกรธ คิดไม่ถึงเธอแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร สีหน้านั
กลิ่นอายความเป็นชายตีมากระทบใบหน้า หัวใจของชูตงเต้นรัวราวกับมีลูกกวางวิ่งเข้าชน มือทั้งสองข้างกอดอกไว้แน่น เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “คุณ คุณ คุณ...คุณจะทำอะไร รีบ ๆ ไปเลย ถ้าถูกคนเห็นเข้า จบเห่แน่”เธอไม่คิดว่าเย่ซิวจะใจกล้าถึงขนาดนี้จริง ๆ ถึงกับกระโจนจากเบาะคนขับมายังเบาะฝั่งข้างคนขับแบบนี้เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตระหนก ถ้ามีคนมาเห็นฉากนี้จริง ๆ ได้แย่แน่ ต่อให้ตัวเองมีปากขึ้นเต็มตัวก็ไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้แล้วเย่ซิวมองเธออย่างครอบงำ "ดังนั้นคุณจะรับมันไว้หรือไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับ ผมจะจัดการคุณในรถตอนนี้เลย"“ฉันรับ ฉันรับแล้วโอเคหรือยังล่ะ” ชูตงใกล้จะร้องไห้แล้ว ผู้ชายคนนี้เผด็จการอย่างวิปริตจริง ๆ เขาข่มขู่คนแบบนี้ได้ยังไงจากนั้นเย่ซิวก็ถอยห่างจากเธอ กลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมแล้วพูดกับเธอว่า “คุณจำเป็นต้องสวมจี้หยกนี้ไว้ตลอดเวลา เข้าใจที่พูดไหม?"ชูตงสวมจี้หยกไว้บนคอขาวราวหิมะของเธอ กลอกตาแล้วพูดกับเขาด้วยความโกรธ "รู้แล้ว รู้แล้ว"แต่ในใจกลับหวานหยด เปี่ยมไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าความสุขผู้หญิงทุกคนชอบผู้ชายที่ครอบงำและชอบถูกครอบงำ เธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นชูจ
ในเมื่อเขามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ย่อมไม่อาจมามือเปล่าได้ตอนนี้เองก็มีชายในชุดสูทหกหรือเจ็ดคนเดินออกมาด้วย คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของบริษัทซึ่งถูกส่งมาประจำอยู่ที่นี่แม้ว่าชูตงจะสับสนงงงวย แต่ก็ไม่ซักถามอะไรให้มากความอีก เธอเพียงแต่ตามหลังคนสองสามคนนั้นเพื่อไปแจกจ่ายสิ่งของเมื่อผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ยินว่ามีของแจกฟรี แต่ละคนก็พากันยิ้มร่าปกติที่นี่จะครึกครื้นก็ต่อเมื่อถึงช่วงตรุษจีนเท่านั้น ในวันธรรมดาผู้อาวุโสกลุ่มนี้จะเหงาหงอยและโดดเดี่ยวกันมากการมาถึงของเย่ซิวและคนอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าได้นำชีวิตชีวามาให้กับหมู่บ้านที่เงียบเหงาแห่งนี้เมื่อชูตงเห็นการรอยยิ้มของผู้อาวุโสเหล่านี้ เธอก็รู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ บางครั้งที่มองไปทางเย่ซิวก็รู้สึกว่ามุมมองที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปผู้ชายคนนี้แตกต่างจากคนอื่นจริง ๆแน่นอนว่ายังมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือล้วนแต่เป็นพวกมักมากเหมือนกันขณะที่กำลังแจกของได้ครึ่งทาง เด็ก ๆ เหล่านั้นก็เลิกเรียนแล้วเย่ซิวเดินไปหยิบเครื่องเขียน ลูกอม และขนมจำนวนมากออกมาจากท้ายรถ และแจกจ่ายให้กับเด็กกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาล้อมรอบเขาชายใน
“โอ้ ผู้อาวุโส คำพูดนี้หมายความว่ายังไงเหรอครับ?” เย่ซิวเผยสีหน้าสงสัยใบหน้าของปู่ของเสี่ยวหนานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับหวนนึกถึงความทรงจำที่เลวร้ายเหล่านั้นขึ้นมาได้ ร่างทั้งร่างสั่นเทาไปหมดแต่เพื่อห้ามไม่ให้เย่ซิวเข้าไปในภูเขา เขาจึงกัดฟันเล่าเรื่อง "เมื่อกว่าสองปีที่แล้ว ฉันได้พาเสี่ยวหนานขึ้นเขาเพื่อไปเก็บสมุนไพรตอนที่กำลังจะลงจากภูเขา ก็ได้ยินเสียงที่น่ากลัวเหมือนเสียงของหมาป่า แต่แหลมคมยิ่งกว่าทันทีที่ฉันได้ยินเสียงนี้ ต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำค้างแข็งโชคดีที่ตอนนั้นเราหนีออกมาได้เร็ว ไม่อย่างนั้นเสี่ยวหนานและฉันอาจจะตายไปแล้วต่อมาหลายคนขึ้นเขาไปและก็ได้ยินเสียงนี้เหมือนกัน แถมยังมีหลายคนที่ไม่รอดชีวิตกลับมาสถานที่นั้นจึงกลายเป็นเขตหวงห้ามและไม่มีใครกล้าขึ้นไปที่นั่นอีกพ่อหนุ่มเอ๋ย ฉันขอแนะนำเธอ อย่าได้ไปเสี่ยงเลย เธอยังเด็กมากขนาดนี้ อย่าได้เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นเด็ดขาด”ชูตงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น "คุณปู่คะ มันน่ากลัวอย่างที่คุณพูดจริง ๆ เหรอ?"“จริงแท้แน่นอนค่ะ” เสี่ยวหนานที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าหงึกหงัก "ตอนนั้นมันน่ากลัวจริง ๆ พี่ชายพี
เสียงฟุ่บดังส่งมา ปลาก็บินขึ้นจากน้ำและตกลงบนฝ่ามือของเขา พยายามดิ้นสู้ไม่หยุด“ว้าว!” เสี่ยวหนานตะลึงงันไปหมดแล้ว ดวงตาราวอัญมณีของเธอเบิกกว้าง “ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่าเนื่ย?”แต่เมื่อเธอเห็นปลาที่มีชีวิตชีวากำลังดิ้นอยู่ในมือของเย่ซิว เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน มองไปที่เย่ซิวด้วยความชื่นชมและอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก“พี่ชาย คุณเป็นเทพเซียนหรือเปล่าคะ?”“เปล่า ก็แค่กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของจอมยุทธ์เท่านั้นเอง” เย่ซิวพูดขณะที่เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเสี่ยวหนาน“คืนนี้รอจนปู่และย่าของเธอหลับไปแล้ว เราแอบมารวมตัวกันที่นี่แล้วเธอพาฉันขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรได้ไหม”ความหวาดกลัวฉายผ่านดวงตาของเสี่ยวหนาน เธอส่ายหัวพรืดโดยสัญชาตญาณ "ที่นั่นน่ากลัวมากนะคะ ฉันไม่กล้าเข้าไปหรอก"เย่ซิวมองไปรอบ ๆไม่ไกลนักมีแท่นหินโม่ขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าหนึ่งเมตรครึ่งอยู่เขาก้าวไปข้างหน้าและยกหินโม่นั้นขึ้นด้วยมือเดียวจากนั้นเขาก็โยนมันขึ้นมาสองสามครั้งแล้ววางมันกลับลงที่ตำแหน่งเดิมอย่างเบามือ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาทั้งนั้นปากของเสี่ยวหนานอ้ากว้างเป็นรูปตัวโอ“ตอนนี้พาฉันไปที่น
ศีรษะเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากข้างในห้องแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ จากนั้นเธอก็แอบย่องไปที่สวนหลังบ้าน เมื่อเห็นเย่ซิ่วยืนอยู่ตรงนั่น เธอก็ตะโกนเบา ๆ ว่า “พี่ชาย”เย่ซิวหันกลับมาและโบกมือให้เธอ "ไปกันเถอะ"“ฉันก็จะไปด้วย”ตอนนี้เองที่สาวน้อยชูตงก็วิ่งออกมา ก่อนหน้านี้เธอก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเย่ซิวส่ายหัวปฏิเสธ "คุณไปไม่ได้ อยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังเถอะ"“ทำไมฉันจะไปไม่ได้” ชูตงพูดอย่างโกรธขึ้ง “ตอนเด็ก ๆ ฉันน่ะเคยขึ้นเขาบ่อย ๆ จะไม่เป็นตัวถ่วงของคุณแน่นอน”“เสี่ยวหนานกับผมจะไปทำธุระสำคัญกัน คุณจะตามเรามาด้วยทำไม? อีกอย่างผมพาไปด้วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”หลัก ๆ คือเย่ซิวกลัวว่าหากมีเรื่องที่ตึงมือเกิดขึ้นบนภูเขา การที่เขาคนเดียวต้องปกป้องคนสองคน ค่อนข้างยุ่งยากเกินไปสักหน่อย“ฉันไม่ต้องให้คุณพาไปหรอก ฉันไปเองได้”เย่ซิวมองเธอด้วยความแปลกใจ วันนี้ผู้หญิงคนนี้ทำตัวแปลกไปหน่อยทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา "คุณเป็นห่วงผมเหรอ?"“ใคร...ใครเขาเป็นห่วงคุณ ไอ้คนหลงตัวเอง” ร่องรอยของความตื่นตระหนกแวบผ่านดวงตาของชูตง จากนั้นเธอก็แสร้งทำเป็นไร้เหตุผล "ฉันแค่อยากรู้ว่ามีปีศาจ
สัตว์วิญญาณตัวนั้นหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว และเห็นเย่ซิวทันใดนั้น แรงกดดันที่มองไม่เห็นสายหนึ่งก็กดทับลงมา ทำให้เกราะวิญญาณที่กางอยู่ข้างนอกสั่นอย่างต่อเนื่อง“พี่ชายเรารีบหนีกันเถอะค่ะ เจ้าตัวใหญ่นี่น่ากลัวมาก” เสียงของเสี่ยวหนานสั่นเทา เธอไม่กล้ามองไปที่เจ้าตัวใหญ่นี้เลยเย่ซิวมองไปที่สัตว์วิญญาณซึ่งกำลังเดินมาหาเขาด้วยสายตาที่เคร่งขรึมอย่างยิ่ง "ดูออร่าจากบนตัวมันที่หนายิ่งกว่าของฉัน เกรงว่าคงใกล้ทะลวงเข้าสู่ระดับจินตานแล้ว!"สัตว์วิญญาณแตกต่างจากมนุษย์พวกมันมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า และความสามารถในการกักเก็บพลังวิญญาณไว้ในร่างกายก็ยิ่งมหาศาลนี่เป็นข้อได้เปรียบตามธรรมชาติเย่ซิวประเมินว่าถ้าเขาต่อสู้กับเจ้าตัวนี้ ทั้งสองฝ่ายจะพ่ายแพ้ย่อยยับแน่นอนทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา ก่อนอื่นเขาใช้มือซ้ายแตะไปที่หลังของเสี่ยวหนานเบา ๆ เธอก็หลับไปทันที ชี้นิ้วที่สวมแหวนผนึกของลงไปที่พื้น แสงสว่างวาบ จากนั้น...ทุกอย่างก็เงียบกริบเย่ซิวหยิบเตียงน้ำแข็งออกมาสัตว์วิญญาณตัวนี้เป็นธาตุน้ำแข็งเหมือนกัน แต่เขารู้สึกว่ายังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างไอเย็นที่ปลดปล่อยออกมาจาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน