“น้ำ ขอน้ำหน่อย” เสียงกระแอมดังขึ้นก่อนจะร้องหาน้ำดื่ม
“แม่! / เพ่ยชิง!”
เวลานี้เสียงร้องเรียกปนไปด้วยความดีใจของทุกคนดังขึ้น เมื่อเห็นว่าโจวเพ่ยชิงนั้นมีสติแล้ว
“ค่อย ๆ กินนะเพ่ยชิง ร่างกายยังไม่สู้ดีนัก” นางซูหนานประคองร่างของลูกเลี้ยงขึ้นมาให้ดื่มน้ำ
โจวเพ่ยชิงดื่มน้ำไปหลายอึกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เมื่อปรับสายตาได้แล้ว จึงมองไปยังลูกทั้งสองคนด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแม่เลี้ยงด้วยคำที่เธอไม่เคยพูดมาก่อนหน้านี้
“ขอบคุณนะคะแม่”
นางซูหนานนิ่งค้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากลูกเลี้ยง เธอรอคำนี้จากโจวเพ่ยชิงมานานเหลือเกิน และไม่คิดว่าวันนี้จะได้ยินจริงๆ
“อืม ไม่เป็นไร ลูกฟื้นก็ดีแล้ว”
นางซูหนานปาดน้ำตาเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเรียกหลานทั้งสองที่ยืนหลบอยู่มุมห้องให้เข้ามาหา
“ซานซาน อาเฉิน มาหาแม่สิลูก เมื่อครู่นี้ยายเห็นร้องหาแม่กันอยู่ไม่ใช่หรือไง รีบเข้ามาสิ เวลานี้แม่ของหลานฟื้นแล้ว”
“ค่ะ / ครับ” ทั้งสองค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแม่ของตนอย่างหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัว แม่สัญญาว่าหลังจากนี้ จะไม่ตีลูกอีกแล้ว มาหาแม่เถอะนะ”
ความเปลี่ยนแปลง และน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างอ่อนโยน ทำให้นางซูหนานและหลานๆ ตกใจไม่น้อย แต่พอคิดว่าโจวเพ่ยชิงคงคิดได้แล้วหลังจากผ่านความตาย จึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“แม่สัญญาใช่ไหม” ซานซานเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะเมื่อก่อนแม่ตีเธออยู่บ่อย ๆ
“ใช่แล้วจ้ะ แม่สัญญาว่า แม่จะไม่ตีซานซานและอาเฉินอีก ทั้งสองให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมาได้หรือไม่”
“ค่ะ / ครับ” เด็กทั้งสองพยักหน้ารับอย่างดีใจเมื่อแม่สัญญาว่าจะไม่ตีอีกแล้ว จากนั้นทั้งสองจึงโผเข้าสู่อ้อมกอดของแม่ที่กำลังอ้าแขนรับ
“เบา ๆ แม่ของหลานเพิ่งฟื้นขึ้นมา ยังร่างกายไม่แข็งแรงเท่าไรนัก ยังมี...” เธอไม่กล้าเอ่ยถึงบาดแผลที่อยู่บนใบหน้าของลูกเลี้ยง เพราะกลัวว่าโจวเพ่ยชิงจะทำใจไม่ได้
โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้น จึงนึกถึงคำพูดของคุณตาท่านนั้น ก่อนจะใช้มือลูบบาดแผลที่มีผ้าปิดอยู่
“เรื่องแผลช่างมันเถอะค่ะ ขอแค่ฉันมีชีวิตรอดกลับมาหาลูกทั้งสองก็พอแล้ว หากวันใดที่พี่ฮั่นตงกลับมาและอยากจะหย่า เพื่อไปอยู่กับคนที่เขารัก ฉันก็ยินดี ว่าแต่แม่เถอะ จะยอมรับเลี้ยงฉันกับหลานหรือไม่เล่า”
“ไม่มีปัญหา บ้านโจวยินดีต้อนรับเพ่ยชิงกับหลาน ๆ เสมอ แต่... จะหย่าจริงเหรอ” นางซูหนานเอ่ยถามลูกเลี้ยงอย่างแปลกใจ
เธอไม่คิดว่าเวลานี้โจวเพ่ยชิงจะพูดคำว่า ‘หย่า’ ออกมาด้วยตนเอง เธอจำได้ตอนนั้นลูกเลี้ยงวางแผนทำลายชื่อเสียงตนเอง เพื่อให้ได้แต่งเข้าบ้านหลี่ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกันนะ ถึงได้เอ่ยคำว่าหย่าออกมา
“อาเฉิน ซานซาน ลูกไปเล่นกันก่อนเถอะนะ แม่ขอคุยกับยายก่อน”
เรื่องนี้เธอไม่อยากให้ลูกทั้งสองรับรู้ หากเธอและหลี่ฮั่นตงหย่ากันจริง เธอจะค่อย ๆ บอกเรื่องนี้กับลูกเอง และไม่คิดจะปิดกั้นความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกเช่นกัน
“ครับ / ค่ะแม่”
หลังจากเด็กทั้งสองออกไปแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงหันมากล่าวกับแม่เลี้ยงด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ที่ผ่านมาพี่ฮั่นตงไม่เคยรักฉันเลย ฉันไม่รู้ว่าใจเขาอยู่ที่ใด และที่ผ่านมา ฉันแยกคู่ยวนยางมานานพอแล้ว เมื่อไหร่ที่พี่ฮั่นตงกลับมา ฉันยินดีจะหย่าหากเขาต้องการ”
เธอทำสิ่งเลวร้ายมามากพอแล้ว หากพี่ฮั่นตงอยากจะหย่าเพื่อไปใช้ชีวิตของตนเอง เธอก็ยินดี เธอกักขังทั้งตัวและหัวใจเขามามากพอแล้ว ในเมื่อเธอมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ชีวิตที่เหลือเธอยินดีที่จะคืนให้เขา ส่วนเธอจะขอเป็นแม่ที่ดีของลูกทั้งสองคน และขอเป็นลูกและน้องรวมถึงเป็นพี่ ที่ดีให้กับครอบครัว พร้อมกับทำดีเพื่อชดใช้ให้กับสิ่งที่เธอได้รับปากไว้กับท่านตาคนนั้น
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส