หิมะต้นฤดูโปรยเบาเหมือนขี้เถ้าจากเตาใหญ่ ลอยเรี่ยหลังคากระเบื้องดำของจวนสกุลหลาน แล้วค่อยๆ ทับถมจนพื้นลานขาวโพลน เสียงกลองศึกที่เคยข่มศัตรูในสนามรบกลับเงียบงัน ราวกับวิญญาณนักรบหลายร้อยนายที่เคยยืนเรียงแถวตรงนี้ต่างรู้ดี คืนเพ็ญนี้ ไม่ใช่ค่ำคืนแห่งชัยชนะ แต่เป็นคืนแห่งล้างบาง
ข้าคือหลานซูเหยา บุตรีแม่ทัพหลาน เด็กหญิงผู้ตัวเล็กกว่าความยาวดาบของบิดา คืนนี้ ข้าซ่อนตัวงอตัวอยู่ใต้แท่นกลองศึกที่ท่านพ่อเคยเคาะเรียกระดมพล แผ่นไม้เย็นเฉียบซึมความชื้นจนกลิ่นยางไม้ระเหยฉุนจมูก เสียงฝีเท้าหนัก สายลมตีชายเสื้อเกราะ เสี้ยนโลหะขูดกันจนเกิดเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างในยามนี้กำลังสอดประสานเป็นบทเพลงสั้น ๆ ที่โหดเหี้ยม
“นำตัวคนของตระกูลหลานออกมาให้หมด!”
เสียงนายทหารกรมอาญาร้องลั่น เสียงนั้นชัดเจนราวคมมีดที่เฉือนผิว ข้าเห็นผ่านช่องไม้เล็ก ๆ ถึงธงหลวงที่สะบัดในแสงคบเพลิง และผ้าคาดแขนของทหารที่ปักลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ
มังกรกับดอกท้อ เหตุใดต้องเป็นลายนี้?
บิดาข้า แม่ทัพหลาน ออกมายืนอยู่กลางลาน เขาไม่ได้สวมเกราะทำศึก แต่สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีดำ ก้าวเท้านิ่งสง่าเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่ก้าวลงสนามรบ
“ข้าหลานหย่งเฉิง ขอถาม”
เสียงของท่านพ่อไม่ดังนักแต่กลับดังก้องในหัวของข้า
“ด้วยโทษทัณฑ์ใดอันควร ตระกูลข้าถึงจำต้องถูกลากทุกชีวิตออกมาต่อหน้าธารกำนัลในยามแรมเดือนเพ็ญเช่นนี้”
นายทหารชูม้วนพระราชโองการขึ้นเหนือศีรษะ
“บัญชาจากเบื้องบน กล่าวโทษตระกูลหลานว่าคบคิดติดต่อศัตรู ยักยอกเสบียง นำภัยแก่แผ่นดิน!”
เอ่ยจบเขาก็คลี่ผืนกระดาษตราประทับแดงฉาน แสงคบเพลิงสะท้อนคราบผงยาพิษจาง ๆ บนขอบตรา ข้าคิดว่าตนแค่ตาฝาดจึงขยี้ตาอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ
“มีหลักฐานอันใด?”
ท่านแม่ข้าโฉมสะคราญที่เคยคัดเลือกบทกวีให้ข้าท่องทุกค่ำคืน ก้าวล้ำออกมายืนเคียงท่านพ่อ ใบหน้าของนางยังสงบเย็นดุจผืนน้ำแข็ง แต่การกำชายแขนเสื้อแน่นจนปลายเล็บขาว เผยว่าหัวใจของนางเต้นรัวเพียงใด
“หรือเพียงคำของผู้มีอำนาจ ก็เพียงพอจะฆ่าคนทั้งจวนแล้ว?”
“หลักฐานถึงมือแล้ว” นายทหารตอบสั้น ๆ “และถึงคราจะต้องพิพากษา”
ข้าเม้มปากกัดปลายเรียวผ้าคลุม ท่านพ่อสอนอยู่เสมอว่า อย่าร้องไห้ต่อหน้าศัตรู แต่ในยามนี้ ข้ารู้สึกเหมือนเลือดอุ่น ๆ จากหัวใจตนเองกำลังไหลลงพื้นที่เย็นเฉียบ ไม่ใช่ผ่านแผลใด ทว่าไหลผ่านรอยแตกของความศรัทธาที่ข้าเคยมี
พวกทหารลากบ่าวไพร่ออกมาเป็นแถว เสียงร้องอ้อนวอนดังผสานกับเสียงกระบองฟาดหลัง ข้าเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่เคยเล่นด้วยกัน เขาเป็นลูกของบ่าวรับใช้ในจวน เขายังไม่พ้นวัยเล่นกงล้อไม้ คุกเข่าจนหัวชนพื้นหิมะ
“โปรดเมตตาด้วยขอรับ”
เขาร้องทั้งน้ำหูน้ำตา ท่านพ่อข้าเพียงหลับตาแน่น มือกำหมัดจนเส้นเลือดปูด แต่ก้าวเท้าไม่ถอย
“หยุด!”
เสียงหนึ่งที่ข้าคุ้นตลอดวัยเยาว์ เสียงของท่านพ่อดังจนใคร ๆ ต่างก็เงียบกริบ ท่านพ่อก้มลงถอดปิ่นหยกสีอ่อนจากมวยผมของตน ปิ่นนั้นสลักเป็นรูปกลีบดอกท้อสองกลีบซ้อนกัน
“ชิงเหยา” เขาหันมองไปทางเรือนใน ที่ข้าซ่อนอยู่ไม่ไกลนัก “ลูกอยู่ในนั้นใช่หรือไม่”
หัวใจข้าหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ ข้ายกมือปิดปากตัวเองอย่างแรง แต่ท่านแม่ข้าคำรามเบา ๆ
“หย่งเฉิง”
เสียงของท่านแม่เอ่ยเป็นเสียงเตือน ว่าอย่าให้คนพวกนั้นรู้!
ท่านพ่อยิ้มบางอย่างที่เขาเคยยิ้มให้ข้าตอนขัดเปลือกเมล็ดท้อให้กิน
“หากลูกได้ยินเสียงของพ่อ...”
เขาหย่อนปิ่นหยกลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่วางอยู่ข้างแท่นกลองศึก แล้วสอดบางสิ่งเข้าไปด้วย มันเป็นแผ่นกระดาษตัดสีขาว
“จงจำคำพ่อไว้ให้ชัด ดอกท้อไม่บานในฤดูหนาว”
เขาเคาะปลายนิ้วบนกระบอกไม้สองที ราวกับเคาะประตูสวรรค์
“เจ้าจงจำไว้...”
น้ำตามืดบังดวงตาข้า ข้าคืบคลานเอื้อมมือรับกระบอกไม้ไผ่ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ใต้แท่นกลอง เงื้อมอย่างเบาที่สุดเท่าที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะทำได้ ลมหายใจพ่นเป็นควันขาว บนปลายนิ้วมีเลือดซึมเพราะเสี้ยนไม้ แต่ข้าก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมา
“ถึงเวลาแล้ว”
นายทหารสั่งเสียงเย็น เขาผายมือ ดาบหลายสิบเล่มชักขึ้นพร้อมกัน เสียงโลหะจี่กับปลอกดาบดังสะท้อนกำแพงลานกว้าง
ท่านแม่ข้ายืดตัวขึ้นสูงเปรียบเสาเรือน
“หากแผ่นดินนี้ต้องการเลือด ก็จงรับจากพวกเราไป แต่อย่าหวังว่าเวลาจะล้างความเท็จให้ใครได้”
นางหันกายมองท่านพ่อ ส่งยิ้มให้เขา ยิ้มของสตรีที่ไม่เคยกลัวอะไรเลยนอกจากกลัวว่าบุตรสาวของตนจะประสบกับภัยร้าย
“ชิงเหยา” นางเรียกข้าในลมหายใจแทบไม่กี่เส้น “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ก็...”
“ตึง!”
เสียงกลองศึก กลองเดียวกันที่ข้าซ่อนอยู่ใต้แท่นดังขึ้น สั่นสะเทือนไปถึงกระดูกสันหลังข้า ราวกับมีใครถลึงตาใส่ดวงจันทร์แล้วสั่งมันให้ลืมความเมตตา ดาบกวัดวาบ แสงคบเพลิงสาดเงาทหารยาวบนหิมะ เหล่าบ่าวไพร่ถูกผลักให้คุกเข่าก้มหน้า เสียงแหบพร่าของบทสวดสุดท้ายผสมกันเป็นหมอก
ข้าเม้มฟันแน่นจนได้กลิ่นเหล็กจากเลือดในปาก
“หยุดนะ!”
เสียงนี้ก็อีกเสียงหนึ่งที่ข้าจะจำชั่วชีวิต เสียงของผู้สวมผ้าคาดแขนลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ เขายกมือ ดาบทั้งหลายค้างอยู่กลางอากาศ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าท่านพ่อข้า ระยะเพียงหนึ่งฝ่ามือ
“แม่ทัพหลาน คนอย่างเจ้าสมควรตายบนสนามรบมากกว่ากลางลานหิมะขาวเช่นนี้”
เขาเอียงคอ มุมปากยกอย่างเย้ยหยัน “ทว่าเบื้องบนสั่งมาเช่นไร เราก็ต้องทำเช่นนั้น”
ท่านพ่อไม่ตอบ เขาเพียงเอื้อมมือจับมือท่านแม่ไว้แน่น นิ้วมือทั้งสองเกี่ยวกันเหมือนสรวงสวรรค์เกี่ยวชะตาคนสองคนไว้ก่อนโยนลงดงลวดหนาม
ดาบหนึ่งฟาดลง เสียงเปียกปอนตามมาเหมือนผ้าชุบน้ำตกกระทบพื้นหิน ข้าหยุดหายใจโดยไม่ทันรู้ตัว หากแต่เสียงร้องก็ไม่อาจกั้นออกจากลำคอได้ มันติดอยู่ที่นั่น เจ็บจนชา ชาเสียจนหนาวลึกเข้าไปถึงไขกระดูก
เปลวคบเพลิงโบกสะบัดแรงขึ้นเหมือนพายุคลั่ง หรือข้าเห็นภาพสั่นจากน้ำตาตนเองกันแน่? ลมคืนนี้แหลมคม ส่องผ่านรอยแตกของแท่นกลองเข้ามาบาดแก้มของข้า บาดจนข้านึกว่ามีใครขีดคำบางคำลงบนใบหน้า คำว่า “ศัตรู!”
เพลี้ยง! คบเพลิงหนึ่งหล่นใส่ซุ้มประตูไม้แห้ง เปลวไฟลุกพรึ่บอย่างรวดเร็ว กลิ่นควันยางไม้และไขคบเพลิงฉุนทะลวงหลอดลม เปลวไฟวิ่งไปตามพนักบัวยาว ราวกับงูไฟกำลังเลื้อยรัดจวนที่ข้าเกิดและเติบโตมาทุกตารางนิ้ว ข้าเห็นเงาเด็กชายที่ร้องไห้เมื่อครู่ถูกดึงถอยไปด้านหลังอย่างแรง เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็แค่อีกไม่กี่ลมหายใจ
“เผา” นายทหารคนนั้นสั่งเพียงคำเดียว
คนของข้าพากันแตกตื่น กรีดร้องและวิ่งหนี แต่ประตูใหญ่ถูกปิดตาย โซ่เหล็กหนักกระแทกกันดังกราว ข้ากระชับกระบอกไม้ไผ่ในมือแน่น รู้สึกถึงปลายปิ่นหยกทิ่มกดเนื้อฝ่ามือ ความเจ็บแสบเล็ก ๆ นั้นเป็นเสมือนคำสั่งสอนที่ท่านพ่อทิ้งไว้
ข้าขยับกายช้า ๆ คืบคลานตามทางว่างด้านในแท่นกลอง กระบอกไม้ไผ่ถูกสอดเข้าช่องผนังอิฐที่ท่านพ่อเคยชี้บอกไว้เมื่อนานมาแล้ว เขาพูดตอนนั้นว่ามันเป็น เส้นทางลมหายใจของจวน หากไฟไหม้ให้คลานไปตามช่องนี้ มันจะพาไปสู่ทางลับใต้ดินที่ออกสู่ป่าริมลำธารได้
“ชิงเหยา รีบหนีไป...”
เสียงของท่านแม่เหมือนลอยมาตามควัน หรือเป็นเพียงความจำของข้าเองก็ไม่รู้ได้? ท่านแม่ชอบปกป้องข้าเสมอ เวลาที่เกิดลมพายุ ท่านแม่ก็มักจะบอกข้า
“ลูกรีบเข้าด้านใน เดี๋ยวแม่ตามไป”
ไฟลามมาถึงชายผ้าแท่นกลอง กลายเป็นแถบสีส้มที่ไล่กัดกินผ้าอย่างหิวโหย ข้าเบียดตัวไปตามช่องอิฐที่แคบจนซี่โครงเสียดแน่นกับผนังหนาวเย็น ความมืดเหมือนผ้าคลุมตาแต่กลิ่นควันช่วยชี้นำทาง อีกไกลเท่าไร ข้าไม่รู้ เพียงรู้ว่าทุกวินาทีด้านหลัง มีดาบกับไฟกำลังไล่ตามหลังคอของข้าอย่างกระหาย
กึก กึก เสียงถอนกลอนเหล็กดังขึ้นใกล้ ๆ จนข้าตัวแข็ง
“มีคนอยู่ใต้แท่น!”
เสียงของทหารนายหนึ่งตะโกน หัวใจข้ากระเด็นไปชนซี่โครง เหงื่อเย็นผุดพราวแม้อากาศจะหนาวจนปลายนิ้วชา ในวินาทีที่ข้าคิดจะหันกลับไปกัดแขนคนที่ยื่นมาคว้าตัว มือหนึ่งกลับแตะไหล่ข้าเบา ๆ จากด้านหน้า มือนั้นเย็นดุจน้ำแข็งที่ตักขึ้นจากลำธารกลางราตรี แต่แรงคงมั่นและเฉียบ ข้าเกือบเผลอส่งเสียงร้อง แต่เสียงนั้นมาก่อน
“อย่าส่งเสียง” มันเป็นเสียงของบุรุษ ต่ำ นิ่ง และเรีบยคมเหมือนคมมีดที่ไม่สะท้อนแสง
“ยังไม่ถึงคราวตายของเจ้า”
ข้าเห็นเพียงแววตาคู่หนึ่งในความมืด ดุจแสงจากโลหะเย็นหลังหน้ากากที่คนผู้นั้นสวมไว้ แววตานั้นไม่ใช่แววของผู้มาเผาจวน ไม่ใช่แววของพวกทหารที่ย่ำยีเกียรติของตระกูลหลาน แต่เป็นแววของผู้ที่จ้องรอจังหวะในความมืดอย่างชำนาญ เหมือนเสือที่ชะงักฝีเท้าไว้ข้างหนึ่งก่อนกระโจนเข้าใส่เหยื่อ
เงาบุรุษผู้นั้นขยับ เขาปัดก้อนอิฐช่องลมหายใจอีกแผ่นอย่างเงียบเชียบ พื้นดินด้านล่างเผยช่องว่างเท่าตัวเด็กให้ไถลลง ข้าหันกลับชั่วพริบตา เพียงทันเห็นเปลวไฟแผดเผาผิวไม้ ลมหายใจของทหารสองสามคนกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ เงาเงื้อมมือราวจะคว้าผมของข้า
“ไป” เสียงนั้นสั้นและหนักแน่น น้ำเสียงบ่งบอกว่ามันไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำตัดสินชะตา
ข้ากัดฟันแน่น โผกายลงไปในช่องดินแคบ ร่างกายถลาลงสู่ความเย็นเฉียบของดินชื้น เสียงโลกด้านบนถูกอุ้มไว้ด้วยชั้นพื้นหนา เสียงดาบ เสียงร้อง เสียงไฟ กลายเป็นทำนองมัวหมองที่ไกลออกไปทุกลมหายใจ ข้าพลิกตัวมองขึ้น ช่องนั้นถูกก้อนอิฐดันกลับเข้าที่เงียบกริบ มีเพียงช่องลมเล็กกระจิ๋วที่ลมหายใจพอลอด
หัวใจยังเต้นแรงจนเจ็บซี่โครง กระบอกไม้ไผ่ในอกเสื้อทิ่มกดหน้าอกจนเจ็บ ข้ากำมันแน่นอย่างหวงแหน ปิ่นหยกของท่านพ่อ และกระดาษบันทึกบาง ๆ แผ่นนั้นยังอยู่
ในความมืดมิด แสงหนึ่งวาบขึ้น แสงจากแท่งไฟเล็กที่บุรุษผู้สวมหน้ากากจุดด้วยนิ้วเดียว ส่องให้เห็นทางอิฐโค้งต่ำทอดไปข้างหน้า เขาก้มศีรษะลงน้อย ๆ มองหน้าข้า แล้วเสียงต่ำเย็นนั้นก็กระซิบอีกครั้ง
“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยากมีโอกาสทวงความยุติธรรมกลับคืน”
ข้ากลืนน้ำลายลงคอ มันขมและเค็มเหมือนเลือด ข้าค้อมศีรษะช้าๆ ไม่ใช่โค้งให้เขา แต่โค้งให้คำสาบานที่เพิ่งเกิดในใจตนเอง
ข้าจะจำทุกสิ่งทุกอย่างในคืนนี้ให้ชัด ผ้าคาดแขนลายมังกรคาบกลีบดอกท้อ กลิ่นควันจากไม้กลองศึก เสียงดาบที่ฟาดลงบนชีวิตของคนสกุลหลาน และเสียงของบุรุษผู้ที่บอกว่าข้ายังไม่สมควรตาย
ข้าจะจำไว้ เพื่อวันหนึ่งจะได้ถามโลกนี้กลับว่า ใครกันแน่ที่สมควรตาย!
ข้าย่อตัวคลานตามแสงเล็กนั้นไปในอุโมงค์มืด ด้วยหัวใจที่เริ่มแข็งกระด้างขึ้นในทุกจังหวะเต้น อย่างคนที่เพิ่งก้าวเท้าจากวัยเยาว์สู่หุบเหวของโชคชะตา โดยทิ้งเสียงร้องไห้คร่ำครวญถึงบ้านเกิดไว้เบื้องหลัง ใต้เงาจันทร์เพ็ญสีเงินที่ไม่มีวันช่วยใครได้เลย
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง