อุโมงค์ใต้ดินทอดยาวราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด ดินชื้นเย็นซึมผ่านชายเสื้อผ้าผิวกายจนความหนาวกัดลึกเข้าไปถึงกระดูก เสียงหยดน้ำดังติ๋ง ๆ เป็นจังหวะเดียวที่บอกข้าว่าเวลายังเดินอยู่ มือข้ายังจับกระบอกไม้ไผ่ไว้แน่น จนข้อนิ้วขาวราวกระดูก
บุรุษสวมหน้ากากเงินเดินนำหน้า เขาไม่พูด ไม่หันกลับมามอง แต่ก้าวเท้าอย่างมั่นคงราวกับรู้ทุกก้อนดินในทางนี้ เขาเป็นเพียงเงาดำสูงใหญ่ที่คั่นระหว่างข้ากับความมืดมิด หากไม่มีเขา ข้าคงไม่รู้เลยว่าข้างหน้าเป็นเส้นทางสู่ความรอดหรือเหวลึกแห่งความตาย
“เจ้าชื่ออะไร” เสียงต่ำเย็นนั้นดังขึ้นในที่สุด ข้าชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คาดว่าจะถูกถามเช่นนี้
“ซูเหยา” ข้าตอบด้วยเสียงแผ่ว แทบจะกลืนหายไปในลมหายใจของตัวเอง
เขาพยักหน้าเพียงน้อย แต่ไม่พูดอะไรอีก นอกจากเดินต่อไปจนกระทั่งแสงรำไรสีเงินสาดลงจากช่องเปิดด้านบน กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นน้ำเย็นของลำธารลอยมาตามลม เป็นสัญญาณว่าเรากำลังใกล้ทางออก
เขาใช้มือข้างเดียวดันฝาปิดไม้ขึ้นอย่างไร้เสียง ลำแสงจากดวงจันทร์เพ็ญส่องลงมากระทบหน้ากากเงินจนแวววาววาบในความมืด ชั่ววินาทีนั้น ข้ารู้สึกว่าหน้ากากนั้นไม่ใช่เพียงโลหะปิดบังใบหน้า แต่เป็นเกราะป้องกันหัวใจที่ไม่อยากให้ใครเข้าถึง
“ขึ้นไป”
เขากล่าวสั้น ๆ แล้วส่งมือให้ ข้าลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของเขา ความเย็นของโลหะที่หุ้มมือผสมกับแรงที่มั่นคงดึงข้าขึ้นพ้นจากความมืดสู่ความหนาวของยามราตรี
เบื้องหน้าคือลำธารกว้างที่ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์ราวผืนแพรสีเงิน ต้นสนสูงเรียงรายริมฝั่ง ลมกลางคืนพัดกลิ่นสนและหิมะเข้าจมูกอย่างแรง ข้าหันกลับมามองไกลออกไปทางด้านหลัง เปลวไฟจากจวนสกุลหลานยังคงลุกโชน เสียงแตกดังสนั่นเมื่อคานไม้ใหญ่ถล่มลง กลืนเอาทุกความทรงจำของข้าไปในกองเพลิง
หัวใจข้าหนักราวถูกถ่วงด้วยก้อนหิน ข้าอยากวิ่งกลับไป แต่รู้ว่ามันจะมีแต่ความตายรออยู่ จึงเพียงยืนนิ่ง น้ำตาร้อนผ่าวไหลอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางลมหนาว
“จงจำภาพนั้นไว้” เสียงเขาดังขึ้นข้างหู “เพราะมันจะเป็นเชื้อเพลิงให้เจ้าเดินต่อไป”
ข้าหันขวับไปมองเขา เขายืนอยู่ใต้เงาสน หน้ากากเงินสะท้อนแสงจันทร์เยือกเย็นเหมือนดวงตาของสัตว์นักล่า ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน หรือเหตุใดจึงช่วยข้า แต่ในแววตานั้นมีประกายบางอย่าง ประกายของคนที่เคยยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟมาก่อน
“ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่” เขากล่าวพร้อมคว้าข้อมือข้าแน่น “ตั้งแต่คืนนี้ไป เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลหลานอีกต่อไป”
“แล้วข้าเป็นอะไร?” ข้าถามทั้งที่เสียงสั่น
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นผู้ที่ต้องมีชีวิตเพื่อทำลายศัตรูของเจ้า”
หัวใจข้าสะท้านวาบ คำว่าศัตรูกลายเป็นรอยสลักในความคิด ข้ากำกระบอกไม้ไผ่แน่นขึ้น รู้ดีว่าจากนี้ไป ชีวิตข้าไม่อาจเป็นดังเดิมอีกแล้ว
บุรุษสวมหน้ากากเงินก้าวนำเข้าสู่ความมืดของป่า ข้าสูดลมหายใจลึกครั้งหนึ่ง กลิ่นสนและหิมะช่างเย็นจนปวดปอด ก่อนจะก้าวตามเขาไป โดยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะยาวไกลเพียงใด และหัวใจข้าจะต้องแข็งกระด้างอีกเท่าไรจึงจะถึงวันที่ได้ล้างแค้นให้ตระกูล
เสียงฝีเท้าของเราสองคนย่ำลงบนหิมะเปียกดัง กรอบ กรอบ เป็นจังหวะที่ช้าแต่มั่นคง ลมเหนือพัดซัดผ่านยอดสนสูง แผดเสียงหวีดเหมือนการร่ำไห้ของภูเขา ข้าเงยหน้ามองดวงจันทร์เพ็ญซึ่งยังส่องแสงไม่รู้เรื่องราวบนดิน แสงนั้นช่างงดงาม ทว่าข้าไม่อาจมองมันโดยปราศจากภาพเลือดในลานจวนซ้อนทับอยู่
บุรุษสวมหน้ากากเงินไม่เอ่ยคำใดตลอดเส้นทางที่ลัดเลาะป่าลึก เพียงหยุดเป็นระยะเพื่อฟังเสียงลม เสียงกิ่งไม้ หรือกระทั่งความเงียบที่ผิดปกติ ความเงียบที่เขาจับได้มักนำไปสู่การเปลี่ยนเส้นทางอย่างกะทันหัน ราวกับเขารู้ว่ามีใครซุ่มอยู่ แม้ข้าจะมองไม่เห็นก็ตาม
ไม่นานเราก็มาถึงสะพานไม้เก่าข้ามลำธารอีกสาย น้ำใสเย็นไหลเชี่ยวจนเกิดละอองฟุ้งเมื่อกระทบโขดหิน เขาหยุดกลางสะพาน หันกลับมามองข้า แสงจันทร์ทำให้ดวงตาเขาดูลึกและเย็นราวสระน้ำในฤดูหนาว
“จากนี้ไป ทุกสิ่งที่เจ้าจะเห็น จะต้องเก็บไว้เพียงในใจ” เขากล่าว “อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ แม้แต่ข้า”
คำเตือนนี้ทำให้หัวใจข้าหนักกว่าเดิม ชายที่เพิ่งช่วยชีวิตข้าไว้ กลับเตือนว่าอย่าไว้ใจเขา ข้ากำปิ่นหยกในกระบอกไม้ไผ่แน่น ความหนาวซึมเข้ามาพร้อมกับความจริงใหม่ที่ข้าจำต้องยอมรับ
เขาพาข้าเดินต่อจนป่าเริ่มโปร่งขึ้น แสงไฟจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมเชิงเขาโผล่มาให้เห็นราง ๆ กลิ่นควันไฟจากเตาผสมกับกลิ่นหญ้าแห้งโชยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ต่างจากกลิ่นไหม้และเลือดเมื่อครู่จนหัวใจข้าสะท้าน
“พักที่นี่”
เขากล่าวพลางพาข้าเข้าไปในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ริมหมู่บ้าน ภายในเงียบสงบ มีเพียงเตาผิงเล็ก ๆ และมุมหนึ่งที่ปูเสื่อหยาบไว้ เขาชี้ให้ข้านั่งลง แล้วโยนผ้าคลุมหนาหนักให้
“เราจะพักอยู่ที่นี่กี่วัน?” ข้าถามอย่างระแวดระวัง
เขาไม่ตอบตรง ๆ เพียงแค่เอ่ยว่า “จนกว่าเจ้าจะลืมกลิ่นไฟไหม้ของคืนนี้ไม่ได้อีก”
ประโยคนี้ของเขาทำให้ข้าหนาวเหน็บขึ้นทั้งที่อยู่ใกล้กองไฟ คืนนั้น ข้านั่งกอดเข่ามองเปลวไฟไหวในเตาผิง ภาพจวนสกุลหลานในหิมะเพ็ญยังคงลอยชัดอยู่ในดวงตา ปนกับเสียงกลองศึกและเสียงของเขาที่บอกว่า “ยังไม่ถึงคราวตายของเจ้า” และในความเงียบงันนั้น ข้ารู้ว่าชะตาของข้าได้เดินเข้าสู่เงามืดที่ไม่มีวันถอยกลับอีกแล้ว
เตาผิงกะพริบไหวจนเงาเปลวไฟเต้นระริกบนผนังไม้ ข้าค่อย ๆ คลายผ้าคลุม หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกจากอกเสื้อ มือสั่นเล็กน้อยขณะค่อย ๆ งัดฝาปิดออก ปิ่นหยกสีอ่อนลื่นออกมาดังกริ๊ก แสงไฟสะท้อนลายสลักกลีบดอกท้อสองกลีบซ้อนกันงามสงบ ใต้ปิ่นมีแผ่นกระดาษตัดสีขาวพับไว้อย่างประณีต ข้ากางมันออก ตัวอักษรสีหมึกคมเรียบ ลายมือของบิดาแน่แท้
“ดอกท้อไม่บานฤดูหนาว ใครเอ่ยทำให้ดอกท้อบานได้ ผู้นั้นคือศัตรู ทางลมหายใจของจวน เจ้าเดินพ้นมาแล้ว เส้นทางลมหายใจของแผ่นดินจงหาให้พบ...”
บรรทัดสุดท้ายมีรอยน้ำหมึกกระเซ็นเล็ก ๆ คล้ายจะถูกรีบเขียนจนมือสั่น ข้าลูบปลายตัวอักษรอย่างระวัง ความร้อนจากเตาผิงไม่อาจไล่ความหนาวที่ไหลจากหัวใจลงสู่ปลายนิ้วได้เลย
“เขียนได้ดี” เสียงบุรุษสวมหน้ากากดังขึ้นด้านหลังโดยที่ข้าไม่รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ตอนไหน
“คนที่ชี้เส้นทางหนีได้ ควรรู้จักชี้เส้นทางกลับให้ถึงใจตนเอง”
ข้าหันกลับไป เขายืนพิงเสาไม้ แขนกอดอก ดวงตาหลังหน้ากากยังคงนิ่งเย็น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปริศนานั้นหมายถึงใคร” เขาถาม
“หมายถึงคนที่ทำให้ฤดูผิดเพี้ยน” ข้าตอบช้า ๆ
“คนที่ทำให้สิ่งซึ่งไม่สมควรเกิด กลับเกิดขึ้น ด้วยอำนาจหรือเล่ห์ลวง”
ข้าขยับปิ่นหยกในมือ
“คนที่ทำให้ดอกท้อบานกลางหิมะ นั่นคือศัตรูของข้า”
เขาพยักหน้าเพียงน้อย ก่อนวางห่อผ้าผืนเล็กลงบนเสื่อหน้าข้า
“เปิดดูสิ”
ข้าแก้เชือกผ้าอย่างระแวดระวัง ภายในมีสิ่งของสามชิ้นเรียงกัน: มีดสั้นใบบางที่ขอบคมสะท้อนแสงไฟเป็นเส้นเงิน ขวดแก้วเล็กบรรจุน้ำสีใสที่เมื่อคว่ำเบา ๆ จะทิ้งคราบราง ๆ สีฟ้าอ่อน และแผ่นบัญชีหมากรุกกับหมากสีดำขาวหนึ่งกำมือ
“เลือกหนึ่งสิ่ง” เขาว่า “และบอกเหตุผล”
ข้ากวาดตามองทีละชิ้น มีด คือทางลัดที่เลือดแลกเลือด ขวด คือความตายที่ไร้เสียง หมาก คือทางยาวของกลยุทธ์ที่ต้องอดทน โทษทัณฑ์ของคืนนี้ยังอุ่นอยู่ในอก ข้ามองมือของตนที่สั่นแล้วนิ่งลง ข้าหยิบของทั้งสามชิ้นวางเรียงเข้าหากัน
“ข้าไม่เลือก” ข้าเงยหน้าสบตาเขาหลังหน้ากาก
“เพราะศัตรูของข้าไม่ได้ตายด้วยคมมึดเดียว หรือยาพิษเพียงหยดเดียว หากตายด้วยแผนยาวที่ร้อยทุกหยดเลือดเข้าด้วยกัน ข้าต้องการทั้งหมด เพื่อใช้ให้สาสมกับเลือดของตระกูลที่เสียไป”
เปลวไฟในเตาผิงสะท้อนในดวงตาคู่นั้นวาบหนึ่งคล้ายพึงใจ แต่เสียงของเขายังราบและเย็น
“คำตอบนี้ หนักเกินกว่าที่เด็กจะพูด”
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วในคืนนี้” ข้าตอบ “คืนนี้ข้าฝังเด็กคนนั้นไว้ใต้แท่นกลองศึกแล้ว”
เขาเงียบไปอึดใจ ก่อนจะดึงผ้าคลุมด้านข้างออก เผยถุงเครื่องมือหนังใบบาง ภายในมีเข็มเหล็กเรียวยาวหลายเล่ม สายคันฉ่อง ลวดกลืนสี และกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนอักษรลับ
“เจ้าอยากได้ทั้งหมด ก็ต้องรับทั้งหมด” เขาปล่อยถุงนั้นลงตรงหน้า “แต่ทุกชิ้นมีราคาของมัน”
ประตูไม้เบื้องนอกดังกึกแผ่ว ๆ ราวกับมีใครเหยียบพื้นกระดาน หน้ากากเงินเอียงศีรษะเล็กน้อย หูของเขาฟังความเงียบอย่างคนคุ้นเคยกับอันตราย เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ข้ากลั้นหายใจ เงาเท้าเล็ก ๆ เคลื่อนผ่านหน้าต่างกระดาษ น่าจะเป็นชาวบ้านเดินกลับเรือนดึก ไม่มีเสียงสรรพาวุธ ไม่มีกลิ่นคาวความตาย เพียงความเหนื่อยอ่อนของชีวิตริมเขา เขาลดมือลง บรรยากาศตึงเครียดคลายไปนิดเดียว
“สว่างเมื่อไร เราจะออกเดินทาง” เขากล่าว
“จากนี้ไป เจ้าต้องฝึกทั้งมือ ทั้งใจ ทั้งตาให้มองเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็น”
เขาหยิบมีดสั้นขึ้นมาพลิกดู คมมีดวาบวับ
“มือ เพื่อให้ว่องไวพอสำหรับโอกาสเดียวที่มาถึง ตา เพื่อเห็นเส้นทางในเงามืด ใจ เพื่ออยู่กับเลือดโดยไม่หลงลืมว่ามันคือเลือดของใคร”
“แล้วชื่อของท่านเล่า” ข้าถาม “ข้าควรเรียกท่านว่าอะไร”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เปลวไฟไล้ขอบหน้ากากจนเกิดวงแสงบาง
“ชื่อจริงของข้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ในคืนนี้” เขาเว้นวรรคสั้น ๆ เหมือนชั่งน้ำหนักคำ
“แต่ถ้าเจ้าต้องเรียก ก็เรียกข้าว่า ม่อเฉิน”
ม่อเฉิน ตัวอักษรนั้นเย็นในปาก ราวกับโลหะที่เพิ่งยกออกจากหิมะ ข้าทวนในใจหนึ่งครั้งแล้วอีกครั้ง เพื่อจดจำเสียงนี้ให้ฝังลึกไม่ต่างจากสลักบนปิ่นหยก
“ซูเหยา” เขาเรียกชื่อข้า “ตั้งแต่ยามรุ่งขึ้น เจ้าไม่ใช่เพียงบุตรีของแม่ทัพที่ถูกเผาเรือนฆ่าล้างตระกูลอีกต่อไป เจ้าจะเป็นศิษย์ของความเงียบ เป็นเงาของลมหายใจ และเป็นทวนคำถามของความจริงในวัง”
เขาก้าวเข้ามาใกล้ เงาหน้ากากบังเปลวไฟ ครอบโลกให้เหลือเพียงเสียงของเขากับเสียงหัวใจในอกข้า
“สิ่งที่ข้าขอมีเพียงหนึ่ง” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำทีละพยางค์ “จงมีชีวิตเพื่อทำให้ศัตรูของเจ้าได้ชดใช้”
คำว่าชดใช้ตกกระทบหูข้าอย่างหนักหน่วงกว่าดาบใด ๆ มันดังก้องเข้าห้วงคำนึง ร้อยเข้ากับคำสั่งเสียบนแผ่นกระดาษของท่านพ่อ และภาพจวนที่ลุกเป็นไฟในคืนเพ็ญ
ด้านนอกกระท่อม หิมะเริ่มตกใหม่ ละอองขาวบางละลายเมื่อแตะขอบหน้าต่างกระดาษ บอกว่ารุ่งสางยังมาไม่ถึงอีกพักใหญ่ ข้าเก็บปิ่นหยกกับจดหมายคืนสู่กระบอกไม้ไผ่ ก้มศีรษะต่ำอย่างไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นการให้คำสัตย์กับตนเอง
“ข้าจะมีชีวิตอยู่” ข้ากล่าวช้า ๆ “และข้าจะทำให้พวกมันจำ ว่าเลือดของสกุลหลานไม่เคยเย็นเป็นน้ำแข็ง”
ม่อเฉินพยักหน้า เงียบงันเป็นคำรับรู้ เขาเก็บของกลับเข้าห่อ วางมีด ขวด และหมากลงรวมกันดังเดิม ก่อนดับเปลวไฟในเตาผิงให้เหลือเพียงไออุ่นกรุ่น คืนยืดยาวจนความคิดในอกสงบลงทีละเล็ก ข้าพิงเสาไม้ หลับตาผ่านครึ่งยามสุดท้ายของค่ำคืนแรกนอกบ้านเกิด เมื่อเปลือกตาหนักอึ้งและสติเลือนไป ข้ารู้เพียงสิ่งเดียว ยามสางที่จะมาถึง จะไม่ใช่เช้าเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อเสียงไก่ป่าร้องจากเชิงเขาแว่วถึง กระดาษหน้าต่างเริ่มสว่างสีเทาจาง ม่อเฉินขยับยืนเต็มความสูง สะพายถุงเครื่องมือไว้ด้านหลัง ถอนกลอนประตูเบา ๆ ลมยามรุ่งสางพัดเข้ามาเย็นเฉียบชำระควันไฟที่ยังหลงเหลือ ก่อนก้าวพ้นธรณี เขาหันมามองข้าอีกครั้ง
“จำไว้ว่าอย่างสุดท้ายของคืนนี้” เสียงเขาเรียบและแน่วแน่ “ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกก้าวของเจ้า จะเป็นประโยชน์ต่อความจริงเพียงข้อเดียว”
ข้าเช็ดความชื้นจากปลายตา สูดลมหายใจลึก แล้วก้าวตามออกสู่ลมหนาว และนั่นคือเช้าวันแรกที่เงากำลังจะกลืนชื่อเก่าของข้าไป พร้อมตั้งชื่อใหม่ให้ทั้งใต้หล้าได้จดจำ
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง