อรดาลอบมองสีหน้าของตัวแทนที่เริ่มเคร่งเครียดขึ้น เธอสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “คุณนาราคะ ดิฉันคิดว่าเงื่อนไขที่ทางคุณ...” เธอหันไปทางตัวแทนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตร “...ทางคุณศักดิ์ดาเสนอมา อาจจะดูเหมือนฝ่ายเราต้องรับภาระมาก แต่ถ้ามองในระยะยาว ดิฉันเห็นว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้พันธมิตรทางธุรกิจนะคะ หากโครงการสะดุด ทางเราชดเชยไปก่อนก็เพื่อให้โครงการไม่ล้ม แล้วภายหลังเมื่อโครงการเริ่มทำกำไร เราก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนมาพร้อมดอกผล ความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสองบริษัทก็จะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นด้วยค่ะ”
ตัวแทนเหลือบสายตามองอรดาเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนคนได้ที ขณะที่นาราหันขวับไปมองเลขาคนสนิท แววตาฉายความประหลาดใจผสมไม่พอใจเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับเป็นเยือกเย็นเช่นเดิม เธอไม่คิดว่าอรดาจะออกหน้าสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ “อรดา” นาราเอ่ยชื่อเลขาด้วยเสียงเรียบเย็น ปราศจากสรรพนามหรือคำลงท้ายใดๆ น้ำเสียงนั้นห้วนสั้นจนอรดาสะดุ้งน้อยๆ “ฉันเข้าใจว่าเธอหวังดี แต่ขอให้จำไว้ว่าเราอยู่ฝ่ายไหน” แค่ประโยคสั้นๆ แต่ทุกคำหนักแน่นดั่งหินผาที่ตกกระทบพื้นห้องประชุม อรดาหน้าถอดสีในทันที เธอก้มหน้ารับคำ “ขอโทษค่ะ ดิฉันล้ำเส้นเกินไป” เสียงเธอแผ่วลงอย่างสำนึกผิด นาราพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาตัวแทนฝั่งตรงข้าม สายตาคมกริบของเธอฉายแววเยือกเย็น “ต้องขออภัยด้วยค่ะ คุณคงเข้าใจว่าฉันมีหน้าที่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทฉัน” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ทรงอำนาจ “ข้อเสนอที่คุณยื่นมา ในส่วนของการแบ่งผลประโยชน์และเงื่อนไขความรับผิดชอบ ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เราจะยอมรับได้ค่ะ” คุณศักดิ์ดาตัวแทนตระกูลเดชาสกุลวงศ์เผลอกำมือแน่นใต้โต๊ะโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงฝืนยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น คุณนาราอยากให้เราแก้ไขปรับปรุงตรงไหนได้บ้างครับ เรายินดีรับฟัง” น้ำเสียงเขายังคงความสุภาพ ทว่าความขุ่นมัวส่อแววผ่านทางสายตา นาราสบสายตาคู่นั้นโดยไม่หลบ รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าราวกับเธอเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า “ดิฉันเกรงว่าในส่วนหลักการ เราคงไม่สามารถตกลงตามข้อเสนอนี้ได้ค่ะ หากจะร่วมลงทุนกันจริง ผลประโยชน์และความเสี่ยงต้องแบ่งกันอย่างเป็นธรรม มิใช่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว” เธอใช้ถ้อยคำนุ่มนวลแต่เฉียบคม “เว้นเสียแต่ทางคุณศักดิ์ดาจะมีข้อเสนอใหม่ที่สมดุลกว่านี้ ดิฉันคงต้องขอปฏิเสธความร่วมมือครั้งนี้ค่ะ” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่หึ่งแผ่วเบา นารายังคงนั่งสงบนิ่ง ในขณะที่ตัวแทนฝั่งตรงข้ามสีหน้าเครียดขึง รอยยิ้มจอมปลอมจางหายไปจากใบหน้าเขาโดยสิ้นเชิง นาทีนี้เองที่อีกฝ่ายตระหนักว่าการเจรจาคงมาถึงทางตันแล้ว “น่าเสียดายนะครับ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นช้าๆ เน้นเสียงทุกคำ น้ำเสียงสุภาพนั้นเจือความเย็นเยียบ “ผมเองก็คาดหวังว่าจะได้ร่วมงานกับวรเมธินทร์ กรุ๊ป อย่างราบรื่น” เขาปิดแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าลงแผ่วเบา “แต่ในเมื่อคุณนารายืนยันเช่นนี้ ทางเราคงต้องนำเรื่องกลับไปทบทวน” “ค่ะ” นาราตอบรับสั้นๆ “ถ้าหากทางคุณมีข้อเสนอที่ปรับปรุงแล้ว เรายินดีรับพิจารณาใหม่อีกครั้งค่ะ” แม้ถ้อยคำจะเปิดช่องไว้ แต่น้ำเสียงเธอหนักแน่นจนฟังดูกลายๆ ว่าโอกาสนั้นริบหรี่เต็มที ตัวแทนฝั่งตรงข้ามยืนขึ้น อรดาและนาราเองก็ลุกขึ้นยืนตามมารยาท “ขอบคุณสำหรับเวลาของคุณนารา” เขายื่นมือออกมา นารายื่นมือไปจับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางตามมารยาท แต่สัมผัสมือของเธอหนักแน่นมั่นคงจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ “เช่นกันค่ะ ขอบคุณที่ให้เกียรติมาเสนอข้อเสนอ” นารากล่าวพร้อมพยักหน้าเชิงบอกลา เมื่อแขกผู้มาเยือนเดินลับออกจากห้องไปแล้ว ประตูไม้หนักก็ปิดลง อรดายืนนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย ในใจของเธอก้ำกึ่งระหว่างความละอายและหวาดหวั่น นาราหันมามองหน้าเลขาของเธอนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนารายังคงเยือกเย็นแฝงแววผิดหวังเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเมินสายตาไปทางหน้าต่าง “เตรียมสรุปรายงานการประชุมครั้งนี้ส่งให้ฉันภายในวันนี้” นาราสั่งเสียงเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ จากนั้นเธอก็สาวเท้าออกจากห้องประชุม ปล่อยให้อรดายืนก้มหน้ารับคำอยู่ลำพัง ภายนอกหน้าต่าง อาคารสูงระฟ้าทิ่มแทงเข้าไปในผืนฟ้าสีหม่น แสงแดดยามบ่ายทอประกายอ่อนลง ราวกับวันที่ยาวนานนี้กำลังจะสิ้นสุด แต่เบื้องหลังความเงียบงันที่ปกคลุมทิวทัศน์เมือง กลับมีบางสิ่งเริ่มเคลื่อนไหวในเงามืด ใต้ถุนอาคารสำนักงานของวรเมธินทร์ กรุ๊ป รถยนต์คันหรูของตัวแทนตระกูลเดชาสกุลวงศ์แล่นออกมาอย่างเนิบช้า ภายในรถ ชายผู้นั้นกดโทรศัพท์มือถือแนบหู พลางเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสุภาพอ่อนโยนบัดนี้แข็งกร้าว “นายท่านครับ... แผนขั้นแรกไม่สำเร็จ” เขากล่าวเสียงเบาแต่หนักแน่น คล้ายรายงานข่าวร้ายให้ผู้เป็นนายฟัง “ครับ...ผมเข้าใจครับ... แน่นอน ผมจะจัดการตามแผนสอง” ปลายสายพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มพยักหน้ารับ สีหน้าเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่กลับปรากฏรอยยิ้มมุมปากที่ดูเย็นชา “ครับ... อรดาทำได้ดี เธอคงช่วยเราได้อีกมาก” เขาตอบเบาๆ ก่อนจะกดวางสาย รถยนต์คันนั้นแล่นไปหลังกำแพงเงามืดของอาคารสูง ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าเงียบงัน แต่นาราหารู้ไม่ว่า กลเกมในเงามืดได้เริ่มเดินแล้ว และเงานั้นกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ความเงียบสงบของบ่ายวันนั้นจึงเป็นเพียงภาพลวงตาก่อนพายุใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดเบื้องหน้า หลังจากการประชุมอันยาวนานจบลงในบ่ายวันนั้น นาราใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องทำงาน ไม่ได้เปิดเอกสารใด ไม่แม้แต่จะเปิดคอมพิวเตอร์ เธอเพียงนั่งมองภาพวิวเมืองเบื้องหน้าผ่านกระจกบานใหญ่ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยอยู่ท่ามกลางความเงียบ จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามจังหวะสั้น ๆ ตามด้วยเสียงเปิดประตูแบบไม่รอคำอนุญาต “เซอร์ไพรส์!” เสียงใสร่าเริงดังขึ้นก่อนจะเห็นตัว นาราหันไปตามเสียงนั้น แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างอัตโนมัติ หญิงสาวในชุดเดรสสีสด ผมยาวสลวยถูกมัดครึ่งศีรษะอย่างมีสไตล์ ใส่แว่นกันแดดไว้บนศีรษะ เดินเข้ามาพร้อมถุงขนมแน่นมือ “พราวฟ้า...” นาราเรียกชื่อเพื่อนรักอย่างแผ่วเบา “เธอมาที่นี่ได้ยังไง” “มาหาเพื่อนสิยะ ไม่ดีใจเหรอ หรือกลัวว่าฉันจะเอาน้ำปลาร้ามาเทในห้องประชุม” ฉับพลันความทรงจำครั้งก่อนที่พราวฟ้ากลับจากการไปถ่ายละคร เธอได้นำส้มตำปูปลาร้าเจ้าดังเจ้าประจำวิ่งเข้ามาหานาราที่ห้องประชุม ทว่ารองเท้าส้นสูงเจ้ากรรมดันมาทรยศเธอเสียได้ ทันทีที่ส้นรองเท้าหักลง ถุงส้มตำก็ได้แตกกระจายลงบนพื้นห้องประชุมอย่างไม่เหลือติดที่ถุงเลยแม้แต่น้อย แค่คิดถึงกลิ่นที่ฟุ้งกระจายจนต้องย้ายไปห้องประชุมใหม่ทั้งอาทิตย์ นาราก็ย่นจมูกออกมาโดยไม่รู้ตัว "โอ๊ย! แก วันนี้ไม่มีหรอกจ้าส้มตำน่ะ ไม่ต้องมาทำท่าน้ำลายสอ" พราวฟ้าพูดออกมาอย่างหน้าตาย ".............." พราวฟ้ายักคิ้วขำ ๆ แล้ววางถุงขนมลงบนโต๊ะอย่างอลังการ “ขนมครกจากเจ้าโปรดของแก ไข่ปลาหมึกทอดจากร้านหน้า ม. และนี่....ชาไทยจากร้านเก่าที่เราเคยนั่งเม้าท์ผู้ชายกันตอนปีสาม!” นาราหลุดหัวเราะในลำคอ เสียงของพราวฟ้าเหมือนกลิ่นดินหลังฝน สดชื่นและปลอบโยนโดยไม่ต้องพยายาม “ขอโทษนะนารา...” พราวฟ้าทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ น้ำเสียงแผ่วลง “ตอนงานศพฉันติดกองถ่ายอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้มาหาเลย พอเสร็จงานก็รีบบึ่งมาหาแกก่อนใคร” “ไม่เป็นไรเลยฟ้า” นาราส่ายหน้าเบา ๆ “แค่เธอมาตอนนี้ ฉันก็ดีใจมากแล้ว” พราวฟ้าเอื้อมมือไปจับมือเพื่อน “ฉันรู้ว่าแกต้องเข้มแข็งเพราะแบกรับทุกอย่างไว้ แต่วันนี้ขอฉันเป็นคนแบกแกบ้างได้ไหม?” นารายิ้มจาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ฟ้า...ฉันคิดถึงเสียงหัวเราะของเธอ” “ถ้างั้นเดี๋ยวกินไข่ปลาหมึกก่อน แกจะได้หัวเราะทั้งน้ำตาแน่นอน” พราวฟ้าพูดติดตลก พลางยื่นถุงขนมให้นารา “อร่อยจนอยากบวชทดแทนพ่อค้าเลยล่ะ” นาราหัวเราะเบา ๆ ครั้งแรกในรอบหลายวัน เสียงนั้นสั้น แต่มันออกมาจากใจจริง “แล้วนี่...อรดาเป็นยังไงมั่ง” พราวฟ้าถามขึ้นระหว่างที่หยิบขนมใส่ปาก “ยังทำงานกับแกอยู่ใช่ไหม จำได้เลยว่าสมัยเรียน นางนี่เงียบเป็นเปลือกหอยใต้ทะเลทราย” นาราหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ใช่...แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปเยอะมาก ทำงานเก่งขึ้น คล่องแคล่ว ช่วยฉันได้เยอะเลยตอนช่วงที่แย่ที่สุด” “แหม...เปลือกหอยแปลงร่างเป็นเลขาเต็มตัวสินะ” พราวฟ้าหรี่ตา “แต่เอาจริง ๆ นะนารา เมื่อก่อนเธอก็ไม่ได้สนิทกับอรดาเท่าไหร่ใช่ไหม อยู่คณะเดียวกันก็จริง แต่ฉันจำได้ว่าอรดาชอบแยกตัวไม่ค่อยยุ่งกับพวกเรา” “ก็แปลกดีเหมือนกัน” นาราพยักหน้าเบา ๆ “แต่เธอก็อยู่กับฉันมาหลายปีแล้วนี่แหละ ตอนกานต์เสีย เธอก็ช่วยฉันแทบทุกอย่าง” พราวฟ้าอมยิ้ม ก่อนจะว่าพูดต่อ “ก็หวังว่า...นางจะช่วยด้วยใจนะ ไม่ใช่แค่เพราะอยากอยู่ใกล้อำนาจ” เธอทำเสียงกระซิบแล้วชะโงกหน้ามาหานารา “จะว่าไป หลัง ๆ นี้ นางแต่งตัวแซ่บขึ้นนะ ฉันเห็นนางใส่บิกินนี่ในเฟสนางด้วยล่ะ!” นาราส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ฟ้า...เธอนี่มัน...เหมือนเดิมเลย” “แน่นอนสิยะ” พราวฟ้ายักไหล่ “ฉันไม่เปลี่ยนหรอก เพราะโลกมันเปลี่ยนเร็วพออยู่แล้ว แต่แก...อย่าให้ความเศร้าทำให้แกลืมว่าตัวเองเคยหัวเราะยังไงนะนารา” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนเป็นจริงจังในบัดดล นาราชะงัก เธอไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่สบตาเพื่อนรัก หัวใจเธอก็คล้ายจะเบาลงนิดหนึ่ง พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงด้านนอก แสงสีทองอบอุ่นสาดผ่านกระจก สองหญิงสาวยังคุยกันเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องอดีต คนรัก ความฝัน และเรื่องไร้สาระที่ทำให้หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา พราวฟ้าไม่ได้มาในฐานะนักแสดงชื่อดัง แต่ในวันนี้ เธอมาในฐานะเพื่อนคนที่ไม่ต้องมีคำปลอบยืดยาว แค่ยื่นขนมครกอุ่น ๆ กับรอยยิ้มที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แสงเย็นของวันคลี่ตัวลงอย่างช้า ๆ ถนนหน้าบริษัทเงียบสงบกว่าปกติ นารากับพราวฟ้าเดินออกจากอาคารด้วยกัน พร้อมถุงขนมที่เหลือจากมื้อเล็ก ๆ ในห้องทำงาน “ให้ฉันไปส่งไหม” พราวฟ้าถามพลางกดรีโมทรถเปิดประตู “วันนี้ใส่ส้นสูงมาเพราะคิดว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์กับแก เลยเอารถคันเล็กมา แต่ก็ยังพาเพื่อนกลับบ้านได้แบบสบายบรื๋อ!” นาราหันไปมองรถตัวเองที่จอดอยู่ตรงที่จอดรถผู้บริหาร “แต่...ฉันขับรถมาเองนะ” “ก็โทรหาคนขับรถประจำตัวแกสิ ให้เขามาขับกลับไปแทน” พราวฟ้าพูดอย่างง่ายดาย “จะเก็บไว้ให้มันเหงาอยู่ตรงนี้ทำไมล่ะ รถก็ต้องการคนดูแลเหมือนหัวใจแหละ!” นาราหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ “โอเค ๆ เดี๋ยวโทรให้ลุงอำนวยมารับ” พราวฟ้าพยักหน้าทันที “ดีมากค่ะคุณผู้บริหาร หัดปล่อยบ้างอะไรบ้าง วันไหนมีเพื่อนให้พึ่งก็ต้องพึ่ง ไม่ใช่ทำเองทุกเรื่องยันล้างครัว!” “ฉันไม่เคยล้างครัวนะยะ” นาราพูดพลางยิ้ม “ไม่ล้างแต่ทำให้ระเบิดได้ใช่ไหม!” พราวฟ้าตอบทันควัน เพราะรู้ซึ้งถึงฝีมือการทำครัวของเพื่อนรักเป็นอย่างดี เธอเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับ “ขึ้นมาเลยนารา วันนี้ฉันจะพาแกกลับบ้านอย่างปลอดภัย เหมือนมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันเลยแหละ!” เมื่อมาถึงบ้าน พราวฟ้าเดินตามนาราเข้าไปโดยไม่ต้องขออนุญาต “โอเค! ขอตั้งหลักก่อนนะ” เธอถอดรองเท้าส้นสูงออกแล้วยืนยืดตัวเหมือนกำลังอยู่ในห้องซ้อมละคร “แหม...บ้านยังอบอุ่นเหมือนเดิมเลย ถึงจะขาดเจ้าของเสียงกวน ๆ ไปก็เถอะ” นารานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เงียบไปเยอะเลยจริง ๆ ...จนบางทีก็กลัวความเงียบ” “งั้นแกก็โชคดีแล้วล่ะที่ฉันมาวันนี้” พราวฟ้าโพล่งขึ้น “เพราะต่อจากนี้ ความเงียบจะหมดไปแน่นอน ฉันจะอยู่ด้วยหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ!” “หือ?” นาราหันมามองงุนงง พราวฟ้าไหวไหล่แบบไม่รู้ไม่ชี้ “ก็ไหน ๆ ฉันก็กลับมาแล้วนี่นา ขี้เกียจกลับคอนโด อยู่คนเดียวมันเหงาแถมขี้เกียจล้างจานด้วย มาอยู่บ้านแกดีกว่า แกก็จะได้ไม่เหงา ฉันก็จะได้กินข้าวฟรี ดีจะตาย!” นาราหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง คราวนี้ยาวกว่าเดิม “แล้วงานละครล่ะ?” “คิวถ่ายว่างไปหนึ่งอาทิตย์พอดี” พราวฟ้าตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโชว์ตาราง “ผู้กำกับบอกให้พักผิว เอ๊ย...พักบท ฉันเลยถือโอกาสมาเป็นนักแสดงพิเศษให้แกแทน แสดงบท ‘เพื่อนสุดปังผู้เยียวยาหัวใจ’ เข้าใจไหม?” นาราส่ายหน้าแล้วพยักหน้ายิ้ม ๆ ในคราวเดียวกัน “โอเค งั้นคืนนี้นอนห้องเดิมนะ ฉันจะปูเตียงให้” พราวฟ้ายกมือขึ้นทำท่าซาบซึ้งแบบนางเอกละคร “โอ๊ย ขอบคุณค่าเพื่อนรัก” เธอหันมามองนาราแล้วแกล้งทำเสียงจริงจัง “แต่ถ้าคืนนี้แกไม่อยากนอนคนเดียว ฉันอยู่โต้รุ่งดูหนังกับแกได้ยันเช้า โอเค๊!” นาราไม่ตอบ เธอเพียงแค่พยักหน้า...ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเพื่อนรักแน่น ๆ อ้อมกอดที่อุ่นพอจะทำให้หัวใจที่แหลกละเอียด รู้สึกเหมือนได้หายใจอีกครั้ง คืนนั้น ทั้งคู่กินขนม ดูซีรีส์ที่เคยดูด้วยกันเมื่อตอนเรียน และหัวเราะจนเกือบลืมว่าหัวใจเคยมีรอยแผล แม้จะเพียงหนึ่งอาทิตย์ แต่พราวฟ้าเชื่อว่า...นั่นมากพอจะเติมแสงอ่อน ๆ ให้เพื่อนของเธอได้มีแรงยืนอีกครั้ง ........................................ หนึ่งสัปดาห์หลังจากพราวฟ้ากลับไปทำงานที่กองถ่าย นาราก็กลับมาโฟกัสงานในบริษัทอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ภายใต้แสงแฟลชจากกล้องสื่อมวลชนในงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญใหม่ "7 คืน 7 ประสบการณ์" เสียงกดชัตเตอร์รัวไม่ขาดสาย หญิงสาวในชุดสูทสีงาช้างยืนอยู่กลางเวที ดวงตาแน่วแน่ ริมฝีปากมีรอยยิ้มที่เรียบสงบ “เราเชื่อว่า…ประสบการณ์ของลูกค้า ไม่ใช่สิ่งที่บริษัทควรบอกว่าคืออะไร แต่คือสิ่งที่ลูกค้ารู้สึก และอยากแบ่งปัน” นาราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ละมุน “และวรเมธินทร์จะเป็นพื้นที่ให้คุณเล่าเรื่องเหล่านั้นออกมา” เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง แต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังการเปิดตัว เสียงปรบมือกลับกลายเป็นเสียงวิจารณ์ การแถลงข่าวของโรงแรมคู่แข่งถูกปล่อยออกมา พร้อมแคมเปญที่ใช้ชื่อและแนวคิดแทบไม่ต่างจากของนารา ทั้งภาพโปรโมท คอนเซปต์ และรูปแบบกิจกรรม ซึ่งทางคู่แข่งได้ว่าจ้างนักแสดงชั้นนำและอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและนักลงทุน โลกออนไลน์เริ่มตั้งคำถามอย่างดุเดือด “ใครเป็นคนคิดก่อน?” “หรือทั้งหมดนี้...แค่ร่วมมือกันสร้างกระแส?” “วรเมธินทร์กำลังลอกแคมเปญหรือ” แม้จะมีคนบางส่วนออกมาปกป้อง แต่กระแสหลักกลับเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ อีเมลจากพันธมิตรธุรกิจถูกส่งเข้ามาเป็นระยะ เสียงโทรศัพท์จากนักข่าวดังไม่หยุดหย่อน บางข้อความตรงและเจ็บแสบจนแม้แต่นาราเองก็ต้องนิ่งงันไปชั่วขณะ“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด