แสงแดดยามสายส่องลอดม่านหน้าต่างกระจกของห้องประชุมใหญ่ บรรยากาศเงียบขรึมถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาเงินของผนังและโต๊ะไม้โอ๊กขัดเงา
ริมหน้าต่างเผยให้เห็นภาพเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ เลือนรางหลังม่านบางๆ ให้ความรู้สึกทั้งเปิดเผยและปกปิดในคราวเดียวกัน นารานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ดวงตาคมสบมองแผ่นกระดาษเอกสารเบื้องหน้า ท่ามกลางความเงียบงันของช่วงต้นการประชุม ที่ทุกคนต่างกำลังจับจ้องรายละเอียดบนหน้ากระดาษ ตรงข้ามเธอ ตัวแทนฝ่ายประสานงานธุรกิจของตระกูลเดชาสกุลวงศ์นั่งตัวตรง แววตาเชื่อมั่นหลังกรอบแว่น เขาสวมสูทเนี๊ยบสีเข้ม ด้านข้างมีผู้ช่วยหนุ่มถือแฟ้มเอกสารประกบอยู่ไม่ห่าง ส่วนทางด้านซ้ายมือของนารา อรดา เลขาคนสนิท นั่งสงบนิ่งคอยจดบันทึกตามนิสัยถี่ถ้วน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองนาราแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงดังเดิมเมื่อสบสายตาของเจ้านายสาว “ก่อนอื่น ทางเราขอขอบคุณที่คุณนาราให้เกียรติรับฟังข้อเสนอความร่วมมือในวันนี้” เสียงทุ้มนุ่มของตัวแทนดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาเผยยิ้มบางตามมารยาท พลางสบตาทุกคนในห้อง “โครงการโรงแรมและศูนย์การค้าที่เราจะร่วมกันพัฒนาครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับทั้งวรเมธินทร์กรุ๊ป และตระกูลเดชาสกุลวงศ์ เรามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการผนึกกำลังของสองขั้วธุรกิจ” นารายิ้มบางๆ รับคำด้วยการผงกศีรษะเล็กน้อย ความสุภาพเรียบร้อยของเธอคล้ายผืนผ้ากำมะหยี่ที่ปกคลุมคมมีดไว้ เมื่อคู่สนทนาเริ่มกล่าวต่ออย่างฉะฉาน เธอจึงทอดสายตามองเขานิ่ง รอฟังด้วยสมาธิจดจ่อ ตัวแทนยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงใจ “จากการวิเคราะห์ของฝ่ายเรา โครงการนี้จะสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลในระยะยาว ภายในห้าปีแรก ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) คาดว่าจะสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของอุตสาหกรรมถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์” เขาพลิกหน้ากระดาษสไลด์ประกอบคำพูด แผ่นกราฟสีสันสดใสบ่งบอกแนวโน้มเติบโต “ในฐานะหุ้นส่วน เราจึงเสนอการแบ่งผลประโยชน์ที่ยุติธรรม ทั้งสองฝ่ายได้รับส่วนแบ่งเท่าเทียมกันที่ 50/50 ตามสัดส่วนการลงทุนเริ่มต้น” ได้ยินดังนั้น อรดาแอบเงยหน้ามองนาราแวบหนึ่ง แววตาของเธอฉายแสงยินดีอย่างระมัดระวัง ขณะที่ตัวแทนกำลังพูดถึงตัวเลขน่าสนใจ ทว่าดวงตาของนารากลับนิ่งสงบ ริมฝีปากเม้มเรียบสนิท ยังไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมาเผยความคิดในใจ “นอกจากนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ทางฝ่ายเรายินดีที่จะจัดหาผู้บริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์มาช่วยบริหารช่วงเริ่มต้น โดยคิดค่าบริหารในอัตราพิเศษ” ตัวแทนกล่าวต่อไปด้วยท่าทีใจดี “และเพราะเราตระหนักถึงความสำคัญของชื่อเสียงแบรนด์วรเมธินทร์ เราจึงพร้อมให้โครงการใช้ชื่อโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเราซึ่งติดอันดับโลก เพื่อดึงดูดลูกค้าต่างชาติ สิ่งเหล่านี้เราทำเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน” เขาย้ำคำว่า "ร่วมกัน" อย่างให้ความหวัง นารายกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้เขาหยุดการนำเสนอชั่วคราว “ข้อเสนอของคุณน่าสนใจมากค่ะ” เธอเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “แต่ฉันขออนุญาตสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ที่คุณว่า 50/50 นั้น...” ตัวแทนชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนกลับมายิ้มรับ “ได้สิครับคุณนารา เชิญสอบถามตามสบาย” เขาผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ แต่ภายใต้แววตานั้น มีประกายบางอย่างวูบผ่านเหมือนคนที่เตรียมพร้อมรับมือ เธอเลื่อนเอกสารสัญญาฉบับร่างตรงหน้ามาใกล้ พลางกล่าวช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “ตามสัญญาที่ส่งมาให้เราเมื่อคืน ฉันเห็นว่ามีการระบุถึง ‘ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ’ ที่ทางเราต้องจ่ายให้กับบริษัทในเครือของคุณปีละสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของโครงการ” ดวงตาของนารายังจับจ้องเอกสาร แต่ทุกคำที่กล่าวออกมาส่งผลให้รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของตัวแทนค่อยๆ หุบลง “ซึ่งหากนับค่าใช้จ่ายส่วนนี้เข้าไปในการคำนวณสุดท้าย สัดส่วนผลกำไรจริงๆ ที่ทางวรเมธินทร์จะได้รับจะไม่ถึง 50% ตามที่กล่าวอ้าง จริงไหมคะ?” บรรยากาศในห้องประชุมเปลี่ยนไปทันที คำถามของนาราทำให้ความสุภาพที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเมื่อครู่กลายเป็นความหนักอึ้งที่กดทับลงมาบนบ่าของทุกคน อรดาเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของตนอย่างตกใจเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นก้มหน้าจดบันทึกต่อ ท่ามกลางความเงียบ ตัวแทนนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะแค่นยิ้มบางๆ “โอ้ เป็นความจริงที่มีการคิดค่าบริหารครับ” เสียงหัวเราะในคอของชายผู้นั้นฟังแห้งแล้งไปถนัดตา “แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าบริษัทของเราเชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงแรมระดับสากล เราจะนำความรู้และเครือข่ายทั้งหมดยกระดับโครงการนี้ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จึงถือเป็นการลงทุนเพื่อความสำเร็จระยะยาว คุณนารามองว่าไม่คุ้มค่าอย่างนั้นหรือครับ” นาราเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายด้วยความเฉียบแหลม “ฉันเข้าใจดีถึงคุณค่าของการบริหารมืออาชีพค่ะ แต่ตามหลักการร่วมลงทุน ผลประโยชน์ควรจะต้องสมดุลกับความเสี่ยง” เธอเว้นช่วงให้อีกฝ่ายรับฟัง “หากฝ่ายเราเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายนี้เพียงลำพัง นั่นหมายความว่าสัดส่วนกำไรแท้จริงของเราจะลดลงเหลือราวสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ทางคุณได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่นนี้เรียกว่าการแบ่งผลประโยชน์ที่เท่าเทียมได้หรือคะ?” น้ำเสียงเธอยังคงสุภาพทว่าคมกริบ ตัวแทนขยับตัวเล็กน้อยในที่นั่ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะก่อนกลับมาเรียบเฉย “คุณนาราช่างรอบคอบมากครับ” เขาชม พลางปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นยิ้มสุภาพตามเดิม “แน่นอน เราสามารถเจรจาปรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายได้ หากนั่นเป็นห่วงกังวลของทางคุณ” “ยังมีอีกประเด็นค่ะ” นาราเอ่ยต่อทันที ดวงตาไม่ละจากใบหน้าของชายตรงข้าม “ในสัญญามีการระบุว่า หากผลประกอบการของโครงการต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เกินสิบเปอร์เซ็นต์ต่อเนื่องกันสองไตรมาสติดต่อกัน ทางวรเมธินทร์กรุ๊ป ต้องชดเชยส่วนต่างกำไรให้กับทางคุณ” เธอหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อชัดถ้อยชัดคำ “นั่นหมายความว่า ไม่ว่าผลประกอบการจะดีหรือแย่ ทางคุณได้รับกำไรตามเป้าแน่นอน ในขณะที่ฝ่ายเราต้องรับความเสี่ยงขาดทุนแต่เพียงผู้เดียว” คราวนี้เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นจากผู้ช่วยของตัวแทนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เขาก้มลงมากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเจ้านายของตน สีหน้าตัวแทนตระกูลเดชาสกุลวงศ์เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นหยุดผู้ช่วย แล้วหันกลับมาพูดกับนาราด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกกว่าเดิมเล็กน้อย “เงื่อนไขนั้นเป็นเพียงหลักประกันเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อได้ในยามวิกฤตครับ ต้องเข้าใจว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการความมั่นใจ” “ความมั่นใจ หรือความได้เปรียบคะ?” นาราย้อนถามทันควัน ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก “ดิฉันเข้าใจความปรารถนาดีของคุณ แต่เงื่อนไขนี้ทำให้ฝ่ายเราต้องรับภาระเกือบทั้งหมดยามเกิดปัญหา ในขณะที่ฝ่ายคุณไม่ต้องกังวลอะไรเลย อย่างนี้เกรงว่าจะเรียกความร่วมมืออย่างเป็นธรรมไม่ได้”“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด