“คุณหนูกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ จื่อถิงเห็นคุณหนูคิดสิ่งใดไม่ตกมาได้สองสามวันแล้ว” จื่อถิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นนายนิ่งคิดผิดปกติ
ไป๋ฟางเซียนยังคงไม่ตอบ นางนิ่งคิดกับตนเอง ว่าควรจะเดินไปหนทางไหนดี ที่ตัวนางจะไม่ต้องเสี่ยงหรือเจ็บตัว และมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้หลี่เหวินหลางหย่าขาดจากนางโดยที่บิดามารดาบุญธรรมทั้งสองไม่เอ่ยแย้ง
ใช่แล้ว สิ่งที่ไป๋ฟางเซียนคิดและต้องการมากที่สุดก็คือการหย่า นางต้องการเป็นอิสระ จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการอย่างใจหวังได้ ไม่ใช่อย่างตอนนี้ ที่จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงหน้าคนผู้นั้นผู้นี้อยู่ตลอด
การหย่าที่นางต้องการหากพูดก็เหมือนง่าย แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดและเข้าใจ การที่สตรีหย่าขาดสามีสำหรับยุคนี้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นนางต้องรอเวลาและคิดหาวิธีการอย่างแยบยล ถึงจะสามารถทำตามใจที่ต้องการได้
นอกจากนี้แล้ว ไป๋ฟางเซียนยังคิดถึงปัจจัยหลักด้วยว่า หากนางหย่าขาดจากบุรุษผู้นั้นจริง อนาคตข้างหน้านางจะกินอะไร จะอยู่เช่นไร ส่วนเรื่องที่ยุคนี้สตรีไม่นิยมหย่าขาดจากสามีเพราะความเชื่อที่มีมาแต่โบราณนางไม่ได้นึกกลัวเลยสักนิด ที่นางกลัวคือ การอดตายมากกว่า
สิ่งแรกที่ไป๋ฟางเซียนคิดหลังจากหย่าขาดจากกันได้คือ ปัจจัยพื้นฐานทั้งสี่ของมนุษย์เรา ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม อาหารและยา ส่วนเรื่องเงินนางไม่กังวลเลยสักนิด เพราะมั่นใจว่าถ้าหย่าขาดได้จริง นางคงได้รับสินสมรสไม่มากก็น้อย เผลอ ๆ นางจะกลายเป็นเศรษฐินีในชั่วพริบตาเลยด้วยซ้ำ
ตระกูลแม่ทัพไม่ใช่ร่ำรวยมากหรอกหรือ นางมิเชื่อว่าตระกูลหลี่จะยากจนข้นแค้นหรอกนะ
และที่คิดไม่ตกอยู่ตอนนี้คือ ทำอย่างไรนางถึงจะหย่าขาดจากเขาได้ต่างหาก เท่าที่ดูท่าทีของบิดามารดาบุญธรรมแล้ว คงยากที่จะให้นางหย่าและแยกตัวออกไป สิ่งเดียวที่นางพอจะทำได้ตอนนี้คือ ทำให้สามีในนามผู้นี้เกลียด นางจึงจะใช้ข้ออ้างนี้มาพูดกับผู้เป็นใหญ่ของจวนได้
นอกจากนี้ นางต้องหย่าออกไปด้วยเหตุผลน่าสงสารพอตัว และต้องไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ชาวบ้านจะได้ไม่ร่ำลือนางในทางเสีย ๆ หาย ๆ เพราะแค่เป็นสตรีหย่าขาดสามีก็คงถูกผู้คนโจษจันมากพอแล้ว หากหย่าโดยมีความผิดนางคงไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นแน่ ชาวบ้านชาวเมืองคงพูดถึงนางกันอย่างสนุกปาก
เสี้ยวหนึ่งไป๋ฟางเซียนคิดทำให้หลี่เหวินหลางกลายเป็นบุรุษน่ารังเกียจ เป็นที่โจษจันของชาวบ้าน แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ที่ครอบครัวเขาอุ้มชูเจ้าของร่างมา ก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้นไป ที่สำคัญการที่แม่ทัพกลายเป็นที่โจษจันของชาวบ้านนับว่าไม่ใช่เรื่องดี รังแต่จะนำปัญหามาให้ อีกอย่างบุรุษเช่นเขาคงมิสามารถทำอันใดได้ง่าย ๆ ทว่าจะให้เขาไม่ผิดเลยก็ไม่ได้ อย่างน้อยสามีของนางผู้นี้ ควรถูกต่อว่าจากปากผู้อื่นบ้าง
แต่จะทำให้เขาถูกต่อว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก เอาเป็นว่าระหว่างนี้ก็ทำให้เขาเกลียดจนถึงที่สุดก่อนก็แล้วกัน คงไม่ยากเท่าใดนัก ยิ่งไม่รักกันแบบนี้แล้ว ยิ่งง่ายต่อการจัดการ
“คุณหนู”
เฮ้อ! คิดไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา เอาเป็นว่าตอนนี้สิ่งที่นางสมควรทำที่สุดคือการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย จะได้ไม่แปลกแยกเกินไปนัก ส่วนเรื่องหย่านั้นแน่นอนว่านางไม่ได้คิดทิ้ง เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เมื่อตอนนี้ไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีกจึงหันไปหาสาวรับใช้คนสนิทแทน
“ไม่มีอะไรหรอกน่า จริงสิจื่อถิง เจ้าเคยบอกข้าว่า ท่านพ่อท่านแม่ที่แท้จริงของข้ามีร้านขายผ้าในเมืองหลวงใช่ไหม”
“เจ้าค่ะคุณหนู จื่อถิงบอกคุณหนูหลายครั้งแต่คุณหนูก็ไม่สนใจ... คุณหนูถามจื่อถิงเช่นนี้แสดงว่าคุณหนูสนใจแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายวิบวับ นางเพียรพูดถึงร้านขายผ้าสมบัติชิ้นสุดท้ายที่บิดามารดาที่แท้จริงของคุณหนูทิ้งไว้ให้หลายครั้ง แต่คุณหนูของนางก็ไม่สนใจเสียที การที่คุณหนูเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงด้วยตนเองเช่นนี้จะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร
“แล้วร้านเป็นอย่างไรบ้าง ใหญ่โตมากหรือไม่” ไป๋ฟางเซียนถามด้วยความสนใจและกระตือรือร้น หากนี่เป็นร้านของนางจริงหมายความว่า ในอนาคตหากนางหย่าขาดออกไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตายหรือไม่มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองแล้ว
ได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นและสายตาคาดหวังของคุณหนูของตน จื่อถิงก็ทำอันใดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรบอกออกไปเช่นไรดี จึงทำได้ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปเท่านั้น
“พูดมา ไม่ต้องยิ้มแบบนี้เลย” ไป๋ฟางเซียนบอก แค่เห็นรอยยิ้มและสายตาของอีกฝ่าย นางก็คาดเดาได้แล้วว่า ร้านผ้าที่ว่าคงไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่นางคิดและคาดหวัง
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร