All Chapters of รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์: Chapter 1131 - Chapter 1140

1180 Chapters

บทที่ 1131

“สิ่งที่เจ้าควรทำที่สุดไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือไปที่ใด”สวีฉังชิงหันไปมองสวีจวินโหลวแล้วกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าควรทำที่สุด คือทำให้ดีในสิ่งที่ฝ่าบาททรงคาดหวังให้เจ้าไปทำให้สำเร็จต่างหาก”สวีจวินโหลวชะงักไปครู่หนึ่งสวีฉังชิงเดินนำไปพลางพูดว่า “ข้าเองก็เพราะเป็นห่วงจึงใจร้อนไปหน่อย ในเมื่อเรื่องนี้ตัดสินแล้ว ก็อย่าแบกภาระทางความคิดไว้มากนัก ทำตามพระบัญชาของฝ่าบาทก็พอ แม่นางวั่นก็พูดมีเหตุผล ข้ากับเจ้าล้วนเป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงทอดทิ้งพวกเราได้หรือ?”สวีจวินโหลวเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร เดินตามหลังสวีฉังชิงกลับบ้านไปอย่างเงียบๆเพียงแต่ในหัวของเขานั้น ภาพใบหน้ายิ้มพรายในแสงตะเกียงของวั่นเจียวเจียวยังคงวนเวียนไม่หยุดราวกับถูกดลใจ สวีจวินโหลวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ท่านอา ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษา”สวีฉังชิงหันไปมองเขาหนึ่งแวบ “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”แต่สวีจวินโหลวเพียงแค่จะอ้าปาก ใบหน้าก็แดงซ่านขึ้นมาเสียก่อนสวีฉังชิงซึ่งผ่านโลกมามาก อีกทั้งยังช่างสังเกต เห็นท่าทีของหลานชายก็หัวเราะออกมาแล้วว่า “หึ หรือว่าเจ้ามีคนที่หมายปองอยู่แล้ว?”สวีฉังชิงหัวเร
Read more

บทที่ 1132

สวีจวินโหลวรู้สึกว่าสวีฉังชิงพูดเกินไป จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง?”“ไม่ร้ายแรงหรือ?”สวีฉังชิงหยุดฝีเท้า หันมาจ้องหน้าสวีจวินโหลวแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับวั่นเจียวเจียวเป็นอย่างไร ต่อให้ไม่มีอะไรส่วนตัวระหว่างกัน แต่วั่นเจียวเจียวรู้ความลับของฝ่าบาทมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่านางจะยังมีโอกาสแต่งงานกับใครได้หรือ? เจ้าคิดว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้นาง? ใครเล่าที่กล้ารับนางเป็นภรรยา?”เขาถลึงตาใส่สวีจวินโหลวที่ยังคงยืนงงอยู่อย่างดุดันแล้วกล่าวต่อ “วันนั้นหน้าตำหนักเฉียนชิง ตอนที่ซานเป่าสิ้นใจ ข้าอยู่ตรงนั้นด้วย คำขอสุดท้ายของเขา ก็คือขอให้ฝ่าบาทเมตตาต่อวั่นเจียวเจียว เรื่องนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกใช่หรือไม่?”สวีจวินโหลวรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังความรู้สึกดีที่เริ่มก่อตัวในใจเขาต่อวั่นเจียวเจียวเมื่อครู่มลายหายสิ้นไปทันที เขารีบพยักหน้ารัวๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ท่านอาวางใจได้ ข้าจะไม่คิดเรื่องแม่นางวั่นอีกแม้แต่น้อย!”เห็นเขาพูดจริงจัง มิใช่พูดเอาตัวรอด สีหน้าของสวีฉังช
Read more

บทที่ 1133

“สวีฉังชิงหรือ?”หลี่เฉินในขณะถูกวั่นเจียวเจียวช่วยแต่งองค์ก็เดินมาถึงโต๊ะ หยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมาเริ่มรับประทานอาหารเช้าระหว่างกินโจ๊ก หลี่เฉินก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เขาว่าอะไรบ้าง?”“เขาพา รองหัวหน้าสำนักจานซื่อมาด้วย คงอยากหาทางจัดวางตำแหน่งที่ดีให้หลานตัวเองกระมัง”วั่นเจียวเจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลนไม่น้อยนางรู้สึกว่าสวีฉังชิงออกจะได้ใจเกินไปแล้วฝ่าบาทเมตตาขนาดนี้ กลับยังไม่รู้จักพอหลี่เฉินถลึงตาใส่วั่นเจียวเจียว “ห้ามพูดจาเหลวไหล”วั่นเจียวเจียวแลบลิ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกหลี่เฉินคีบแป้งแผ่นขึ้นมากินคู่กับโจ๊ก พลางกล่าวว่า “สวีฉังชิงไม่มีบุตร สวีจวินโหลวเป็นหลานชายคนเดียว เขาจึงเลี้ยงดูราวกับลูกแท้ๆ”“สวีจวินโหลวยังหนุ่ม ยังมีไฟ ย่อมอยากแสดงความสามารถ มีโอกาสก็ไม่ยอมพลาด”“สองข้อนี้ ล้วนเข้าใจได้ดีทั้งนั้น”“แค่จุดตั้งต้นต่างกันเท่านั้น หาใช่ความผิดไม่ เจ้าอย่าพูดจาลับหลังผู้คนอีก”วั่นเจียวเจียวออดอ้อนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง”“พูดกับข้าก็ยังพอไหว แต่หากเจ้าพูดบ่อยเข้า กลายเป็นนิสัย แล้วมีผู้หวังร้ายได้ยินเข้า จะหาว่าเจ้าเย่อหยิ่งลำพ
Read more

บทที่ 1134

ประตูข้างของพระที่นั่งไท่เหอ หลี่เฉินทรงชุดองค์รัชทายาทประดับมังกรทอง ก้าวขึ้นบันไดอย่างองอาจด้วยอิริยาบถทรงพลัง ก่อนจะหยุดยืนข้างบัลลังก์มังกร“พวกกระหม่อม คาราวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”“องค์รัชทายาทพันปี พันปี พันๆ ปี!”เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ นำโดยจ้าวเสวียนจีและซูเจิ้นถิง พากันก้มคำนับถวายบังคมพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้องหลี่เฉินยกมือขึ้นกล่าวว่า “ขุนนางทุกท่าน ลุกขึ้นเถิด”เมื่อเสร็จพิธีตามธรรมเนียม ประชุมเช้าในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการสายตาหลี่เฉินกวาดมองไปรอบๆ พบว่าขุนนางที่มาร่วมวันนี้หายไปจากเดิมถึงหนึ่งในสามพวกที่หายไป ล้วนไม่ต้องเดาให้มาก ก็เป็นเหล่าวิญญาณที่ถูกประหารภายใต้คมดาบของหัวเสือหลี่เฉินหยุดพักหายใจเล็กน้อย แล้วเริ่มกล่าวขึ้นว่า “ช่วงที่ผ่านมา ในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากมาย พวกท่านล้วนทราบดีอยู่แล้ว”ทั่วพระที่นั่งเงียบสงัด มีเพียงเสียงของหลี่เฉินดังก้องกังวานสะท้อนกับเสาหินแกะสลักมังกร“อดีตจ้าวอ๋อง องค์ชายแปด หลี่อิ๋นหู่ ได้ก่อการขบถ ลุกฮือขึ้นต่อต้านแผ่นดิน โชคดีอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพวกท่าน ขณะนี้เรื่องก็ได้ยุติลงแล้ว”คำพูดประ
Read more

บทที่ 1135

คำว่าปฏิรูปและปรับโครงสร้างนั้น สำหรับขุนนางจำนวนมากแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครเลยที่เป็นคนเขลาหรือไร้ประสบการณ์ถึงจะไม่เคยกินหมู อย่างน้อยก็เคยเห็นหมูวิ่งแม้ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินว่ามีหมูอยู่จริงคำว่าปฏิรูปคำนี้ ในประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์ ถือเป็นคำต้องห้าม เพราะนั่นคือการสั่นคลอนระเบียบเก่าและการตั้งต้นระเบียบใหม่ ซึ่งมักไม่มีวันเกิดขึ้นโดยง่าย โดยปกติแล้ว เมื่อราชวงศ์หนึ่งก่อตั้งขึ้น ระบบระเบียบจะถูกกำหนดไว้แต่ต้น และมักจะดำรงอยู่อย่างนั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายโดยไม่เปลี่ยนแปลงเหตุผลนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง มิใช่จะอธิบายให้เข้าใจได้ในสองสามประโยคแต่โดยสรุปก็คือ ในสายตาของคนโบราณ การเปลี่ยนแปลงระบบที่ปู่ย่าตายายตั้งไว้คือการผิดธรรมเนียม ผิดความกตัญญู อีกทั้งการปฏิรูปต้องอาศัยอำนาจ ความกล้าหาญ และบารมีอย่างล้นเหลือ จักรพรรดิต้องมีอำนาจควบคุมราชสำนักอย่างแน่นหนา และมีใจใฝ่ก้าวหน้าอย่างแท้จริง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรคและแรงต่อต้านนับไม่ถ้วนไปได้ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เมื่อแลกกับคว
Read more

บทที่ 1136

บรรดาขุนนางตงฉินที่มีชื่อเสียงล้วนมีลักษณะหนึ่งเหมือนกัน คือไม่กลัวตายกระทั่งยังแอบหวังให้จักรพรรดิทรงมีพระราชโองการประหารตน เพื่อจะได้จารึกชื่อไว้ชั่วกาล เป็นที่เลื่องลือชั่วนิรันดร์ในสายตาของหลี่เฉิน สมองพวกเขาคงมีปัญหาไม่น้อยมิได้คาดหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โต เพราะระบบขุนนางตงฉินเป็นวงการที่ค่อนข้างปิด ขุนนางตงฉินน้อยคนนักจะได้โยกย้ายไปที่อื่น หน่วยงานอื่นก็ไม่อยากรับ เพราะหน้าที่ของขุนนางตงฉินเอาเข้าจริงก็คือทำให้ผู้อื่นไม่พอใจในเมื่อไม่มีความหวังจะเลื่อนตำแหน่ง บรรดานักปราชญ์ผู้เคร่งคุณธรรมเหล่านี้ก็ย่อมไม่ใส่ใจในทรัพย์สินเงินทองสิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือชื่อเสียงในสายตาของพวกเขา การถูกจักรพรรดิประหารคือเกียรติสูงสุดพวกเขาเปล่งเสียงแทนราษฎร แนะนำด้านคุณธรรม ถือเป็นแบบอย่างของขุนนางผู้ภักดีแม้หลายสิบปีที่ผ่านมา ราชสำนักวุ่นวาย จ้าวเสวียนจีแทบจะรวบอำนาจไว้คนเดียว ทำให้สำนักตรวจการเสื่อมทรามไม่หยุด ทว่าก็ยังมีคนกระดูกแข็งอยู่บ้าง เฉียนซื่อยวนก็คือหนึ่งในนั้นหลี่เฉินสังหารเจ้าสำนักตรวจการมานักต่อนักแล้ว แม้แต่คลื่นการกวาดล้างในครั้งนี้ก็ยังมิได้กระทบเขา เห็นได้ชัด
Read more

บทที่ 1137

“นี่...”เฉียนซื่อยวนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ กว่าครู่จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพิ่งทรงเอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงระบบและการปฏิรูปเป็นครั้งแรก กระหม่อมย่อมไม่เคยเห็นเนื้อหาที่ชัดเจน”“ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นเจ้าตัดสินได้อย่างไรว่าการปฏิรูปของข้าจะสั่นคลอนแผ่นดิน?” หลี่เฉินถามต่อทันทีเฉียนซื่อยวนรู้สึกว่าหลี่เฉินกำลังเล่นตุกติก ในสายตาของเขา เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมต้องหารือกับเหล่าขุนนางให้ได้ข้อยุติร่วมกันเสียก่อน แล้วค่อยดำเนินการอย่างมั่นคง จะกล่าวเปลี่ยนก็เปลี่ยนเช่นนี้ได้อย่างไรดังนั้นเฉียนซื่อยวนจึงฝืนใจกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงกระทำเร่งรีบเกินไป เกรงว่าจะคล้ายการเล่นสนุกเสียมากกว่า”“ข้ายังยืนยันคำเดิม ในเมื่อเจ้ายังไม่รู้แผนการของข้า เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเร่งรีบหรือเป็นการเล่นสนุก?”บัดนี้หลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดจักรพรรดิแห่งทุกยุคทุกสมัยจึงไม่โปรดขุนนางตงฉินพวกนี้สำหรับราชสำนักแล้ว ขุนนางตงฉินกลุ่มนี้ในระยะยาวถือว่ามีคุณประโยชน์ท้ายที่สุด ไม่มีแผ่นดินใดที่จักรพรรดิในแต่ละรัชกาลจะเป็นพระราชาผู้เปี่ยมปัญญาทุกพระองค์ได้แน่นอน จักรพรรดิที่โง่งมก็เป็นส่วนน้อย เพราะตำแ
Read more

บทที่ 1138

ขุนนางทุกคนต่างก้มหน้าพิจารณาแผนในมืออย่างละเอียดละออ หวั่นว่าจะพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียวในขณะนั้นเอง น้ำเสียงของหลี่เฉินก็ค่อยๆ ดังขึ้นด้วยถ้อยคำราบเรียบ“แผนของข้า หกกรมยังคงอำนาจหน้าที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เบื้องบนตั้งสามกรมใหญ่ ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมราชเลขา และกรมตรวจราชการ ทั้งสามกรมล้วนรับพระบัญชาโดยตรงจากองค์จักรพรรดิ”“ในนั้น กรมราชเลขาจะรับผิดชอบเรื่องสำคัญ และประกาศราชโองการ”“กรมตรวจราชการจะรับผิดชอบเรื่องสำคัญร่วมกับกรมราชเลขา ร่วมปรึกษาราชกิจ และตรวจสอบราชโองการ”“กรมมหาดไทยมีอำนาจมากที่สุด บังคับบัญชาหกกรมย่อยยี่สิบสี่ฝ่าย”เพียงแค่เพิ่มตั้งสามกรม ก็ทำให้เหล่าขุนนางมองเห็นความเฉียบคมของแผนการปฏิรูปฉบับนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการรื้อสำนักราชเลขาออก แล้วแบ่งแยกอำนาจของมันออกเป็นสามส่วนเดิมทีสำนักราชเลขามีอำนาจล้นเหลือ ไม่เพียงแทรกแซงการทำงานของหกกรมยี่สิบสี่ฝ่ายได้โดยตรง ยังมีสิทธิในการตรวจสอบและแก้ไขราชโองการและฎีกาอีกด้วยบัดนี้ หลี่เฉินแบ่งอำนาจของสำนักราชเลขาให้กับสามกรม โดยแยกหน้าที่ออกจากกันอย่างชัดเจน ทั้งราชโองการ การตรวจสอบฎีกา และอำนาจทางการบริหาร ต่างไม่รบกวนซ
Read more

บทที่ 1139

ในฐานะที่สวีฉังชิงทำงานอยู่ในกรมครัวเรือนมาตลอด หน้าที่หลักของเขาก็เกี่ยวข้องกับด้านภาษี เมื่อเห็นแผนนี้ เขาก็จับสังเกตได้ในทันทีอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปยังหลี่เฉิน สวีฉังชิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดเขารู้สึกว่านโยบายข้อนี้มีปัญหา และเป็นปัญหาใหญ่ด้วยแต่ในท้องพระโรง เขาไม่กล้ากล่าวออกมาตรงๆหลี่เฉินยืนอยู่บนบันไดบัลลังก์ มองเห็นปฏิกิริยาของเหล่าขุนนางได้ถนัดชัดเจน สีหน้าของสวีฉังชิงที่เหมือนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด ราวกับจะอึดอัดจนท้องผูก เขาย่อมเห็นได้ชัด“ใต้เท้าสวี หากมีสิ่งใดก็พูดออกมาตรงๆ ได้” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนเวลานี้ หลี่เฉินไม่ได้คิดเรื่องการเมือง แต่เป็นการพิจารณาเพื่อแผ่นดินโดยแท้แม้เขาจะมั่นใจว่านโยบายเหล่านี้ที่ถอดแบบมาจากประสบการณ์ในอนาคตจะไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายต้าฉินก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ทุกนโยบายจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์จริงของบ้านเมือง ดังนั้นในหลักการเช่นนี้ หลี่เฉินจึงยินดีรับฟังความคิดเห็นจากขุนนางที่มุ่งมั่นเพื่อบ้านเมืองสวีฉังชิงประสานมือคำนับก่อนกล่าวขึ้นว่า “ขอพระราชทานอนุญาตฝ่าบาท อำนาจในการจัดเก็บภาษีนั้นเดิมอยู่กับทางการท้องถิ่น เป็นเช่นนี้ม
Read more

บทที่ 1140

การปฏิรูประบบขุนนางพลเรือน เป็นเพียงแค่การทำให้กลไกราชสำนักดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการที่หลี่เฉินจะรวบอำนาจไว้ในพระหัตถ์แต่การปฏิรูประบบทหาร กลับเป็นรากฐานแท้จริงของการควบคุมจักรวรรดิทั้งมวลของหลี่เฉินดังนั้นหลี่เฉินจึงไม่มีทางปล่อยผ่านการปฏิรูประบบทหารอย่างแน่นอนสายตาของหลี่เฉินทอดไปยังฝั่งขุนพล แล้วก็เริ่มเอ่ยถึงแผนที่เคยกล่าวไว้กับซูเจิ้นถิงมาก่อนเพียงแต่ครั้งนี้ รายละเอียดที่กล่าวออกมากลับมากกว่าที่ซูเจิ้นถิงเคยได้ฟัง“ยุบสำนักบัญชาการทหารสูงสุด ตั้งใหม่เป็นสำนักบัญชาการ สำนักเสนาธิการ และสำนักเสบียง สามสำนักนี้จะเป็นแกนหลักการทหารทั่วทั้งแผ่นดิน ระบบเว่ยสั่วของแต่ละท้องถิ่นยังคงเดิม แต่ต้องกำหนดให้ชัดว่า หน้าที่ของเว่ยสั่วคือรักษาความสงบในพื้นที่เป็นหลัก ส่วนกองทัพสนาม มีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง มิควรเคลื่อนกำลังโดยพลการ”“ทั่วแผ่นดินมีหน่วยกองทัพสนามที่มีรหัสประจำตัวแยกเป็นอิสระอยู่สิบกว่าหน่วย กำลังพลรวมกันกว่า 4 แสนนาย ส่วนใหญ่วางกำลังอยู่ตามป้อมปราการชายแดน ทั้งหมดนี้จะต้องขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของสามจวน”“หากไม่มีคำสั่งจากสามสำนัก กองทัพส
Read more
PREV
1
...
112113114115116
...
118
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status