All Chapters of ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi): Chapter 11 - Chapter 20

34 Chapters

บทที่ 10 อดีตกาล

35 ปีก่อน…รัชศกเสวียนหลีที่ 38 ปีมะเส็งธาตุทองช่วงฤดูจิงเจ๋อ[1]สายฝนสาดกระหน่ำไปทั่วทั้งใต้หล้า สัตว์น้อยใหญ่เริ่มตื่นจากห้วงการจำศีลอย่างยาวนานในช่วงเหมันต์ฤดูออกมาหากินกันอย่างขวักไขว่ ผู้คนมากมายต่างพากันหลบลี้หนีหยาดน้ำที่รินไหลโหมเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อนเข้าไปในเรือนตน ทางเดินในยามนี้จึงไร้ผู้คนสัญจรไปมา มีเพียงกระยาจกสองสามคนยืนหลบอิงตามชายคาเพิงพักเพื่อหลบฝนเพียงชั่วคราวเสียงเกือกม้าราวสามสิบตัวดังก้องไปทั่วหล้าขับเคี่ยวทะยาน ด้วยบุรุษมากหน้าหลายตาควบตะบึงฝ่าท่ามกลางพายุที่รุนแรง และมีเหล่าผู้บำเพ็ญตนอีกหลายคนที่ขี่กระบี่เหาะทะยานขึ้นไปยังเวหากำลังไล่ตามม้าดำพ่วงพีตัวหนึ่งที่ควบตะบึงท่ามกลางสายฝนห่างออกไปบนหลังม้าตัวใหญ่ที่ถูกไล่ล่านั้นมีหนึ่งบุรุษสวมอาภรณ์ปกปิดใบหน้าของตนด้วยแพรพรรณสีดำสนิท มือกุมบังเหียนม้าเอาไว้โดยมีโฉมสะคราญใบหน้าหวานซึ้งผู้สวมแพรพรรณสีเดียวกันนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง โอบอุ้มดรุณตัวน้อยอายุราวสองขวบปีอยู่ในอ้อมแขนตนม้าตัวใหญ่สีดำมะเมื่อมควบทะยานอย่างไม่หยุดหย่อนหลายวันหลายคืนจนแทบจะขาดใจตาย อาคมมากมายถูกสาดซัด ลูกเกาทัณฑ์หลายร้อยดอกพุ่งเข้าใส่ราวกับห่าฝนเ
last updateLast Updated : 2025-08-28
Read more

บทที่ 11 ล่วงรู้ตัวตน

ปัจจุบัน…รัชศกเสวียนหลีที่ 13 ปีมะโรงธาตุไฟ ฤดูชิงหมิง ณ ยอดเขาหัวซาน ที่ตั้งพำนักสำนักหยางเจียน ภายในห้องโล่งกว้างกลิ่นยาคละคลุ้ง ข้างผนังมีเตียงไม้หลังหนึ่งตั้งไว้ ปรากฏร่างของบุรุษร่างกายซูบผอมใบหน้าซีดเซียวนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน“ไม่…เฮือก”จ้าวเสี่ยวหมิงลืมตาตื่นในสภาพที่ตกใจ เขาหายใจถี่ๆ อย่างเหนื่อยหอบ ศีรษะปวดแปลบทันทีที่ขยับกายจนต้องยกมือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมขมับตนเอาไว้ แล้วกวาดสายตาไปมา ภาพที่สะท้อนเข้ามาในคลองจักษุเป็นเพียงห้องโล่งกว้าง ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่ที่ร่างของชายชราสวมแพรพรรณสีน้ำตาลเข้มผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้กับตนเสียงโลหะบางอย่างกระทบกันไปมา เรียกสติที่เลือนรางของตนให้กลับคืน ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเหลือบสายตามองมายังร่างกายของตน ก็พบเพียงร่างของหลิวมู่เหยียนที่ตนได้เพิ่งเข้ามาสิ่งสู่อยู่ไม่นาน พลันหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างพรวดพราด ทว่าแขนขากลับไม่เชื่อฟังจนต้องล้มหน้าทิ่มไปกับฟูกหนาอีกหน ก่อนจะพลิกตัวไปมาแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็นเสียงขลุกขลักบนฟูกนอนเรียกให้ชายชราหันมาเห็น มือข้างหนึ่งถือเข็มสามเล่มเอาไว้ แต่ละเล่มช่างยาวเสียนี่กระไร เขายกยิ้มออกมาอ
last updateLast Updated : 2025-08-28
Read more

บทที่ 12 คู่เคียง

หลายวันมาแล้วจ้าวเสี่ยวหมิงยังคงนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนฟูกอย่างเกียจคร้านมิได้เยื้องย่างไปทางใดด้วยเหตุที่ว่าร่างกายยังไม่เข้าที่ดี เขาจึงมิอาจขยับได้ดั่งใจ จำต้องอยู่บนฟูกนี้ไปอีกห้าวัน และทุกๆ วันก็พบเจอเพียงใบหน้าบ่าวรับใช้ข้างกายกับหลิวห้าวเหลียงผู้เป็นศิษย์ตนที่แวะเวียนมาเยี่ยมหาอยู่ไม่ขาดด้วยเหตุที่ว่าในทุกๆ คืนเขาจะต้องมาหารือกับผู้เป็นศิษย์เรื่องที่จักต้องทำเช่นไรต่อไปในภายภาคหน้า แม้ตนเองจะพยายามบ่ายเบี่ยงเพียงใดก็ต้องนั่งหารือกันจนดึกดื่นกว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็เข้าสู่ยามอิ๋น[1]อยู่ร่ำไปผ่านไปราวห้าวันร่างกายเริ่มเข้าที่ วันนี้จึงเป็นวันที่จ้าวเสี่ยวหมิงจักต้องไปฝึกฝนวิชากับหยางหยุนเหลียงตามที่เจ้าสำนักหยาง หยางซิวอวี่ได้เคยกล่าวไว้แสงแดดแรงกล้าของวันใหม่ในยามซื่อ[2] สาดส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในเรือนรับรอง บุรุษร่างกายซูบผอมพลิกกายไปมา เขากระชากผ้าห่มขึ้นมาปิดบังใบหน้า ด้วยเหตุที่ว่าแสงแดดเริ่มแยงเข้าตาทำให้ห้วงนิทราอันเนิ่นนานพลันมลายหายไป ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงม้วนตัวเข้าไปกับผ้าห่มจนเป็นก้อนกลมๆ แล้วนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น มิยอมขยับร่างกายไปทางใด ไม่ว่าบ่าวรับใช้จะมา
last updateLast Updated : 2025-08-30
Read more

บทที่ 13 คนไร้ยางอาย

กาลเวลาผ่านไปไวดั่งฟ้าฟาด จ้าวเสี่ยวหมิงอยู่ฝึกวิชากับหยางหยุนเหลียงในป่าท้ายหมู่บ้านได้เพียงไม่นาน ดวงตะวันก็คล้อยต่ำลงมา ท้องนภาเริ่มถูกกลืนกินด้วยสีแดงเพลิง ในครานั้นทั้งสองจึงหยุดการฝึกฝน แล้วเดินทางกลับไปบ้านสกุลหม่าตามเดิมด้วยเหตุที่ว่าจ้าวเสี่ยวหมิงยังมิทันได้ล้างคราบโคลนออกไป ในยามนี้มันจึงแห้งติดกับผิวหน้า เมื่อขยับใบหน้าไปมา คราบโคลนแห้งๆ จึงแตกออกลอกเป็นแผ่นและร่วงกราวลงมา เมื่อย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้านไม่ทันไร ผู้คนมากมายต่างยกนิ้วชี้มาที่ใบหน้าของหลิวมู่เหยียนด้วยอาการแตกตื่น บ้างก็ยืนขำหัวเราะจนงอหายอย่างมิอาจกลั้น บ้างก็ตกใจจนสะดุ้งวิ่งหนี พอวิ่งไปได้ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ หันกลับมาจ้องมองดูอีกหนแล้วหลุดขำเสียงดังเหล่าดรุณตัวน้อยในละแวกใกล้ต่างพากันตะโกนเรียกเขาว่า “เจ้าคนหน้าลอก” ยามเมื่อได้เห็นจ้าวเสี่ยวหมิงเป็นตัวประหลาด หน้าตาอุบาทว์ ใบหน้าลอกคราบออกมาเป็นแผ่น กำลังเยื้องย่างผ่านหน้าเรือนตนไปพอได้เห็นท่าทีของชาวบ้าน จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเดินเข้าไปหาชาวบ้านในละแวกนั้นเพื่อถามไถ่ ทว่าในขณะที่เยื้องย่างเข้าไป ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างถอยหนี มิยอมเอ่ยวาจาใดๆเมื่อถูกทำกิริยาเช่นนี้ใส
last updateLast Updated : 2025-08-30
Read more

บทที่ 14 ไหนเลยจะเข้าใจ

หลังจากหยางหยุนเหลียงย่างเท้าออกจากห้องไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงพยายามร้องเรียกหาเสียหลายหน แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร ก็มิอาจเปลี่ยนใจบุรุษหนุ่มให้หันกลับมาคลายปมเชือกและจุดที่ถูกสกัดตรึงร่างกายตนเอาไว้ได้ในยามนี้ครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เขาขยับศีรษะหันไปมาแล้วพยายามคลายจุดที่ถูกสกัดเอาไว้ด้วยตนเอง ทว่าไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็มิอาจจะทำได้อย่างที่ใจต้องการจ้าวเสี่ยวหมิงจึงสบถเสียงเบาออกมา “เพ้ย…ไม่อยากแก้มัดให้ข้าก็ไม่ต้องแก้ ดูสิว่าใครมันจะแน่กว่ากัน ข้าจะร้องเรียกชื่อเจ้าอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ดูสิเจ้าจะทนเสียงอันไพเราะของข้าได้สักกี่น้ำเชียว เจ้าหนูหยาง”ทว่าแม้จะเรียกขานสักเพียงใด หยางหยุนเหลียงก็มิยอมปรากฏกายออกมาให้เห็นแม้เพียงปลายผมสักเส้น จ้าวเสี่ยวหมิงร้องเรียกชื่อได้พักใหญ่ ความง่วงงุนที่ยังมิคลายจากยามเช้าจู่ๆ ก็เริ่มคืบคลานเข้ามา เขาจึงหยุดร้องชื่อของบุรุษหนุ่มเพื่อไม่ให้เสียกำลัง ด้วยเหตุที่ว่าต่อให้เอ่ยเรียกเพียงใด หยางหยุนเหลียงก็คงมิยอมย่างเท้ามาหา จากนั้นจึงปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็วพอเข้าห้วงนิทราไม่ทันไร
last updateLast Updated : 2025-08-30
Read more

บทที่ 15 เตรียมใจ

หลังจากคืนเดือนดับผ่านพ้น ยามตะวันรุ่ง ทั้งหมดก็พากันเดินทางกลับมายังสกุลหยางอย่างไม่รั้งรอ และแทนที่จ้าวเสี่ยวหมิงจะได้นอนเกลือกกลิ้งบนฟูกนอนอย่างสบายใจ กลับมาถูกคุณชายสามแห่งสกุลหยางหมายหัวไว้เพื่อลากไปโขกสับในยามเช้าของอีกวันเหตุเพราะเมื่อคืนวาน ตนเองได้แอบลักลอบหนีออกไปนั่งสมาธิเพียงลำพัง พอใจสงบจึงเดินทางกลับมาสกุลหม่า แต่แทนที่จะได้เข้าไปพัก เขากลับถูกหลิวห้าวเหลียงลากไปให้นั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่หน้าห้องบรรพชนของสกุลหม่าเสียอย่างนั้น ด้วยเหตุที่ต้องให้คนในสกุลหม่ามาถ่างตารอ ซ้ำยังถูกลงโทษให้คัดตำราคุณธรรมเพิ่มเติมอีกหนึ่งร้อยจบเมื่อยามได้กลับมาแต่ทว่าในยามที่ตนเองกำลังย่างเท้าเข้ามาในเรือนรับรอง แล้วเตรียมตัวพุ่งลงฟูกนอน หลิวห้าวเหลียงก็ได้รับสารที่สำนักหลิวส่งมาให้โดยสารดังกล่าวเป็นของศิษย์ในสำนักหลิว… เป็นหน่วยลับของหลิวห้าวเหลียงราวสิบชีวิตที่แอบฝึกฝนไว้ ถูกวางกำลังไว้รอบๆ สกุลให้คอยสอดส่องดูแลสำนักอย่างลับๆ ยามที่ตนเองต้องเดินทางไกลด้วยเหตุนี้หลิวห้าวเหลียงจึงรู้ความเป็นไปหลายอย่างในสำนักอย่างทันท่วงที และในคราวนี้ก็เช่นกัน เพราะเรื่องที่ส่งมารายงานนั้นเป็นเรื่องของชาวบ้าน
last updateLast Updated : 2025-08-30
Read more

บทที่ 16 หลีกเลี่ยง

ยามเช้าของวันใหม่ หม่านหยวนโซว่ก็ลากสังขารที่เต็มไปด้วยความอัปยศเดินทางกลับมาถึงวังมาร เคหสถานที่ตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายอยู่บนยอดเขาหวงซานอย่างทุลักทุเล โดยมีหม่านอิ่งอู๋ผู้เป็นบุตรชายของตนคอยประคองอยู่เคียงข้างและเมื่อย่างเท้าผ่านธรณีประตูเข้ามาก็พบกับบุรุษวัยกลางคน รูปร่างสมส่วนดังชายชาตรี สวมใส่แพรพรรณสีดำสนิท กำลังนั่งเช็ดกระบี่อยู่บนตั่งไม้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อยดูคล้ายยิ้มเหมือนไม่ยิ้มก่อนเจ้าตัวจะปรายหางตามองมาทางด้านประตูเพียงวูบเดียวก็หันกลับไปมองกระบี่สีดำสนิทในมือตนดังเดิม ไม่แม้แต่จะสนใจอาการบาดเจ็บของหม่านหยวนโซว่แม้แต่น้อย แล้วเอ่ยเสียงเย็น “แล้วดวงวิญญาณที่เจ้าต้องไปเก็บมาเล่าอยู่ที่ใดเหตุใดวันนี้จึงไม่ได้นำมา”ยังไม่ทันที่จะได้โค้งคารวะตามมารยาทกลับได้ยินคำกล่าวราวกับคมมีดเอ่ยออกมาจากริมฝีปากผู้เป็นนายตน ฉับพลันหม่านหยวนโซว่ก็พลันเข่าอ่อนทรุดลงนั่งอย่างอ่อนกำลัง เขาสะบัดแขนให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของบุตรชายแล้วกล่าวเสียงสั่น “เรียนท่านจ้าวสำนัก เมื่อคืนข้าพะ...”ทว่าเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้น ก็มีเสียงตวาดดังลั่นขึ้นมาเสียก่อนจะได้เอ่ยคำใด“นั่นหาใช
last updateLast Updated : 2025-08-30
Read more

บทที่ 17

แม้จะรู้ว่าการสอดมือเข้ามายุ่งในยามนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่จ้าวเสี่ยวหมิงก็หาใช่มีหนทางมากมายให้เลือกนัก ผู้หนึ่งคือศิษย์ที่เคยสอนมากับมือ อีกผู้หนึ่งคือสหายเพียงผู้เดียวที่ตนมีอยู่ หากปล่อยทิ้งไว้ให้สู้กันเอง ไม่ว่าใครสักคนจักต้องเจ็บหนัก และนั่นคือสิ่งที่ตัวเขานั้นหาได้ต้องการมือหนึ่งกระชับกระบี่ที่หยิบยืมมาอย่างมาดมั่น โดยที่ตนนั้นหาได้ร่ายปราณใส่แม้เพียงครึ่งคำ ขาทั้งสองข้างแม้จะอ่อนกำลังทว่าจ้าวเสี่ยวหมิงก็ยังข่มใจก้าวทะยานเข้าไป แล้วควงกระบี่แทรกเข้าไปตรงจุดที่ทั้งสองปะทะกันอย่างไร้ซึ่งความลังเลในครานั้นเองบังเกิดเสียงคมของศาสตราวุธทั้งสามปะทะกันจนสะท้อนส่งเสียงดัง ‘ชิ้ง’ ก่อนจ้าวเสี่ยวหมิงจะควงกระบี่หันเข้าใส่เจวี๋ยวั่ง อย่างชำนาญ แม้จะติดขัดไปบ้าง ด้วยร่างกายของตนยังไม่ฟื้นเต็มกำลัง แต่ก็ยังรับพอมือกับมีดบินเหล่านั้นได้แบบถูๆ ไถๆพอเห็นว่ามีผู้ที่ยื่นมือเข้ามาแทรก เจวี๋ยวั่งก็พลันชะงักค้างการฟาดฟันไปเสียวูบหนึ่ง เขามองคนผู้นี้อย่างประเมิน มือทั้งสองข้างก็มิได้อยู่เฉย รับเพลงกระบี่ของดรุณน้อยรูปร่างซูบผอม โดยมิได้ตอบโต้กลับไปและเมื่อได้มองดูคู่ปะทะอย่างถ้วนถี่
last updateLast Updated : 2025-08-31
Read more

บทที่ 18 เข้าร่วมสำนัก

หลังจากวันนั้น จางเสี่ยวหมิงก็พยายามถามไถ่เหว๋ยอู๋ ในเรื่องของพวกโจรทั้งสามอยู่หลายหน แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเพียงแค่ว่า ถูกเซียนหนุ่มผู้นั้นไล่ตะเพิดจนหนีเตลิดไปเสียหมด ไม่มีผู้ใดต่อกรได้ จึงพากันหนีหายนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาถึงแม้ว่าความรู้สึกภายในใจกำลังขัดแย้งในคำกล่าวนั้นเพียงใด ทว่าเขาก็มิอาจหาคำเอ่ยอ้างใดๆ มาลบล้างได้ พอหนักๆ เข้าจางเสี่ยวหมิงก็เลิกที่จะไต่ความถามไถ่อีกเมื่อเวลาผ่านพ้นความทรงจำในหัวของจางเสี่ยวหมิงที่เคยมีอยู่เกี่ยวกับโจรทั้งสามก็ค่อยๆ เลือนหายไปจนกาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปถึงสามขวบปี ดรุณน้อยทั้งสองเริ่มเติบใหญ่ เหว๋ยอู๋ผู้เป็นพี่ชายอายุสิบห้าขวบปี รูปร่างผอมแห้งไม่สมชายชาตรี ใบหน้าแม้จะหล่อเหลาตามวัย ทว่ากลับซีดเซียวราวกับมีโรคภัยรุมเร้ากัดกินตามร่างกายส่วนจางเสี่ยวหมิงนั้นแม้จะอายุน้อยกว่าเหว๋ยอู๋ถึงสองขวบปี แต่รูปร่างกลับทะมัดทะแมงกว่าเป็นเท่าตัว แม้จะยังเป็นเพียงดรุณตัวน้อยทว่าความเฉลียวฉลาด และความสามารถกลับมีมากเกินวัยทั้งสองก็ยังคงพำนักอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้นดังเดิม ประทังชีวิตด้วยการแย่งของกินสุนัขบ้าง ขโมยช้าวบ้านในละแวกนั้นมาบ้าง จากพืชผักที่เหว๋
last updateLast Updated : 2025-08-31
Read more

บทที่ 19 ตัวแสบ

สี่ปีผ่านไป ….หลังจากวันนั้นจางเสี่ยวหมิงจึงได้เข้ามาร่วมเป็นศิษย์ในสำนักเทียนหราน แห่งเขาเทียนเหมินซานนับแต่นั้นมา ทว่าด้วยความซุกซนผสมกับการไม่ยอมคน แม้จะมีความอ่อนโยนต่อคนในสำนัก แต่หากยามเทียวไปเรียนรู้วิชาตามสำนักต่างๆ จางเสี่ยวหมิงก็จะทำตัวเช่นเดิมมิได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้นอบน้อมถ่อมตน เป็นเหตุให้เจ้าสำนักวิชาอื่นๆ ที่มิได้เลี้ยงดูมาแต่เด็ก รับไม่ได้ในความประพฤติโผงผางไม่ต่างจากลิงหลอกเจ้าของดรุณน้อยผู้นี้สักกระผีกริ้นชื่อเสียงของจางเสี่ยวหมิงจึงเป็นที่เลื่องชื่อในความวินาศสันตะโร จะไปที่ไหนก็มีความปั่นป่วนบังเกิดขึ้นนั้น จนเป็นเหตุให้เจ้าสำนักเซียนทั้งหลายต่างพากันหน่ายหนีมาหนนี้ก็เช่นกัน หลังจากได้เข้าร่วมพิธีเปิดญาณทิพย์ จนก้าวข้ามจุดต้นกำเนิดมาได้ จางเสี่ยวหมิงจำต้องเดินทางมากับเหว๋ยอู๋มายังสำนักหวงอีเซิง เพื่อร่ำเรียนวิชาการแพทย์ ให้มีความรู้ไว้ใช้ติดตัวในยามคับขันเขาจึงถูกส่งมาพร้อมๆ กับเหล่าศิษย์ในสำนักอีกสิบคน ร่ำเรียนวิชาโดยตรงกับเจ้าสำนักหวง หวงเจียฉีหมอแห่งสวรรค์ผู้มีหัตถ์เทวดาและในครานั้นเองจางเสี่ยวหมิงจึงได้รู้จักกับหยางหมิงเซ่อ บุตรคนที่สองของหย
last updateLast Updated : 2025-08-31
Read more
PREV
1234
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status