เมื่อคืนหนึ่งในงานพบปะเล็ก ๆ ของแฟนหนังสือ ฉันได้ยืนฟังผู้แต่ง '
สยบฟ้า' เล่าถึงแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ และมีภาพจำที่ชัดเจนในใจ เหตุการณ์นั้นไม่ใช่การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ แต่เป็นเวทีเสวนาที่
ผู้เขียนเปิดใจพูดเกี่ยวกับความทรงจำในวัยเด็ก เรื่องเล่าพื้นบ้าน และภาพวิวทุ่งนาที่กลายเป็นต้นแบบบรรยากาศในหลายฉากของเรื่อง สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจคือวิธีที่ผู้แต่งเชื่อมโยงภาพเล็ก ๆ ในชีวิตจริงเข้ากับฉากที่ดูยิ่งใหญ่ในนิยาย ทำให้ทุกฉากมีรากที่จับต้องได้
หลังจากงานนั้น ฉันไปตามอ่านบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ลงในบล็อกของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่าเวทีพูดคุย บทสัมภาษณ์นั้นเน้นเรื่องเครื่องหมายทางวัฒนธรรม เพลงพื้นบ้าน และ
หนังสือเก่า ๆ ที่ผู้เขียนเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ผู้เขียนเล่าว่าบางฉากได้รับแรงกระตุ้นจากเพลงที่ได้ยินในงานวัดขณะยังเด็ก หรือจากข้อความที่อ่านแล้วค้างคาใจจนต้องนำไปปลูกเป็นโครงเรื่อง ความใส่ใจในรายละเอียดพวกนี้อธิบายได้ว่าทำไมโทนสีและบรรยากาศของ 'สยบฟ้า' ถึงมีความเป็นชนบทชนิดที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในหมอกยามเช้า
มุมมองของฉันในฐานะแฟนงานเล่มเดียวกันคือการรู้ว่าแรงบันดาลใจไม่ได้มาจากแหล่งเดียว แต่เป็นการประกอบกันของความทรงจำ รายการเพลงที่ฟัง และการมองโลกผ่านสายตาคนรอบตัว เวทีเสวนาและบทสัมภาษณ์ออนไลน์สองรูปแบบนี้ช่วยให้ฉันเห็นภาพกระบวนการสร้างสรรค์ได้ชัดขึ้น ทั้งความเรียบง่ายของช่วงเวลาทั่วไปและการนำสิ่งเล็ก ๆ มาขยายจนกลายเป็นฉาก
มหากาพย์ การฟังผู้แต่งเล่าในบรรยากาศใกล้ชิดแบบนั้นทำให้หนังสือเล่มเดิมดูมีชีวิต มีที่มาที่ไปมากยิ่งขึ้น และยังเป็นแรงกระตุ้นให้ฉันมองหาช่วงเวลาเล็ก ๆ ในชีวิตที่จะนำมาเป็นแนวคิดเล่าเรื่องบ้างเหมือนกัน