ภาพรวมของเรื่องนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความอบอุ่นแบบชีวิตประจำวันกับความลึกลับเหนือธรรมชาติที่ค่อยๆ เปิดเผยตัวเอง ผ่านมุมมองของตัวละครหลักในชื่อเดียวกับเรื่อง '
shiroko' เนื้อเรื่องเริ่มจากการเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของตัวเอกหลังจากช่วงเวลาห่างไกล เมืองเล็กริมทะเลหรือหมู่บ้านที่ดูเหมือนจะ
หยุดเวลาไว้กลายเป็นเวทีให้ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นและความลับของครอบครัวค่อยๆ ถูกเปิดเผย ทำให้จังหวะเรื่องเดินระหว่างฉากสงบๆ ของการใช้ชีวิตกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เชื่อมโยงกับอดีตของตัวละคร
โครงเรื่องไม่ได้เน้นแอ็คชั่นแบบบู๊ล้างผลาญ แต่จะใช้การพรรณนาและบทสนทนาในการสื่อสารความเปราะบางของตัวละครและความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน ตัวละครรองมักมีมิติทั้งด้านที่อบอุ่นและด้านบาดแผล เช่น เพื่อนสมัยเด็กที่พยายามซ่อนความผิดหวัง หรือลุงป้าผู้เก็บเรื่องราวสำคัญไว้ สมาชิกครอบครัวที่ดูเหมือนไม่พูดอะไรแต่จิตใจมีการสั่นคลอน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องราวของ 'shiroko' รู้สึกเป็นมนุษย์และน่าเอาใจช่วย ตลอดเรื่องมีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติเป็นเส้นใยบางๆ ที่เชื่อมเหตุการณ์ เช่น วิญญาณที่ติดอยู่กับความทรงจำ หรือวัตถุที่มีอิทธิพลต่อความจริงของผู้คน ทำให้เรื่องมีบรรยากาศลึกลับในแบบเดียวกับงานอย่าง 'Mushishi' หรือ 'Natsume''s Book of Friends' แต่โทนจะอบอุ่นกว่าและโฟกัสที่การเยียวยาใจมากกว่าการไขปริศนาเชิงแอ็คชั่น
ธีมหลักของเรื่องหมุนรอบการยอมรับอดีต การเยียวยาจากบาดแผลในใจ และการค้นหาตัวตน ภาษาที่ใช้ในการเล่าและฉากมักจะละเอียดอ่อน มีการใช้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของธรรมชาติและประเพณีท้องถิ่นมาเพิ่มน้ำหนักให้กับอารมณ์ ฉากสำคัญหลายฉากจะเป็นโมเมนต์เรียบง่าย เช่น การเดินเล่นตอนเช้า การนั่งคุยใต้ต้นไม้ หรือการช่วยกันจัดงานเทศกาล ซึ่งฉากพวกนี้ทำหน้าที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงภายในตัวละครอย่างนุ่มนวล การเล่าเรื่องไม่รีบร้อนและเปิดช่องให้ผู้อ่าน/ผู้ชมได้ซึมซับและคิดตาม
ความน่าสนใจของ 'shiroko' อยู่ที่การยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นแฟนตาซีและชีวิตจริง ทำให้มันเป็นเรื่องที่อ่านหรือดูแล้วอาจทำให้คิดถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับบ้านเกิดหรือคนรอบตัวได้ง่าย ผมเองชอบวิธีที่เรื่องใช้รายละเอียดเล็กๆ เข้าสร้างอารมณ์ มากกว่าจะพึ่งพาฉากยิ่งใหญ่ มันเป็นงานที่อบอุ่น เหมาะสำหรับคนที่อยากได้เรื่องเล่าที่ทำให้ใจสงบและคิดตามไปกับตัวละครจนจบเรื่อง