เคยสงสัยไหมว่าคำว่าแฟนตาซีมันกว้างแค่ไหนจนบางครั้งทำให้คนต่างวงการโต้เถียงกันไม่รู้จบ? ฉันที่โตมากับนิยายบอกได้เลยว่าแฟนตาซีไม่ได้จำกัดอยู่แค่
เวทมนตร์หรือโลกสมมติเสมอไป แต่มันเป็นเส้นแบ่งที่ยืดหยุ่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ในเรื่องเล่า
เมื่อฉันอ่าน 'The Lord of the Rings' ครั้งแรก สิ่งที่ประทับใจไม่ใช่แค่เวทมนตร์เท่านั้น แต่เป็นระบบจักรวาลที่มีตำนาน ประวัติศาสตร์ และกฎเกณฑ์ของตัวเอง นั่นคือจุดที่แฟนตาซีแบบ high fantasy โดดเด่น: โลกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งใบและมีตรรกะในตัวมันเอง ในทางกลับกัน 'Harry Potter' แสดงให้เห็นว่าการมีโลกสมมติก็ไม่จำเป็นต้องแยกจากโลกจริงเสมอไป—เวทมนตร์ถูกซ่อนไว้ เคลื่อนไหวได้ในกรอบสังคมสมัยใหม่ นั่นคือแนว urban หรือ portal fantasy ที่ใช้ความมหัศจรรย์เพื่อสะท้อนปัญหาชีวิตจริง
นิยามที่ฉันชอบคือมองแฟนตาซีเป็นสเปกตรัม ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสองอย่าง: หนึ่งคือการมีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติหรือสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และสองคือการที่เรื่องราวใช้สิ่งนั้นเพื่อขยายธีม มุมมอง หรือความหมายของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการหนีความเป็นจริง วิพากษ์สังคม หรือตั้งคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมและอิสระภาพ นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ตรงกลาง เช่น magical realism ที่ใช้เหตุการณ์มหัศจรรย์เป็นส่วนหนึ่งของความจริงทางสังคม ทำให้ขอบเขตแฟนตาซียิ่งคลุมเครือ
ท้ายที่สุด ฉันคิดว่าแทนที่จะพยายามปักป้ายว่าแฟนตาซีคืออะไรเพียงนิยามเดียว มันน่าตื่นเต้นกว่าที่จะยอมรับความหลากหลายของมัน—ยอมให้ทั้งโลกที่สร้างขึ้นมาเองและแค่การฉีดแรงบันดาลใจเหนือธรรมชาติเข้ามาในเรื่องเล่า เท่าที่ฉันสนุกกับมัน ความมหัศจรรย์ไม่จำเป็นต้องมากมาย แค่มีวิธีการเล่าและความตั้งใจที่ชัดก็เพียงพอจะทำให้งานชิ้นนั้นกลายเป็นแฟนตาซีได้ในแบบของมันเอง