“ไวท์! มึงหนีมาก่อนได้ไง! รู้ไหมว่าไอ้นั่นแม่งเกือบต่อยกู!”
ไนท์พูดพลางใช้ร่างกายของเขาเบียดร่างผู้ชายคนนั้นกระเด็น ทิ้งตัวลงเมื่อเก้าอี้ตัวนั่นว่างเปล่า ฉันยกยิ้มที่เขาทำในสิ่งที่ฉันต้องการพอดี แต่ต้องหุบยิ้มฉับ เมื่อแฝดสยองของฉันจ้องมองนิ่ง
ด้วยความที่เป็นแฝดกัน ฉันรู้ว่าการทำแบบนั้นของไนท์ มันหมายความว่าเขากำลังงอน
“หน้าตาของแกยังดีอยู่นี่ไนท์ ไม่เห็นมีรอยหมัดเลย”
ฉันยกมือขึ้นจับใบหน้าหล่อเหลา พลิกไปทางซ้าย จากนั้นก็พลิกมาทางขวา ไม่มีรอยช้ำอย่างที่ควรจะเป็น
เอ๊ะ! นี่ฉันกำลังสนับสนุนให้น้องชายตัวเองโดนต่อยใช่ไหม
“ก็ … นั่นแหละไนท์ หน้าหล่อๆของแก ยังปกติดี”
ไนท์ยังคงจ้องฉันไม่เลิก เหมือนพยายามเข้ามาให้ถึงสิ่งที่ฉันคิด ฉันถึงกับหน้าถอดสี มันเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ที่ไนท์อ่านความคิดฉันออกทั้งที่เขาเพียงแค่จ้องแบบนี้
“เห้อ! เออ! หน้ากูยังปกติดี แต่มึงระวังตัวไว้เลยนะ อย่าให้ไลน์เนอร์เจอตัวเด็ดขาด”
ไนท์ถอนหายใจยืดยาว เหมือนเขาจะพูดบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด ฉันไม่ถือสาที่น้องชายขึ้นมึงกูใส่ เพราะเขาพูดจาหมาไม่รับประทานกับฉันมาตั้งแต่เริ่มขึ้นมอปลาย แต่ไอ้เรื่องที่เขาเตือนให้ฉันระวังตัวจากไลน์เนอร์คู่กัดของเขานี่สิ มันใช่เรื่องที่ต้องเตือนฉันไหม ฉันกับไลน์เนอร์ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าฉันไม่ต้องระวังเขาเพราะไม่เคยบาดหมางกัน แล้วทำไมไนท์ถึงเตือน อย่าบอกนะว่าไอ้นี่ไปสร้างเรื่องมาอีกแล้ว
“แกไปสร้างเรื่องมาใช่ไหมไนท์!?”
“ …”
ไนท์เงียบ แต่ท่าทางของเขาบอกชัดว่าเป็นแบบนั้น ฉันผลักไหล่เขาแรงๆ ขยับหนีไปนั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ไนท์เปลี่ยนสีหน้าเป็นสำนึกผิด ซึ่งมันไม่ทันแล้วโว้ยไอ้บ้า
ไนท์หาเรื่องมาให้ฉันซวยได้ตลอด ด้วยความที่ฉันแต่งตัวคล้ายผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง มันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์
นี่ฉันต้องใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานแค่ไหน อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากแต่งตัวสวย อยากอวดผมยาวสลวยของตัวเอง แต่ดูฉันตอนนี้สิ ทั้งวิกผมสั้นที่ใส่ ทั้งเสื้อผ้าตัวใหญ่โคร่ง ถ้าบอกว่าเป็นผู้ชายจริงๆ คนคงเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นแบบนั้น
“ไนท์! เย็นนี้กลับก่อนเลยนะ จะไปห้าง”
ไนท์ที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะมาเกือบสิบนาที ขยับใบหน้าหันมาทางฉัน สีหน้าสงสัยเหมือนอยากรู้ของเขา ไม่ได้ทำให้ฉันบอกว่าจะไปทำอะไร
ฉันก็มีชีวิตของฉันเหอะ ถึงจะเป็นแฝดกัน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันนะ
“ระวังตัวหน่อยล่ะ ตอนนี้ไลน์เนอร์หมายหัวฉันอยู่”
เขาหมายหัวแกตั้งนานแล้วไหม คนทั้งมหาวิทยาลัยรู้กันหมด ว่าไนท์กับไลน์เนอร์ไม่ลงรอยกัน ฉันเองก็รู้ เพียงแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องใส่ใจแล้วใช่ไหม เพราะบางทีไลน์เนอร์คนนั้น อาจจะเล่นงานฉันที่เป็นแฝดของไนท์ก็ได้
ตุบ! ตุบ!
“เป็นแฝดแกนี่มีแต่เรื่องซวยๆ”
ฉันเอื้อมมือไปทุบไหล่ของไนท์สองที เขามองฉันเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมเงียบไม่ตอบโต้ ฉันอยากจะกลายร่างเป็นยักษ์แล้วเขมือบเขาลงท้องไปซะ แค่นี้ฉันก็ใช้ชีวิตลำบากมากแล้วนะ ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มให้ด้วย ใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนคนอื่นมันยากนักหรือไง ทำไมฉันทำได้ เขาถึงทำไม่ได้
“ขอโทษ!”
“เงียบปากไปเลย!”
“นักศึกษานั่นแหละที่ต้องเงียบ!”
อาจารย์ประจำคลาสตวาดสวนกลับมา ฉันจึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้ใช้เสียงดังเกินไป เพราะฉันได้รับการยกเว้นหลายอย่าง ทำให้อาจารย์บางคนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกัน เธอไม่พอใจฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และสายตาตำหนิกับถ้อยคำแบบนี้ มันมีให้ฉันมาตลอด
“ขอโทษค่ะอาจารย์”
“เลิกคลาสได้ นักศึกษาอย่าลืมส่งงานที่สั่งล่ะ”
อาจารย์ทำเหมือนคำขอโทษของฉันเป็นเสียงของลม ฉันก้มหน้าลงซ่อนความไม่พอใจ น้ำตาไหลปริ่มรอบดวงตา
ไม่ใช่ว่าฉันอยากเป็นบุคคลพิเศษ แต่เพราะมีคนคุกคามหมายเอาชีวิตฉันกับไนท์ ฉันจึงต้องทำแบบนี้ ใช้ชีวิตเหมือนเป็นผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง ทำตัวเหมือนคนไม่เต็มเต็งทั้งที่เป็นคนปกติ ฉันก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะฉันยังไม่อยากตาย
ฉันหอบความหงุดหงิดหนีออกมาจากชั้นเรียนทันทีที่อาจารย์คนนั้นปล่อย ความรีบร้อนทำให้ลืมหยิบเอาหมวกที่วางไว้ตอนเรียนออกมาด้วย แมสก็ไม่สนใจที่จะใส่มัน ตอนนี้อารมณ์ฉันไม่ดีเอามากๆ จึงไม่สนใจอะไรเลย
“นั่นไนท์? อะ ไม่สิ ไวท์นี่นา”
หลายคนจำฉันกับไนท์ได้ และแยกฉันกับเขาออก แต่มีไม่น้อยเลยที่เข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์ในแว๊บแรก เพราะวิกผมแบบสั้นที่ฉันใส่อยู่ ฉันสามารถบิดบังเพศสภาพจากคนภายนอกได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น หลายคนรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง และมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจว่าฉันเป็นผู้ชายเหมือนไนท์
“มานี่เลย ไอ้ไนท์!”
ฉันหันขวับไปมอง เพราะเสียงเรียกเหี้ยมๆดังอยู่ข้างหลังแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ไนท์ก็ตาม รู้สึกกลัวเมื่อพบว่าเป็นไลน์เนอร์ เดือนหน้าโหดของคณะวิศวะ พยายามซ่อนสีหน้าและความกลัวไว้ และพยายามมองหาทางรอดออกไปจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ รวมถึงก่นด่าแฝดน้องที่ขยันหาความซวยมาให้อยู่ในใจ
ไอ้บ้าไนท์! ถ้าฉันรอดจากไลน์เนอร์ไปได้ แกโดดอัดน่วมแน่!
“ดูดีๆสิ ฉันไม่ใช่ไนท์”
ฉันยอมให้เดือนวิศวะหน้าโหดที่โคตรหล่อสำรวจความแตกต่างบนใบหน้าและร่างกาย พยายามทำตัวเป็นคนใจเย็น ทั้งที่ตอนนี้หัวใจมีนเต้นตุบตับยิ่งกว่าเสียงตีกลองยาว มันควรจะเต้นเพราะความหล่อของเขา อย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆเป็น แต่มันกลับไม่ใช่ ในหัวฉันมีแต่ความกลัว บางทีฉันอาจจะไม่ตายเพราะคนอื่น แต่คงตายเพราะถูกไอ้คนหน้าโหดนี่ฆ่า
ฉันยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเลยอะ ยังไม่เคยลองทำในสิ่งที่อยากจะทำ
“กูไม่ได้โง่”
เสียงของไลน์เนอร์เย็นเฉียบ ร่างกายกำยำและความสูงที่มีมากกว่าร้อยเก้าสิบขยับมาด้านหน้าอีกสองก้าว ใบหน้าหล่อเหลาดุดันโน้มลง แต่ฉันที่มีส่วนสูงมากถึงร้อยเจ็ดสิบห้า ยังต้องเงยหน้าขึ้นมองคนอย่างเขาอยู่ดี
อิจฉาเหลือเกินที่เขาสูงได้ขนาดนั้น ซ้ำยังมีหุ่นที่โคตรน่าอิจฉา ฉันหมายความว่า ถ้าตัดหน้าหล่อแบบโหดๆนี่ทิ้งก่อนอะนะ ความอิจฉาฉันถึงจะทำงานดีขึ้น
“ก็ ไม่ได้ถาม” ฉันตอบไลน์เนอร์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่ามากวนส้นตีน!” หน้าตาของเขาดุขึ้นพอๆกับน้ำเสียงที่ตะคอกกลับมา
“ทำแบบนั้นตอนไหนก่อน ไปได้แล้วใช่ไหม พอดีรีบ” ฉันยังคงกวนเขาด้วยการพูด
“บอกยังว่าไปได้?” น้ำเสียงยียวนแต่ไม่เท่าสีหน้าของคนพูด
ตอนนี้ฉันรู้แล้วแหละ ว่าทำไม เขากับไนท์ถึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ก็หน้าตามันกวนส้นตีนทั้งคู่แบบนี้ไง ต่างคนต่างไม่ยอมกันด้วยมั้ง
“ฉัน ฉันเจอกับผู้หญิงคนนั้นตอนอายุย่างสิบสามปี เราเจอกันโดยบังเอิญ เธอโผล่เข้ามาในตอนที่ฉันกำลังถูกทำร้าย” ผมพยายามพูดเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากให้ไวท์นึกภาพตาม ยังไม่อยากให้เธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นตอนนี้ แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนที่ผมกอดอยู่กำลังสั่น ผมจึงขยับแขนลงช้อนบั้นท้าย อุ้มไวท์กลับมาที่เตียงนอนสีดำสนิท “…!” “เธอถูกคนที่ทำร้ายฉันจับตัวไว้ เราถูกขังอยู่ด้วยกันนานหลายชั่วโมง ฉันที่หมดหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป ได้เธอช่วยให้กำลังใจจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมเล่าอ้อมๆ กดใบหน้าลงบนไหล่เล็ก พยายามไม่นึกถึงภาพเก่าๆเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมกอดไวท์แน่น คนบนตักนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ผมได้ยินมันจากเธอ “ฉัน ฉันขอไม่ลงรายละเอียด เพราะฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงมัน ฉันไม่อยากให้เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยนะไวท์ ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งตอนหลับ เธอก็ยังช่วยดึงฉันออกมาจากฝันร้ายเหล่านั้น” “ฮึก! นายจะบอกฉันว่า ฉัน ฉันคือผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม นายจะบอกฉันว่า เด็กคนนั้นที่อยู่กับฉัน ยังไม่ตายงั้นเหรอ นาย นายคือเขาเหรอ” ไวท์ขยับตัวหมุนมาเผ
“ทำอะไรอยู่อะไวท์?!” ตึง! ตึง! เสียงของไลน์เนอร์ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง ไม่นานเสียงวิ่งตึงตังก็ดังขึ้นมา และเพียงไม่นานสมุดบันทึกเล่มนั้นก็หลุดออกไปจากมือ ใบหน้าตกใจของเขา ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอ่านมัน เธอคนนั้นที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นแรกไม่ใช่ฉัน แต่มันหมายถึงเธอ เธอที่เหมือนตุ๊กตาของเขา “ฉันจะกลับไปนอนที่บ้าน” ฉันบอกพลางลุกขึ้นจากเตียง เหมือนร่างกายมันจะหมดแรงลงดื้อๆ แต่ก็ฝืนจนยืนได้สำเร็จ คนตรงหน้าฉันเงียบ การที่เขาเงียบ มันทำให้ฉันเริ่มคุมการไหลของน้ำตาไม่ได้ เขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ที่เลือกคบกับเขา “ … เธอ อ่านถึงไหนแล้ว? ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับของอย่างอื่นไง” เขาถาม จากนั้นก็เริ่มตำหนิสิ่งที่ฉันทำ ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่าเจอมันอยู่ในถุงกระดาษ แต่เสียงมันหายไป และไม่นานริมฝีปากก็เม้มแน่น น้ำตาของฉันไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ทั้งๆที่เห็นมันแล้ว เขาทำแค่เพียงมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไวท์!” “ฮึก! … ขอ ขอโทษ!” “ไวท์! มันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเห็นหรอก ฉันผิดเองที่ไม่ได้ตรวจดูมันให้ดี” ไลน์เนอร์ก้าวเข้ามาใกล้ ฉันถอยทั
17 : 45 น. หลังจากเรียนคาบสุดท้ายจบ ไลน์เนอร์ก็อาสามาส่งฉันที่คอนโดก่อน เพราะเขามีท่าทีรีบร้อน ฉันจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา ปล่อยเขาไปทันทีที่วนรถขึ้นมาถึงชั้นบน คนตัวโตทำหน้าตึง แต่ก็รีบบึ่งรถหรูคันโปรดของเขาออกไป Tru Tru “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะมาส่งฉัน และยังขับรถไปได้ไม่ไกลโทรกลับมา ไลน์เนอร์ไม่ยอมพูด บอกให้ฉันรู้ว่าเขากำลังใช้สมาธิในการวนรถลงไปข้างล่าง [ คือ … ฉันซื้อชุดนอนมาให้ เธอช่วยใส่ชุดนั้นนอนรอฉันได้ไหม ] “ที่จะพูดมีแค่นี้ ทำไมไม่พูดตอนมาส่งล่ะ” ฉันแตะคีย์การ์ดเข้ากับเครื่องสแกนหน้าทางเข้า ใช้ใบหน้ากดโทรศัพท์ให้มันแนบกับใบหู ใช้มือดันประตูเข้าไป สอดตัวผ่านช่องว่าง จากนั้นก็ใช้มือถือโทรศัพท์อีกครั้ง [ เหอะน่า! ] “อือ ก็ได้ ขับรถระวังนะ” [ อืม ] ไลน์เนอร์เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นคนรักของเขา ถึงผู้ใหญ่จะยินยอมให้เราคบหากัน แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย คงเพราะไลน์เนอร์เป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยพูดคำว่ารักหรือชอบออกมาดีๆ มันจึงทำให้ฉันเกิดความกังวล ว่าจริงๆแล้ว เขาชอบฉันจริง หรือแค่อยากกันฉันออกจากพี่ชายของเขา
“เสียดายจัง ไม่มีพี่ไวท์อยู่ ข้าวก็ไม่อยากไปเลยอะ ข้าวออกบ้างดีไหมคะ” “แต่นั่นก็เท่ากับว่า ข้าวลดโอกาสของตัวเองลงนะ” “ฮ่าๆ มันยังมีโอกาสเหลือให้ข้าวอยู่เหรอคะ ข้าวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลย ตั้งแต่การหมั้นถูกยกเลิก พี่เขาก็กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ตอนนี้ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด” ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเจอกับข้าวหอมตอนเที่ยงทุกวัน และนั่งปรับทุกข์ให้กันฟังไม่ต่างจากตอนนี้ ทุกข์ของฉันมีไม่มาก แต่ความทุกข์ของข้าวหอมกองโตกว่าภูเขา และวันนี้ ดวงตาของเธอเริ่มฉายความอ่อนล้าออกมา มันเหมือนเธออยากจะตัดใจจากพี่อาเธอร์จริงๆ “อ่า ลอง … ลองทำแบบนั้นดูไหมอะ พี่ก็ พี่ก็ตกไลน์เนอร์ได้เพราะทำแบบนั้นกับเขา” กว่าจะพูดจบ ใบหน้าก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผา ฉันแนะนำอะไรออกไป แล้วทำไมยัยแว่นนี่ ต้องทำหน้าตาจริงจังขนาดนั้น อย่าบอกนะว่า คิดจะทำตามคำแนะนำของฉันจริงๆ “แบบนั้นคือแบบไหนเหรอ?” “ก็แบบ … มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ … กรี๊ด! ไอ้บ้า! จะแกล้งทำไมเนี่ย!” การปรากฏตัวของไลน์เนอร์ ทำฉันตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้ โชคดีที่เขาใช้แผ่นอกดันแผ่นหลังฉันไว้ ซ้ำยังใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวแน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำค
“บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ใช่ลูกรัก ไม่ได้มีพร้อมเหมือนที่พี่อาเธอร์มี แต่ฉัน …ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” ผมเขินตอนพูดประโยคสุดท้าย คำพูดที่เหมือนคนกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ มากกว่าจะเป็นการมาฝากตัวกับครอบครัว ทำเอาไวท์หัวเราะคิกคัก “คิกๆ ฉันเตรียมใจตั้งแต่หลงรักคนอย่างนายแล้วแหละไลน์เนอร์ เพราะฉะนั้น อย่าห่วงเลย” “เธอ เข้มแข็งตลอดเลยนะ” ผมชมคนตัวเล็กที่ยังคงยิ้มไม่หุบ ก้าวเดินต่อไปช้าๆ คราวนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย การมาถึงของเราทั้งคู่ ไม่ได้ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่เกิดความแปลกใจ ผมบอกแม่ไว้แล้วว่าจะพาไวท์มาหา ตั้งแต่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนอเล็กซ์ก็คงรู้มันจากแม่อีกที “สวัสดีครับแม่ อเล็กซ์” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ๊ะหนูไวท์ ไลน์เนอร์เล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะเลย” แม่รับไหว้ผมกับไวท์ อเล็กซ์พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเรา ด้วยความที่แม่อยากจะมีลูกสาวมานาน การที่ผมพาไวท์มา สีหน้าของท่านจึงดูดีมาก ยิ่งตอนที่ไวท์ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพราะโดนฝ่ามือผมดัน ท่านยิ่งยิ้มไม่หุบ “ตายแล้ว! หน้าหนูไปโดนอะไรมาลูก?” รอยยิ้มของแม่หายไป เมื่อได้เห็
“อ๊ะ! นะ นาย / ชู่ว! เบาเสียงหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากถูกคนอื่นจับได้นะ” ผมบอกไวท์ชิดแผ่นหลัง สอบเอวควงความใหญ่โตเข้าออกถี่ขึ้น ความอดทนเริ่มจะถึงขีดจำกัด แต่ก็พยายามยื้อเวลาออกไปอีก เพราะคนที่อยู่ใต้ร่างในท่าโก้งโค้ง ยังไม่ได้แตะขอบสวรรค์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีหรือผมจะสนใจ แต่เพราะนี่คือไวท์ ผมอยากทำให้เธอเสร็จด้วย “อึก!” คนตัวเล็กตัดสินใจใช้มือตัวเองช่วยปิดเสียงคราง เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ผมจึงเลื่อนมือไปด้านหน้า ดึงมือของไวท์ออกมาจากริมฝีปากของเธอ “อึก อื้อ!” ไวท์ลังเลที่จะใช้มือของผม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากหยักสวยก็อ้าออก กดฟันซี่สวยลงบนอุ้งมือ เสียงครางหวานหายไปในทันที ผมสอบเอวถี่ยิบ อีกมือลูบวนบนจุดกระสัน ถี่รัวเป็นจังหวะเดียวกันกับสะโพก ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วลำกาย ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวแน่น สะโพกเล็กแอ่นขึ้นรับสัมผัสหนักหน่วง ตับ! ตับ! “อึก!” “เสียงดีใช้ได้เลยเนอะ” “อ๊ะ อื้อ!” ผมพูดจาหยอกล้อคนตัวเล็ก เพื่อระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะถึงขีดจำกัด ผมยังอยากแช่ตัวตนอยู่ในความคับแน่น อยากกระแทกให้มันลึกกว่านี้ ถี่กว่านี้ แต่ไวท์เสร็จไปแล้ว ความคับแน่นของเธอ ก