ที่อีกด้านหนึ่ง.....
ในห้องประชุมขนาดเล็ก มีผู้ชายที่ดูภูมิฐานในชุดสูทสีดำสนิทกำลังนั่งประสานมือเอาไว้บนโต๊ะกระจกสีใส มองภาพถ่ายตรงหน้าด้วยแววตานิ่งสนิท ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ชายอีกคนที่ถูกว่าจ้างมาเป็นพิเศษ คนๆ นั้นแต่งตัวด้วยเสื้อยืดเกงยีนส์ธรรมดาๆ ดูเซอร์และติกส์แตกสุดๆ ที่ลำคอถูกพาดด้วยเส้นสายสีดำ ต่ำลงมาจนถึงอกมีกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ที่ต่อเลนส์เยอะแยะจนดูแล้วท่าจะหนักมิใช่น้อย
ชายผู้ว่าจ้างก้มหน้าลงมองภาพถ่ายบนโต๊ะอีกครั้ง บนโต๊ะนั้นมีเพียงผู้ชายสองคนอยู่ในภาพ ทั้งความสัมพันธ์ฉันมิตรธรรมดาๆ และอะไรที่มากกว่านั้น บนโต๊ะมีภาพถ่ายเกือบ 200 ใบ ถูกวางกระจายอยู่บนโต๊ะ ชายผู้ว่าจ้างจัดการจรดปลายปากกา เขียนเช็คจำนวนหนึ่ง แล้วส่งให้ โบกมือไล่อย่างอ่อนล้า
ชายที่ทำหน้าที่ตามถ่ายภาพ ยกมือไหว้ขอบคุณ รับเช็คมาถือไว้ในมือ แล้วเดินหันหลังจากไป ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อมองจำนวนเงินในมือ ก่อนจะพึมพำเบาๆ
“โทษทีเหอะว่ะ คนต้องกินต้องใช้” ว่าจบก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ทิ้งให้อดีตผู้ว่าจ้างนั่งกุมขมับด้วยความเครียดเกร็ง..
ร่างสูงที่รีบเร่งเดินทางมาด้วยความรวดเร็ว จอดรถเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แล้วก้าวเท้าลงจากรถ เดินมุ่งตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งมีการประดับตกแต่งไม่ต่างจากบ้านหลังก่อนหน้า เพียงแต่ว่าทุกอย่างมันจบสิ้นลงแล้ว ที่บ้านหลังนี้ไร้ผู้คน มันดูเงียบเหงาเหมือนเมื่อยามที่งานเลี้ยงเลิกรา โต๊ะจีนที่ถูกเรียกมาเริ่มต้นเก็บข้าวของเข้าที่ ทำการรื้อค้นอุปกรณ์ออก จัดเก็บข้าวของขึ้นรถทำให้คนที่เร่งรีบเดินทางมาถึงกับหยุดชะงัก หายใจหอบเหนื่อย ดวงใจหนักอึ้ง ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาคือ ไม่ทัน.... ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว.... คิดพลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง ดวงตาเหม่อมองไปที่ประตูบ้าน พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่มันจะไหลออกมาช้าๆ เมื่อเห็นคนรักประคอง ภรรยา ออกมาจากบ้านหลังโต และหยุดชะงักลงเมื่อเห็นร่างสูงนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จึงหันไปร้องบอกภรรยาหมาดๆ เบาๆ ลูบหัวอีกนิดหน่อย แล้วจึงเดินสาวเท้าเข้ามาหา ในขณะที่เจ้าสาวแยกตัวไปอีกทางพร้อมกับชายชุดดำคนหนึ่งตึก ตึก ตึกเสียงย่ำเท้าในจังหวะ
[ไอ้เบสมันกลับมาไทยแล้ว!!! แล้วกำลังจะ แต่งงาน วันพรุ่งนี้!!! มึงไปมุดหัวอยู่ที่ไหนห๊ะ!!!] เสียงของไอ้วุฒิดังมาตามสาย ผมร้องออกไปอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง“อะไร.... นะ” เสียงของผมเบาหวิว หูดับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก แม้ว่าคนที่ปลายสายจะโวยวายออกมายกใหญ่ แต่ผมจับใจความอะไรไม่ได้เลย นอกจากคำว่า แต่งงานแต่งงานอะไร? แต่งกับใคร? ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมผมถึงไม่เห็นรู้? ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างคนคิดอะไรไม่ออก นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ลำดับเหตุการณ์ไม่ถูกว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง ก่อนจะกดตัดสายเพื่อนทิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วกดโทรออกไปหาคนๆ หนึ่ง“เตรียมเครื่องบินให้ฉัน ด่วน!!!!” หลังจากนั้นก็กดวางสาย มือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นจนมันแทบจะแหลกคามือ“เบส.... โธ่เว้ย!!!!” ตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย รีบเก็บข้าวของๆ ตัวเอง แล้วก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เดินลงไปรอที่ด้านล่างด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านใจ“อีกแล้ว หนีกูไปอีกแล้ว!!!” เดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ก่อนที่รถเช่าจะมาจอ
“โอ้ย ฮึก ฮืออออ” ผมนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง เจ็บตามเนื้อตัวก็ว่าพอแรงแล้ว ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วย คิดไปคิดมาที่มันเป็นแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่“ฮือออ อึก!” อาการพะอืดพะอมเริ่มตีตื้นขึ้นมา ชวนให้พาร่างที่เจ็บปวดรวดร้าวคลานเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่เดินแทบไม่ไหว“อุ้บ อ๊อก อ้วกกกกกก” ผมกอดโถ่เอาไว้พร้อมกับอาเจียนน้ำย่อยสีขาวใสลงโถ่อย่างคนหมดแรง จนเมื่อความรู้สึกพะอืดพะอมจางหายไป แทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ภายใน จนต้องงอตัว มือถูกกดไว้ที่หน้าท้องของตัวเองแน่น เหมือนอยากให้มันช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดวงตาเริ่มปรือปรอยจะปิดพับลง ตัวโอนเอนไปมาอย่างห้ามไม่อยู่“เบส!!!” เสียงของคนรักเข้ามารับได้ทันก่อนที่ลำตัวจะล้มลงกับพื้นห้องน้ำ“เมีย!! เป็นอะไร! เจ็บตรงไหน บอกกูสิ!! เบส!!” ไอ้ซันร้องเรียกผมให้พยายามมีสติ ฝ่ามือขยับแตะไปทั่วตัวอย่างเป็นห่วง ผมพยายามฝืนความต้องการของร่างกาย ร้องบอกเสียงเบา“ยา... หัวเตียง...” เพียงเท่านั้นเป็นอันรู้เรื่อง มันอุ้มผมขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว พาไปนอ
“ขอบใจ” ผมเอ่ยปากบอกเบาๆ หลังจากมาถึงที่หมาย และผมกับไอ้ซันก็ลงมายืนอยู่นอกรถแล้วทั้งคู่ พูดบอกพลางรับเอากุญแจรถมาถือไว้ในมือตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึกเสียงย่ำเท้าก้าวเดินดังขึ้นในจังหวะที่เสมอกัน จนต้องหันหลังกลับไปมอง ดึงสายตากลับมาแล้วขยับเท้าอีกครั้งตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึก“จะตามกูเพื่อ?” หันกลับไปถามคนหน้ามึนที่ทำเป็นตีเนียน เดินตามหลังมาแบบติดๆ“ไปส่ง” ผมกลอกตามองบนใส่ ก่อนจะพูดออกมา“จะหลอกเข้าห้องกูก็บอก”“เออ”“เชี่ยนี่ ยอมรับหน้าด้านๆ เลยนะมึง โกหกก็ได้หรอก” ผมได้แต่อ้าปากค้างกับความตรงของไอ้ซัน ไม่มีการเล่นตัวให้ได้เห็น แต่ไอ้ซันทำเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะผลักหลังผมอีกครั้ง“ไปสิ หนาวจะแย่” ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินนำออกไปแบบมึนๆ ซึ่งมีไอ้ซันเดินตามหลังมาติดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะสิงตัวเข้าไปแล้วผมเดินนำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงท
“บอสครับ เสร็จรึยังครับ”“แป๊บหนึ่ง”“บอสสสส จะสายแล้วนะครับ”“ผมบอกว่าแป๊บหนึ่งไง”“แป๊บหนึ่งก็ไม่ได้ครับ ลุกเดี๋ยวนี้เลยครับ”“ก็ได้ๆ ๆ” ผมพูดพร้อมกับตวัดปลายปากกาเซ็นเอกสารฉบับสุดท้าย วันนี้ผมพยายามเคลียร์งานตรงหน้าให้เสร็จ เพราะมีแผนว่าจะไม่เข้าออฟฟิศอีกในวันนี้“ไปเร็วๆ ชักช้าจริงนะลูคัส” ผมพูดพร้อมกับหยิบเอาเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ มาถือไว้ในมือ เดินไปอีกนิดคว้าเอาผ้าพันคอสีแดงขึ้นมาด้วย พร้อมกับแต่งตัวพลางก้าวเท้าเดินออกไปจากห้อง ลูกน้องคนสนิทที่มีอายุมากกว่า 2 - 3 ปี ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่ายหน้าระอาใจ“ทำเหมือนผมเป็นคนผิดทุกทีสิน่า” พูดบ่นก่อนจะรีบวิ่งตามเจ้านายไป พร้อมกับแย่งกระเป๋าเอกสารมาถือไว้แทน“เร็วๆ เลยครับ ถ้าไปสายแล้วดูไม่ดี ผมจะพูดว่าเป็นความผิดบอส”“โอ้ย นี่ก็รีบจนจะเป็นเพนกวิ้นบินได้อยู่แล้วนะ” ผมพูดบ่น ขัดใจเล็กๆ เมื่อตัวเองตัวเล็กกว่าลูกน้อง ทั้งๆ ที่เดินนำหน้าออก
Bass Partผมนั่งเท้าคาง หันหน้าเหม่อมองออกไปที่ด้านนอก ดวงตาจ้องมองท้องฟ้าสีครามที่มีปุยเมฆประดับอยู่ ก้อนเมฆลอยต่ำ สีขาวสะอาดตา กำลังขับเคลื่อนไปช้าๆ น่าดูชม หากแต่ไม่ใช่กับผมในตอนนี้ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ 1 เดือนแล้ว เคาะปากกาในมือเป็นจังหวะอย่างเบื่อหน่าย ละเลยสิ่งที่วางกองอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คิดจะใส่ใจมันน่าหงุดหงิดเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าแอคเคาน์ตัวเองในโลกโซเชียลมีอะไรบ้าง รหัสผ่านคืออะไร แต่เพราะเทคโนโลยีมันดีเกินไป จะต้องยืนยันตัวตนจากเครื่องเก่าก่อน หรือได้รับรหัสผ่านก่อน ผมจึงไม่สามารถเข้าล็อกอินได้ดั่งใจอยาก เลยได้แต่สมัครไอดีใหม่ แล้วไปตามดูชีวิตของคนรักเงียบๆสายตาดึงกลับมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ภาพของคนรักและพี่คมกำลังกอดคอยืนยิ้มให้กล้อง พร้อมกับคำสั้นๆ ว่าผมสัญญา...ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน แม้ผมจะพยายามติดต่อพี่คมไปมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไร้การตอบกลับ ไม่รู้ว่าจงใจหลบหน้าผมหรือถูกกีดกันเหมือนอย่างที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้กันแน่ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นอย่างหลัง เพร