ในเช้าวันถัดมาพวกผมกับไอ้ซันก็จัดข้าวกับน้ำไว้ให้ไอ้วุฒิ ยืนมองมันที่นอนกอดขวดเหล้าอยู่บนเตียง ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว มันไม่สามารถออกจากห้องได้ เนื่องจากพวกผมคอยขวางทางเอาไว้ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพากันออกจากห้อง หลังจากที่คิดว่าผ่านมา 2 – 3 วัน มันอาจจะพอมีสติขึ้นมาบ้าง
พวกผมตั้งใจจะไปเยี่ยมไอ้เพชรสักหน่อย โดยติดต่อผ่านไอ้นายไว้ ถ้าไปตอนนี้ไอ้วุฒิมันคงหาไม่เจอหรอกครับ เพราะหายไปกันหมด ก่อนที่เราจะเร่งรีบออกจากห้องกันสองคน พวกผมมาตามที่ไอ้นายนัดไว้ แล้วขึ้นไปพร้อมกัน จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องๆ หนึ่ง
“นี่ไม่ใช่ชื่อไอ้เพชรนี่ ถูกห้องหรอว่ะ” ไอ้ซันถามอย่างสงสัย ก่อนจะมองลอดเข้าไปภายในห้องพักนั้น
“ถูกสิ พี่เนมเป็นคนจัดการนะ จะให้ตามหาเจอง่ายๆ ได้ยังไง” ไอ้นายพูดพลางเปิดประตูเข้าไป เจอเจ้าของห้องนอนหันหลังอยู่
“อ้าว!! ผิดห้อง!! ไปๆ ๆ ๆ” ไอ้นายว่าอย่างตกใจ แล้วดุนดันหลังพวกผมให้รีบออกไปทันที ไม่อยากรบกวนผู้ป่วย
“กูบอกแล้ว!!! มึงอะมั่วไอ้นาย” ทันทีที่ออกมาจากห้
“โอ้ย ฮึก ฮืออออ” ผมนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง เจ็บตามเนื้อตัวก็ว่าพอแรงแล้ว ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วย คิดไปคิดมาที่มันเป็นแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่“ฮือออ อึก!” อาการพะอืดพะอมเริ่มตีตื้นขึ้นมา ชวนให้พาร่างที่เจ็บปวดรวดร้าวคลานเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่เดินแทบไม่ไหว“อุ้บ อ๊อก อ้วกกกกกก” ผมกอดโถ่เอาไว้พร้อมกับอาเจียนน้ำย่อยสีขาวใสลงโถ่อย่างคนหมดแรง จนเมื่อความรู้สึกพะอืดพะอมจางหายไป แทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ภายใน จนต้องงอตัว มือถูกกดไว้ที่หน้าท้องของตัวเองแน่น เหมือนอยากให้มันช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดวงตาเริ่มปรือปรอยจะปิดพับลง ตัวโอนเอนไปมาอย่างห้ามไม่อยู่“เบส!!!” เสียงของคนรักเข้ามารับได้ทันก่อนที่ลำตัวจะล้มลงกับพื้นห้องน้ำ“เมีย!! เป็นอะไร! เจ็บตรงไหน บอกกูสิ!! เบส!!” ไอ้ซันร้องเรียกผมให้พยายามมีสติ ฝ่ามือขยับแตะไปทั่วตัวอย่างเป็นห่วง ผมพยายามฝืนความต้องการของร่างกาย ร้องบอกเสียงเบา“ยา... หัวเตียง...” เพียงเท่านั้นเป็นอันรู้เรื่อง มันอุ้มผมขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว พาไปนอ
“ขอบใจ” ผมเอ่ยปากบอกเบาๆ หลังจากมาถึงที่หมาย และผมกับไอ้ซันก็ลงมายืนอยู่นอกรถแล้วทั้งคู่ พูดบอกพลางรับเอากุญแจรถมาถือไว้ในมือตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึกเสียงย่ำเท้าก้าวเดินดังขึ้นในจังหวะที่เสมอกัน จนต้องหันหลังกลับไปมอง ดึงสายตากลับมาแล้วขยับเท้าอีกครั้งตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึก“จะตามกูเพื่อ?” หันกลับไปถามคนหน้ามึนที่ทำเป็นตีเนียน เดินตามหลังมาแบบติดๆ“ไปส่ง” ผมกลอกตามองบนใส่ ก่อนจะพูดออกมา“จะหลอกเข้าห้องกูก็บอก”“เออ”“เชี่ยนี่ ยอมรับหน้าด้านๆ เลยนะมึง โกหกก็ได้หรอก” ผมได้แต่อ้าปากค้างกับความตรงของไอ้ซัน ไม่มีการเล่นตัวให้ได้เห็น แต่ไอ้ซันทำเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะผลักหลังผมอีกครั้ง“ไปสิ หนาวจะแย่” ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินนำออกไปแบบมึนๆ ซึ่งมีไอ้ซันเดินตามหลังมาติดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะสิงตัวเข้าไปแล้วผมเดินนำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงท
“บอสครับ เสร็จรึยังครับ”“แป๊บหนึ่ง”“บอสสสส จะสายแล้วนะครับ”“ผมบอกว่าแป๊บหนึ่งไง”“แป๊บหนึ่งก็ไม่ได้ครับ ลุกเดี๋ยวนี้เลยครับ”“ก็ได้ๆ ๆ” ผมพูดพร้อมกับตวัดปลายปากกาเซ็นเอกสารฉบับสุดท้าย วันนี้ผมพยายามเคลียร์งานตรงหน้าให้เสร็จ เพราะมีแผนว่าจะไม่เข้าออฟฟิศอีกในวันนี้“ไปเร็วๆ ชักช้าจริงนะลูคัส” ผมพูดพร้อมกับหยิบเอาเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ มาถือไว้ในมือ เดินไปอีกนิดคว้าเอาผ้าพันคอสีแดงขึ้นมาด้วย พร้อมกับแต่งตัวพลางก้าวเท้าเดินออกไปจากห้อง ลูกน้องคนสนิทที่มีอายุมากกว่า 2 - 3 ปี ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่ายหน้าระอาใจ“ทำเหมือนผมเป็นคนผิดทุกทีสิน่า” พูดบ่นก่อนจะรีบวิ่งตามเจ้านายไป พร้อมกับแย่งกระเป๋าเอกสารมาถือไว้แทน“เร็วๆ เลยครับ ถ้าไปสายแล้วดูไม่ดี ผมจะพูดว่าเป็นความผิดบอส”“โอ้ย นี่ก็รีบจนจะเป็นเพนกวิ้นบินได้อยู่แล้วนะ” ผมพูดบ่น ขัดใจเล็กๆ เมื่อตัวเองตัวเล็กกว่าลูกน้อง ทั้งๆ ที่เดินนำหน้าออก
Bass Partผมนั่งเท้าคาง หันหน้าเหม่อมองออกไปที่ด้านนอก ดวงตาจ้องมองท้องฟ้าสีครามที่มีปุยเมฆประดับอยู่ ก้อนเมฆลอยต่ำ สีขาวสะอาดตา กำลังขับเคลื่อนไปช้าๆ น่าดูชม หากแต่ไม่ใช่กับผมในตอนนี้ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ 1 เดือนแล้ว เคาะปากกาในมือเป็นจังหวะอย่างเบื่อหน่าย ละเลยสิ่งที่วางกองอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คิดจะใส่ใจมันน่าหงุดหงิดเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าแอคเคาน์ตัวเองในโลกโซเชียลมีอะไรบ้าง รหัสผ่านคืออะไร แต่เพราะเทคโนโลยีมันดีเกินไป จะต้องยืนยันตัวตนจากเครื่องเก่าก่อน หรือได้รับรหัสผ่านก่อน ผมจึงไม่สามารถเข้าล็อกอินได้ดั่งใจอยาก เลยได้แต่สมัครไอดีใหม่ แล้วไปตามดูชีวิตของคนรักเงียบๆสายตาดึงกลับมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ภาพของคนรักและพี่คมกำลังกอดคอยืนยิ้มให้กล้อง พร้อมกับคำสั้นๆ ว่าผมสัญญา...ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน แม้ผมจะพยายามติดต่อพี่คมไปมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไร้การตอบกลับ ไม่รู้ว่าจงใจหลบหน้าผมหรือถูกกีดกันเหมือนอย่างที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้กันแน่ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นอย่างหลัง เพร
กำหนดการแข่งขันสำหรับรอบชิงชนะเลิศแข่งขันร้องเพลงนานาชาติถูกกำหนดให้จัดขึ้นในอีก 5 วันข้างหน้า ทางทีมงานได้สอบถามพวกเราทั้ง 5 คน ว่าต้องการให้เตรียม เซ็ทฉากแบบไหน เราแต่ละคนก็บอกความต้องการไป ง่ายบ้างยากบ้างแล้วแต่คน แต่ระดับฮอลลีวูดมาเอง คงไม่ยากเกินมือพวกเขาหรอกเนื่องจากทางทีมงานต้องจัดเตรียมอะไรหลายๆ อย่าง จึงใช้เวลามากกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ซึ่งครอบครัวและเพื่อนๆ ต่างก็เฝ้ารอดู เรียกได้ว่านั่งชิดติดขอบสนาม คนทั้งหมดมากองรวมกันอยู่ในห้อง เพื่อนั่งเฝ้ามองผมทำการฝึกซ้อมเพลงสุดท้ายที่ผมตั้งใจไว้คือเพลงแห่งคำสัญญาของเรา ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ แค่ได้มีโอกาสและมาถึงรอบสุดท้ายแบบนี้ก็นับว่าดีมากๆ แล้ว ถ้าเขายังรักผมอยู่ถ้าเขายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ผมเชื่อมั่นว่าอย่างไรก็ต้องได้เห็นความตั้งใจของผม มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่สักวันหนึ่ง เขาอาจจะผ่านมาเจอ....ตอนนี้ผมกำลังฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบเพลง เกิดความเงียบขึ้นรายล้อมกาย ผมละสายตาจากพื้นที่ข้างกาย หันไปมองครอบครัวและเพื่อนฝูงที่นั่งกองรวมกันอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง เด็ก
“You know I want you(ต้องการเธอแค่ไหน)It's not a secret I try to hide(เธอเองคงรู้และเข้าใจกว่าใคร)I know you want me(และเธอต้องการฉัน)So don't keep saying our hands are tied(แต่ใยพร่ำพูดว่าเป็นไปไม่ได้)You claim it's not in the cards(ชะตาที่เป็นของเราเอง)But fate is pulling you miles away(กลับนำเธอไปให้ไกลห่าง....ออกไป)And out of reach from me(จนเธอแทบลับสายตา)But you're here in my heart(แต่พบเธอนั้นในหัวใจ)So who can stop me if I decide(จะไม่มีวันที่ใครมาหยุดฉัน)That you're my destiny?(เธอคือพรหมลิขิตนั้นใช่ไหม)What if we rewrite the stars?(หากสองเราวาดดาวขึ้นใหม่)Say you were