นีร่าไม่เคยกลัวแสงแดด
แต่ยามเช้าของวันที่สามบนแผ่นดิน เธอเริ่มหลีกเลี่ยงมัน… อย่างไม่รู้ตัว ผิวของเธอเคยเนียนชื้น ดั่งเนื้อปลาในละอองเกลือ แต่ตอนนี้ แห้งตึง แห้งจนเมื่อเธอขยับนิ้วแขน เหมือนมีบางอย่าง ลั่นอยู่ใต้ผิวหนัง เธอเอามือแตะต้นแขน และพบว่าผิวเริ่มแตกลายบางจุด เส้นรอยแตกเล็ก ๆ ที่เหมือนลายแห้งบนดินร้าง... บางจุดหลุดออกเป็น เศษสะเก็ดบาง ๆ ราวกับเกล็ดปลาที่แห้งกรัง เมื่อเธอเกา เศษผิวซีดขาวร่วงลงกับพื้นทราย และจากใต้รอยนั้น... มี เบทะ ของเหลวใสอมเงินที่คล้ายเลือดของเงือก ซึมออกมาเงียบ ๆ เหมือนหยดน้ำจากหินในถ้ำ เธอหอบเบา ๆ หน้าอกกระเพื่อม ผิวตรงซี่โครงขึ้นเงา — ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นการตอบสนองสุดท้ายของผิวที่ “เคยอยู่ใต้น้ำ” ความเงียบที่ไม่สามารถพูด เธอไม่บอกอีธาน เพราะในแววตาของเขามีความสุข และเธอไม่อยากให้เขารู้ว่า ร่างของเธอ กำลังค่อย ๆ แหลกสลายจากภายใน เมื่อเขายื่นถ้วยน้ำจืดมาให้ เธอรับไว้ แต่ไม่ใช่เพื่อดื่ม เธอรินลงมือ แล้วลูบเข้ากับแขน ชะโลมเบา ๆ ให้ผิวไม่ขาด น้ำเปล่าเย็นเฉียบไหลลงมาตามข้อศอก และเธอ... หลับตาในชั่ววินาทีนั้น เหมือนได้หายใจใต้น้ำอีกครั้งหนึ่ง คืนที่เธอร้องไห้เงียบ ๆ กลางดึก อีธานหลับแล้ว เธอเดินออกไปริมฝั่ง ย่อตัวลง และปล่อยให้คลื่นเล็ก ๆ ซัดเข้ามาแตะปลายเท้า ทันทีที่ผิวสัมผัสน้ำทะเล ความเย็นไหลเข้ากระดูก... ผิวที่แตกร้าวเริ่มแนบสนิทกลับชั่วครู่ เหมือนร่างเธอ... จำได้ว่า “นี่คือบ้าน” นีร่ากัดริมฝีปากแน่น เพราะรู้ว่าเธออยู่ห่างจากมันนานเกินไป “เรารอดจากเกาะต้องสาป... แต่ข้าอาจไม่รอดจากแผ่นดิน” นีร่าคลานเข่าช้า ๆ ไปยังริมคลื่น ปลายนิ้วจุ่มลงน้ำ เธอกำไว้แน่น สัมผัสเย็นของทะเลเหมือนกระแสเลือดที่หายไปกลับคืนมาชั่วครู่ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น... เมื่อเธอเงยหน้ามองแสงดาว — หัวใจกลับรู้สึก หนักแน่นด้วยความเจ็บปวด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเคลื่อนเข้ามาเบื้องหลัง เธอไม่หันกลับ — เพราะรู้ว่าใคร “คิดอะไรอยู่?” เสียงของมาริเบลเอ่ยขึ้น เงียบ เรียบ ถัดมาไม่กี่ก้าวคือไอล่า สวมเสื้อคลุมผ้าดิบ ท่าทางเรียบง่ายแต่สายตาคมเฉียบเหมือนเคย นีร่าพูดเบา ๆ ราวกระซิบกับทะเล “ข้า... เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน” มาริเบลนั่งลงข้างเธอ ไอล่าคุกเข่าลงอีกฝั่ง ทั้งสองมองทะเล ไม่เร่ง ไม่เร้า “เจ้าเปลี่ยนไปมากตั้งแต่มาอยู่กับพวกเรา” มาริเบลเอ่ย “แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งดี... ถ้ามันทำให้เจ้าลืมว่าเจ้าคือใคร” ไอล่าพูดต่อโดยไม่สบตา “ข้ารู้จักแววตาแบบนั้น... แววตาของคนที่อยากอยู่ แต่ร่างกายเริ่มไม่ยอมให้ใจอยู่ต่อ” นีร่านิ่งงัน เลือดยังซึมออกจากรอยแตกบางจุดตรงแขน แม้เธอจะซ่อนมันใต้ผ้าคลุมบาง ๆ “ข้ารักเขา...” เธอพูดเสียงสั่น “หรืออย่างน้อย ข้าคิดว่าข้ารัก...” มาริเบลมองเธอนิ่ง “เจ้าเคยรู้สึกแบบนั้นก่อนหน้านี้ไหม กับมนุษย์คนอื่น” นีร่าส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เคย… เขาไม่เหมือนใคร เขาฟังข้า เขาไม่กลัวข้า” “แต่เขาหายใจด้วยอากาศ เจ้า... หายใจด้วยน้ำ” ไอล่าพูดเสียงเบา คืนที่หกบนฝั่งเมืองน่าหลงใหลนามว่า ดาร์กวาเรน เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ยิ้มแย้ม น้ำสะอาด และผู้คนอัธยาศัยดีเกินจริง เมืองที่มอบข้าวปลา สุรา และเสียงหัวเราะ เมืองที่ให้ทุกสิ่ง... ยกเว้นเงาในแววตา อีธานเริ่มเป็นคนแรกที่รู้สึก ระหว่างเดินผ่านตลาดในเช้าอันสดใส หญิงขายผลไม้ที่ยื่นแอปเปิลให้เขา พูดด้วยน้ำเสียงและคำเดียวกันกับเมื่อวาน เหมือน บันทึกที่เล่นซ้ำ “ลองชิมดูสิ สดจากสวนข้างเขา…” น้ำเสียงนั้นเหมือนทุกพยางค์ถูกกดจากลิ้นกล ริมฝีปากขยับไม่สอดคล้องกับเสียง และเมื่อเขาเดินกลับมาทางเดิมอีกครั้ง ห้านาทีต่อมา หญิงคนเดิม… ยื่นแอปเปิลด้วยประโยคเดียวกัน ท่าทางเดิม มือข้างเดิม แม้แต่ทิศทางลม… ยังไม่เปลี่ยน เมื่อเมืองเริ่มหายใจ คืนนั้น พวกเขานอนไม่หลับ นีร่าเดินออกมายังลานกว้างหน้าโบสถ์ และพบว่าอาคารทุกหลัง… “มีไอน้ำพวยพุ่งออกจากหน้าต่าง” เหมือนช่องปอด... หายใจ ไม่ใช่ไอร้อนของไฟ หรือควันอาหาร แต่เป็นไอเย็น... เหมือนร่างกายที่เพิ่งตาย ยังอุ่นอยู่ --- ความจริงที่อยู่ใต้พื้นดิน อีธานกับนีร่าตัดสินใจตามหาทางออก พวกเขาลงไปยังใต้โบสถ์ ที่นั่น พวกเขาพบอุโมงค์ ลึกลงไปใต้แผ่นดิน — เย็นเฉียบ และชื้นแฉะเหมือนร่างเน่า และตรงกำแพงอุโมงค์ มีรอยฝ่ามือหลายร้อยนับไม่ถ้วน ขูดด้วยเล็บจนเลือดไหลทิ้งร่อง บางรอยมีเศษเล็บมนุษย์ฝังคาอยู่ในผนัง ที่ปลายสุดของอุโมงค์ พวกเขาพบห้องโล่ง — เต็มไปด้วยโต๊ะอาหาร แต่บนจานทุกจาน… มีสิ่งเดียวกัน กระดูกมนุษย์ที่ถูกเคี้ยวแล้ว --- ไม่มีเมืองที่ชื่อดาร์กวาเลน เมื่อพวกเขากลับขึ้นมาข้างบน เมืองเงียบลง ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีผู้คน ร้านทุกหลังยังเปิดอยู่ แต่ไม่มีใคร… ขยับเลยแม้แต่นิด หญิงขายแอปเปิลยังยื่นผลไม้ลูกเดิม… มือยังกางอยู่ในอากาศ… แต่ริมฝีปากหยุดนิ่ง ตาไม่กะพริบ อีธานก้าวเข้าไปใกล้ และสัมผัสตัวเธอเบา ๆ เย็น… เหมือนซากปลา ผิวเธอหยุ่น... ไม่ใช่ผิวคน แต่เป็น เนื้อที่ถูกหล่อขึ้นมา แล้วเขาก็สังเกตว่า… บ้านเรือนทั้งหมดไม่ได้ต่อด้วยไม้ แต่ต่อจาก เส้นเอ็น แผ่นไม้ทุกแผ่นมี “รูพรุน” เหมือนรูหายใจ ทั้งเมือง… คือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่หลอกให้พวกเขาคิดว่าเป็นเมือง และสิ่งที่เดินพูดคุย คือ “ชิ้นส่วน” ที่มันขยับได้