เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเรือเก่า ส่งเสียงผสานกับเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้ากระดานเรือเป็นระยะ มันไม่ใช่เรือที่มั่นคงนัก แต่พอพาให้พวกเขาหลุดจากผืนแผ่นดินที่แทบพรากชีวิตไปแล้ว
อีธานกับแบร์กตันช่วยกันกางใบเรือซึ่งผ่านการปะซ่อมอย่างเร่งรีบ เชือกมัดเสาบางจุดแทบจะหลุดออกจากกัน ขณะที่มาริเบลกับนีร่าแยกผลไม้ป่าที่เก็บมาใส่ภาชนะ บางอย่างเริ่มเน่าแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าความว่างเปล่า “เรามีเวลาไม่มากก่อนน้ำจะหมด” อีธานกล่าวเรียบ ๆ พลางตรวจถังไม้ที่ใช้รองน้ำค้างจากใบไม้ แบร์กตันยืนนิ่ง มองเกาะที่ค่อย ๆ จางหายไปในสายหมอก — ไม่พูดอะไรเลย --- วันที่สองกลางทะเล แสงแดดแรงจัด พื้นเรือร้อนจนแผ่นไม้แตกร้าวในบางจุด ลูกเรือพยายามใช้ผ้าชุบน้ำพันศีรษะ ลดอาการเพลียแดด อีธานวัดระดับน้ำจืดในถัง แล้วแจกแจง “เหลือพอให้กินได้วันละสองอึก... ถ้าไม่มีฝน เราต้องเริ่มจับน้ำทะเลกลั่นเอง” นีร่าเงยหน้ามองฟ้า “ไม่มีเมฆ... ไม่มีลม... ไม่มีนก...” เหมือนทุกอย่างรอบตัวกลืนหาย — พวกเขาอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า --- วันที่ห้า เข็มทิศหมุนช้า ๆ… แล้วหยุด… ก่อนจะหมุนกลับอีกทาง อีธานเคาะมันกับขอบเรือ “มันเสียแน่ ๆ” “หรือเรือมันวนเป็นวงกลม” แบร์กตันพูดเบา ๆ เหมือนคนยอมแพ้ บรอลซึ่งยังนั่งซึมจากแผลเก่าพูดขึ้นเบา ๆ “นี่คือการลงโทษของทะเลใช่มั้ย…” “ทะเลไม่ลงโทษใคร” อีธานตอบทันที เสียงแข็ง “มันแค่ไม่สนว่าเราจะรอดหรือเปล่า” ทุกคนเงียบ… --- วันที่เจ็ด — ความเครียดเริ่มกัดกิน มาริเบลเริ่มเพ้อ พูดลอย ๆ ถึงกลิ่นเนื้อย่าง ทั้งที่ไม่มีอาหารร้อน ๆ มานานกว่าสัปดาห์ นีร่าพยายามปลอบแต่ก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ “เราต้องมีวินัยในการกิน... แค่ผลไม้แห้งสองชิ้นต่อมื้อพอ...” แบร์กตันยืนพิงเสาเรือ ดวงตาเหม่อลอย “ข้าเคยรอดจากพายุ... รอดจากศึก รอดจากคุก... แต่ไม่เคยรอดจากความว่างเปล่า” เสียงคลื่นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มันกลายเป็นเสียงที่ทำให้ใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล --- คืนวันที่แปด เสียงทะเลสงบนิ่งจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน อีธานนั่งจ้องท้องฟ้า พึมพำกับตัวเอง “ถ้ามีดาวขึ้น เราจะพอรู้ทิศ... แต่ไม่มีเลย” เขาเอื้อมหยิบแผนที่ออกมากาง — ไม่มีอะไรแน่ชัด ไม่มีแนวหมู่เกาะ ไม่มีจุดใดที่อ้างอิงได้จากที่อยู่ “เราอาจกำลังอยู่ในแถบทะเลที่ไม่มีใครจดไว้ในแผนที่” นีร่าพูดเสียงเบา “ไม่มีคนมาถึง... และไม่มีคนกลับออกไปได้...” --- วันที่สิบ — ความเงียบที่อันตรายที่สุด ไม่มีใครพูด ไม่มีใครร้อง ทุกคนแค่เฝ้ามองเส้นขอบฟ้าอย่างว่างเปล่า เสียงเดียวคือเสียงของ “ความอดทนที่ใกล้หมด” แบร์กตันลุกขึ้นยืน ก้าวไปที่หัวเรือ มือกำหมัดแน่น “ถ้าเราไม่เปลี่ยนทิศ... ถ้าเรายังปล่อยให้ตัวเองถูกลากไป... เราจะไม่มีวันรอด” เขาหันกลับมา ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่ ไม่มีแนวฝั่ง แต่ยังมีแขน และความเชื่อว่าทะเล... ต้องมีขอบเขตของมันสักที่ เรือค่อย ๆ เคลื่อน...ไม่ใช่ตามลมแต่ตามแรงของคน แรงสุดท้ายที่มีอยู่ในตัวพวกเขา และเมื่อค่ำวันนั้นล่วงไป — เมฆเริ่มรวมตัว หยาดฝนแรก ตกลงมาเงียบ ๆ เหมือนคำสัญญาเล็ก ๆ ว่า "ยังมีโอกาสรอด"วันที่สิบสองของการล่องทะเล น้ำดื่มแทบหมด ทะเลเงียบเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น ไร้คลื่น ไร้ลม และไร้ปลาสักตัวมาเคลื่อนไหวผืนน้ำ จู่ ๆ ท่ามกลางม่านหมอกที่หนาแน่นมาตลอดวัน... เงาสูงของเสากระโดงเรือจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้นในสายตา แบร์กตันยืนขึ้น ดวงตาหรี่ลงเพื่อฝ่าไอเค็มของทะเล “นั่นมัน... เสากระโดงเรือจริง ๆ หรือข้าเพ้อ?” อีธานยันตัวขึ้นมาจากพื้นเรือที่ร้อนผ่าว “ไม่ใช่แค่เสา... ดูนั่นสิ...” เมืองทั้งเมือง ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายหมอก ตึกรามไม้สูงเก่า ท่าเรือที่เต็มไปด้วยซากเรือโจรสลัด โครงเรือหักพัง และเรือบางลำยังคงแล่นไปมาอย่างช้า ๆ เรือของพวกเขาแล่นเข้าใกล้ — และป้ายไม้ซีดจางที่แขวนอยู่บนปากท่าก็เผยตัวอักษรที่ถูกไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่ง: ดาร์กวาเรน เมื่อเท้าเหยียบฝั่ง พื้นไม้ของท่าเรือส่งเสียงลั่นทุกย่างก้าว กลิ่นควัน ถ่าน และเกลือทะเลลอยคลุ้งในอากาศ ไม่มีใครมาต้อนรับ แต่เห็นเงาคนเดินในตรอก บางคนใส่ผ้าคลุมหน้า บางคนมีดาบเสียบอยู่ข้างลำตัว บางคน... ไม่มีตาข้างหนึ่ง ชายแก่รูปร่างผอมเดินผ่านมา หยุดมองพวกเขาแล้วเอ่ยเสียงแหบ “หลงมาเรอะ?” แบร์กตันไม่ตอบทันที “ที่นี่คือ... เมืองอะไรกันแน่?” ชายแก่หัวเราะเบา ๆ “ที่นี่ไม่มีคำถาม มีแต่การอยู่รอด ใครมีเงินทองก็ซื้อได้ทุกอย่าง ใครไม่มี... ก็กลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ควรเป็น” แผ่นดินเล็ก ๆ ที่พวกเขาเทียบฝั่งได้นั้นไม่ใช่เมืองใหญ่ เป็นเพียงแนวชายฝั่งเงียบสงบ เต็มไปด้วยหญ้าทะเลพริ้วตามลม และเงาไม้ที่ทอดยาวลงสู่หาดทราย อีธานลากเรือขึ้นฝั่งอย่างหมดแรง นีร่าเดินตามหลัง หยดน้ำเกลือยังเกาะตามขาเนียนและข้อศอก เธอยืดตัวสูดลมหายใจเต็มปอดครั้งแรกในรอบหลายวัน “เรายังไม่ตาย...” เธอพึมพำเบา ๆ อีธานหัวเราะแห้ง ๆ “แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเรามาถึงที่ไหน” เขาทิ้งตัวลงบนผืนทราย นีร่านั่งลงข้าง ๆ ไหล่ของเธอสัมผัสแขนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่อีธานไม่ถอย... เธอก็ไม่ขยับหนี ลมพัดมาเย็น ๆ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเกลือ กลิ่นผิวของกันและกัน — มันไม่ใช่กลิ่นน่ารังเกียจ แต่มันคือ กลิ่นของการรอดชีวิตร่วมกัน คืนแรกบนฝั่ง เมื่อค่ำคืนมาเยือน พวกเขาก่อไฟเล็ก ๆ ข้างกองฟืนที่เก็บจากชายป่า แสงไฟไหวระริกสะท้อนในดวงตาทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรอีกแล้ว นีร่าค่อย ๆ เอนศีรษะลงกับบ่าของเขา มือของอีธานเลื่อนขึ้นมาแตะแก้มเธอ ปลายนิ้วสัมผัสผิวอุ่นนุ่มอย่างไม่รีบร้อน เธอหันหน้ามาอย่างช้า ๆ และริมฝีปากของทั้งสองก็หาเจอกันกลางแสงไฟ มันไม่ใช่จูบแบบคนที่เพิ่งตกหลุมรัก แต่มันคือจูบของคนที่รู้ว่า อีกฝ่ายเคยยืนข้างตน ในความตาย มือเขาลูบแผ่นหลังเธอ เธอปลดเสื้อตัวบางออกอย่างเงียบงัน ร่างของพวกเขาแนบกันเหมือนทรายและน้ำ คลื่นและฝั่ง ทุกการสัมผัสคือการบอกว่า "เรายังอยู่" ทุกลมหายใจคือคำสัญญาว่า คืนนี้ เราไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว เสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงลมหายใจสั่นไหว และเสียงครางแผ่วของสองร่างที่ไหวไปตามอารมณ์ --- เมื่อรุ่งสางมาเยือน แสงแรกของเช้าส่องผ่านยอดไม้ นีร่านอนข้างอีธานในผ้าคลุมที่ห่มรวมกัน เขาลูบเรือนผมของเธอที่ปลิวตามลมอย่างเบา เธอหลับตาแน่น แต่ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มของคนที่ไม่กลัวตื่นขึ้นมาในโลกนี้อีกต่อไป เพราะรู้ว่า ไม่ใช่เพียงรอด แต่มีคนให้รอดไปด้วยกันเสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้
ภายในคือห้องกลวงขนาดใหญ่มีแคปซูลแก้วโบราณเจ็ดใบเรียงอยู่กลางห้องภายใน…คือร่างของเงือกอีกเจ็ดตน — ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับ กึ่งตื่นร่างพวกมันไม่เน่า ไม่ชรามีร่องรอยการดัดแปลงร่างกายคล้ายกับนีร่า แต่รุนแรงกว่าหลายเท่าเสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง“เลือดของเจ้า…คือสิ่งสุดท้ายที่ขาดไป”“พวกเรา...จะตื่นอีกครั้ง”นีร่าก้าวถอยหัวใจเธอเต้นแรงคำถามคือ…เธอควรจะ “ปลุก” พวกนี้จริง ๆ หรือไม่?เสียงก้องในหัวของเธอเบาลง จนเหลือเพียงคำเดียว “...เลือก...”เสียงจากใต้ทะเลเงียบลงนีร่าค่อย ๆ ว่ายออกจากห้องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ผืนน้ำหัวใจยังเต้นแรง…แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหวั่นไหว ไม่ใช่ความกลัวในหัวเธอมีคำถามเต็มไปหมด"พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ของข้า...หรือคือฝันร้ายของข้า?""ข้าควรปลุกพวกเขาไหม...หรือปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นตายไปตามกาลเวลา?"เธอไม่ได้ให้คำตอบเธอเลือกที่จะ "ปิดประตู" นั้น…ชั่วคราวเมื่อกลับขึ้นฝั่งอีธานรีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าโอเคไหม!?”นีร่าพยักหน้าเบา ๆ แต่แววตาเธอยังว่างเปล่าเล็กน้อยเหมือนคนที่กลับมาจากการเห็นบางสิ่ง…ที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้เธอไม่พูดถึงห้องนั้นไม่พูดถึงเงือกเจ็ดตน
เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟันแต่ช้าไปแบร์กตันสะบัดมือทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือเขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อมนีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆเธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมาเสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด”“แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน”นีร่าลุกขึ้นช้า ๆเธอรู้ดี...เขาโกหกสายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว”นีร่าเดินออกมาเธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตันดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ“เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆแบร์กตันหัวเราะ“ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ”เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ“ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”“ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน”แบร์กตันขมวดคิ้ว“งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง”เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้าอีธานร้อง “นีร่า อย่า!”แต่สายไ
กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั