@ สนามบินเชียงใหม่
ฉันเดินเข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า Gate ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมากดเปิดเครื่องและต่อสายไปยังผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันทันที
ตืดดด...ตืดด
“โรสถึงแล้วนะคะ คุณพ่อ”
ฉันเอ่ยบอกปลายสายเสียงหวานทันทีที่ปลายสายกดรับ
[พ่อให้คนเอารถไปให้ที่สนามบินแล้ว ลูกลองมองหาเขาดู]
ฉันทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ กวาดสายตามองหาป้ายชื่อตัวเอง ไหนหว่า...อ๋อนั่น
“เจอแล้วค่ะ”
[ลูกจะเข้ามาหาพ่อก่อนไหม หรือไปคอนโดเลย]
“ไปคอนโดเลยดีกว่าค่ะ”
[งั้นก็ตามใจละกัน ถ้าว่างแล้วพ่อจะไปหานะ]
“ค่ะ”
ติ๊ด…
ฉันกดวางสายก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ สาวเท้าเล็กไปหาคนที่ชูป้ายชื่อฉันอยู่ตรงทางออก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไปหาพ่อหรือไม่คิดถึงพ่อหรอกนะ แต่ท่านมีครอบครัวใหม่แล้ว ฉันไม่อยากวุ่นวายกับท่านไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถือว่ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว
“สวัสดีค่ะ ฉัน...รังศิตาค่ะ”
“สวัสดีครับ นี่ครับของคุณหนู” คนของคุณพ่อโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันรับมันมาเปิดดู พบว่าข้างในมีครบทุกอย่างที่ท่านเตรียมไว้ให้ฉัน กุญแจรถ คีย์การ์ดคอนโด ที่อยู่คอนโด บัตรเครดิต
…และบัตรนักศึกษา
พอหยิบมันขึ้นมาดู ก็ต้องตาโตทันที เชื่อแล้วว่าเงินทำได้ทุกอย่างจริงๆ คุณพ่อเอาฉันเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำระดับจังหวัดตอนกลางเทอมได้จริงๆ ด้วย สุดยอดไปเลย…
ฉันขยับไหล่ขึ้นอย่างสบายๆ และโยนบัตรนักศึกษาลงซองสีน้ำตาลเหมือนเดิม ก่อนจะเดินตามคนของคุณพ่อที่เข็นกระเป๋าสัมภาระของฉันนำออกมาด้านนอก
“คุณหนูรออยู่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอารถมาให้” คนของคุณพ่อหันมาบอกฉันอย่างนอบน้อม ฉันเลยยิ้มน้อยๆ กลับไปก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบกุญแจรถในซองสีน้ำตาลยืนให้เขา
ฉันยืนกอดอกพิงรถเข็นสัมภาระตัวเองรอรถที่คนของคุณพ่อกำลังไปขับมาให้ นี่เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้มาเหยียบแผ่นดินเมืองไทย คิดถึงทุกคนที่นี่จัง แต่คงไม่มีโอกาสได้เจอแล้วแหละ ก็ดีเหมือนกันที่คุณพ่ออยู่เชียงใหม่
ไม่ใช่กรุงเทพ…
ครู่เดียวก็มีรถสีขาวคันหรูยี่ห้อดังป้ายแดงเคลื่อนมาหยุดตรงหน้าฉัน ก่อนที่คนของคุณพ่อจะเปิดประตูลงมาจากลงและเดินเอากุญแจมาคืนให้ฉัน จากนั้นเขาก็เข็นรถสัมภาระฉันไปทางท้ายรถ เปิดกระโปรงหลังขึ้นและขนของขึ้นรถจนหมด
“ขอบคุณนะคะ” ฉันเดินไปสำรวจของตัวเองที่ท้ายรถพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณคนของคุณพ่ออย่างนอบน้อมตามมารยาท เขาหันมาโค้งให้ฉันทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามตามหน้าที่
“ให้ผมขับรถไปให้ไหมครับคุณหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ ก่อนเดินอ้อมไปเปิดประตูขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกมาจากสนามบินตรงไปตามเส้นทางที่ระบุใน GPS หน้าจอคอนโทรลของรถ
ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านทูต ที่มีเงินและมีอำนาจพอสมควร แต่ท่านทั้งสองแยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเด็ก แม่เป็นผู้ที่ดูแลฉันมาตลอด เราสองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพก่อนที่จะไปอยู่อเมริกาถึงสี่ปีเต็มและไม่เคยมาวุ่นวายก้าวก่ายคุณพ่อเลย เพราะท่านแต่งงานใหม่ไปแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะมีทายาทสืบสกุล ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม ถ้าไม่เพราะผู้เป็นมารดาเสียชีวิตลงกะทันหันฉันคงจะไม่ได้มาเหยียบเมืองไทยอีกเป็นแน่และก็คงไม่ต้องกลับมาพึ่งใบบุญคุณพ่ออีกครั้ง
ฉันขับรถมาทางสักพักก็เห็นป้ายคอนโดขึ้นหราอยู่ข้างหน้า ถึงสักทีนะ...อยากพักผ่อนจะแย่อยู่แล้ว พวงมาลัยรถถูกหักเลี้ยวเข้ามาจอดด้านหน้า ก่อนที่จะมีชายชุดดำสองคนเดินตรงเข้ามาที่รถฉัน ถ้าเดาไม่ผิดคนเป็นคนของคุณพ่อที่มารอขนของขึ้นคอนโดให้ พวกเขาโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะเปิดกระโปรงท้ายรถ ขนของฉันลงใส่รถเข็นของคอนโด
“ขึ้นไปก่อนเลยค่ะ โรสจะไปรอที่คอฟฟี่” ฉันยื่นคีย์การ์ดคอนโดให้หนึ่งคนในนั้นแล้วเอ่ยบอกพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางคอฟฟี่ของคอนโด
“ครับคุณหนู” คนของคุณพ่อรับคีย์การ์ดไปก่อนจะโค้งรับคำสั่งของฉันแล้วเข็นสัมภาระผ่านประตูเลื่อนของคอนโดเข้าไปทันที ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกอึดอัดยังไงก็ไม่รู้ ไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลย
คุณหนู...คุณหนู...คุณหนู
เฮ้ออออ...หาชาเขียวกินดีกว่าระหว่างรอพวกเขาเอาของขึ้นไปเก็บ
ปึกกก!!
อ๊ะ!
ฉันผงะเซถอยเมื่อหันมาชนเข้ากับแผงอกของใครก็ไม่รู้แต่โชคดีที่แขนแกร่งอ้ารับตัวฉันไว้ได้ทันและดึงฉันกลับเข้าแนบอก ไม่งั้นนะ...ไม่อยากจะคิดเลย ก้นจ้ำเบ้าตรงนี้แน่ๆ
สัมผัสนี้ทำไมถึงรู้สึกคุ้นชินนักนะ ฉันเงยขึ้นเพื่อจะขอบคุณเขาแต่ทันทีที่สายตาเราสบกัน ฉันสตั้นไปเลย ภาพจำที่ฉันไม่อาจลืมแล่นเข้ามารวมกันอยู่ในหัวทั้งหมด ใจเต้นแรงจนเหมือนจับจังหวะไม่ได้
ไม่จริงใช่ไหม...เป็นเขาได้ยังไง
เขาเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับปล่อยฉันให้เป็นอิสระแล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดมาจากปากเขาสักคำ ทิ้งให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ร่างกายฉันไม่อาจขยับเขยื้อนทำได้แค่มองตามแผ่นหลังนั่นไปด้วยสายตาที่พร่ามัวเพราะน้ำใสๆ มันเอ่อล้นออกมาบดบังทัศนียภาพของฉันจนแทบมองไม่เห็น
สายตาที่แสนจะว่างเปล่าคู่นั่นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจ ทำฉันชาวาบไปทั้งตัว อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ฉันไม่สามารถรั้งเขาไว้เพื่อฟังคำอธิบายของฉันได้เลย แต่มันก็สมควรแล้วไหม...เพราะฉันเลือกให้มันเป็นแบบนี้เอง จะมาเรียกร้องอะไร คำถามมากมายแล่นเข้ามาในหัวฉันอย่างหาคำตอบไม่ได้
ทำไมเขามาอยู่ที่นี่
ทำไมฉันหนีเขาไม่พ้น
ทำไมเขาดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ลืมฉันได้แล้วงั้นเหรอ
ทำไมถึงทำเหมือนไม่รู้จักฉัน
ทำไมฉันถึงเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน
“อื้อออ เจ็บบ”“อ่าาา ซี๊ดดด”ร่างบางผวากอดพร้อมทั้งจิกเล็บไปบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายความเจ็บ ผมเองก็ไม่ต่างจากเธอหรอก ร่างกายเธอรัดผมจนแทบจะขาดอยู่แล้ว ผมก้มลงจูบปากเล็กเพื่อเรียกความสนใจมาจากด้านล่าง ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ และเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของเราทั้งคู่“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ธะ...ธาม อื้อออ”เสียงครางกระเส่าดังก้องไปทั่ว น้ำกระเพื่อมออกมาตามแรงกระแทกจนแทบไม่เหลือในอ่าง โหมกระหน่ำใส่ร่างบางไม่หยุดหย่อน“อ๊ะ ธามม แรงไป โรสเจ็บ อื้อออ”ผมชะงักไปนิดนึงก่อนดึงร่างบางขึ้นมาอยู่บนตัวผมแทนทั้งๆ ที่ร่างกายยังสอดประสานกันอยู่แบบนั้น“งั้นโรสทำ จะได้ไม่เจ็บ”“ตะ...แต่โรสทำไม่เป็น” โรสเอ่ยบอกผมพลางก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่านเข้าไปใหญ่ อาจเพราะผมคุมตัวเองไม่อยู่ เผลอใสเธอแบบไม่ยั้ง จนลืมไปว่านี่ไม่ใช่บนที่นอนนุ่ม เพราะงั้นถ้าเธออยู่ข้างบนเธอจะไม่เจ็บและผมคงจะมีความสุขมากด้วย ผมเลยให้เธอเป็นคนคุมเกมเองซะ
“อยากฉลองทะเบียนสมรสวะเมีย”หื้มม..บ้าไปแล้ว ทั้งสายตาและน้ำเสียงเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร ริมฝีปากหนาเลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ และมันต้องสัมผัสกับปากฉันแน่ๆ ถ้าไม่ติดว่าฉันยกมือขึ้นปิดปากเขาแล้วเบือนหน้าหนีซะก่อน“ไม่เอา นี่มันเพิ่งบ่ายเองนะ” ฉันพูดบอกคนตรงหน้าเสียงแผ่วและยังกล้าไม่หันมามองเขา เพราะถ้าเราสบตากัน ฉันต้องพลาดท่าเสียทีให้เขาอีกแน่ๆ ทำทุกวันทุกเวลาแบบนี้ก็ไม่ไหวป่ะ ฉันตายก่อนพอดี ธามจับมือฉันออกจากปากเขาแล้วพูดประโยคที่โคตรจะตรง โคตรจะห่าม แต่กลับทำให้ฉันร้อนวูบวาบได้เฉย >/////<“ถ้าอยาก เวลาไหนก็ไม่เกี่ยว”“นี่! พูดบ้าอะไรเนี่ย ไม่คุยด้วยแล๊ว!” ฉันต่อว่าคนตรงเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตัวเองและตีเนียนทำท่าจะลุกออกจากอ่างอาบน้ำ แต่มือหนาคว้าเอวฉันไว้ให้นั่งลงที่เดิมซะก่อน พร้อมกับยึดร่างไว้แน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ ก่อนเขาจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้“รู้ไหม ทำไมถึงต้องจดทะเบียนวันนี้เท่านั้น” เขาถาม แน่นอนนั่นเป็นคำถามที่ดึงความสนใจฉันได้ดีมาก ฉันลืมเรื่องก
@คอนโดพรึบบบ“เฮ้ออ! เหนื่อยฉิบ”พอเปิดประตูเข้ามาในคอนโด ร่างหนาเดินไปทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่าแรง เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยอย่างปากว่าจริงๆ ฉันเดินไปหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันซึ่งมีที่เหลืออยู่นิดหน่อยเหนือศีรษะเขา“ไปอาบก่อนไหมจะได้สบายตัว” ฉันเอ่ยขึ้นพลางยกมือลูบผมเขาเบาๆ ธามหรี่ตาขึ้นมอง ก่อนจะเขยิบตัวเอาศีรษะมาหนุนบนตักฉัน คว้ามือเล็กไปหอมแล้วกุมไว้อยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อย มืออีกข้างของฉันถูกยกขึ้นเกลี่ยผมเขาเล่นอย่างอ่อนโยนฟอดดดด//“อยากสระผม”“แล้ว?” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย คืออยากสระผมก็สระสิ มาบอกฉันทำไม“มือเจ็บ” เขาว่าพลางชูมือข้างที่มีผ้าพันอยู่ขึ้น กะพริบตาปริบๆ ให้ฉัน เหอะ…! โมเมนต์แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ น่ารักชะมัด ฉันอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบจมูกโด่งเขาเบาๆ ก่อนเขาจะดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วร่างก็ลอยลิ่วขึ้นกลางอากาศมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แขนเล็กเลื่อนขึ้นโอบรอบคอเขาทันทีเพื่อหาที่ยึดเ
วันต่อมา….“หนูแน่ใจแล้วใช่ไหม”คุณพ่อถามขึ้นพลางวางมือบนหัวทุยเล็กแล้วโน้มตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกับฉัน เหลือบตามองธามที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยนิดหนึ่ง ท่านคงหมายถึงเรื่องที่เราจะมาจดทะเบียนสมรสกันวันนี้“ค่ะ...” ฉันตอบคุณพ่อเสียงหนักแน่น เพราะฉันมั่นใจมาก ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไง เขาจะยังรักฉันแบบนี้เหมือนเดิมรึเปล่า แต่ฉันก็ยังจะรักเขาอยู่ดี ที่ผ่านมามันทำให้ฉันยิ่งแน่ใจว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไปจากเขาได้เลยจริงๆแล้วพวกเราก็พากันเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามนายทะเบียน ที่เตรียมเอกสารไว้ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะพากันมาอำเภอ คุณพ่อกับคุณแม่ของธามก็เข้าไปเจรจาต่อรองเรื่องสินสอดทองหมั้นกับคุณพ่อฉันเรียบร้อยแล้ว ธามก็อยู่ดีๆ ทำไมรีบก็ไม่รู้ ใจนางอยากแต่งเลยด้วยซ้ำแต่คุณพ่อฉันบอกรอให้เรียนจบก่อน ไม่งั้นคงได้แต่งวันพรุ่งวันมะรืนแน่ๆ….“เดี๋ยว! ไอ้เสือ!” คุณพ่อของธามออกปากห้ามพลางจับมือลูกชายที่กำลังจะเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส ฉันเองก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน“....?” ธามห
มันไม่ตอบแต่ยกยิ้มให้ผมอย่างกวนตีน ไอ้เหี้ยนี้มันคงอยากตายจริงๆ ส่งแม่งไปลงนรกเลยดีม่ะ ผมง้างมือขึ้นเตรียมจะต่อยมันเต็มทีแต่โรสเข้ามารั้งแขนผมไว้ก่อน และตามด้วยมิณ หนูดา พลอยใสที่พากันเดินออกมาจากห้องนั่นด้วยท่าทางตื่นตระหนก“เฮียธาม ใจเย็น มิณ พี่หนูดา พี่พลอยก็อยู่ในห้องด้วย”สิ้นเสียงมิณผมก็ชะงักไปนิดนึง โล่งใจที่มันไม่ได้อยู่กับเมียผมแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันมาทำส้นตีนอะไร ผมปล่อยมือจากคอเสื้อมันแต่ก็ไม่วายที่จะผลักอกมันอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ หน้าแม่งกวนตีนฉิบหาย“เข้าไปทำไรกัน!” ผมเอ่ยถามเสียงเข้มพลางโอบไหล่เล็กเข้าแนบอกแน่นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“คุณพ่อ วานให้พี่ซันมาดูว่าโรสเป็นไงบ้าง โรสก็แค่มาบอกพี่ซันว่าทุกอย่างโอเครแล้วแค่นั้นเอง พลอยใส มิณ พี่หนูดาก็อยู่ด้วย ธามอ่ะ ใจร้อน เห็นไหมเนี่ย เลือดออกอีกแล้ว” โรสอธิบายให้ผมฟังพลางจับมือข้างที่เจ็บขึ้นมาพินิจดูด้วยความเป็นห่วง“นี่ขนาดมือมันเจ็บนะเนี่ย แม่ง!” ไอ้ซันบ่นพึมพำขึ้นพลางยกมือขึ้นแตะที่มุมปากตัวเอง ตวัดตามองผมอย่างเคืองๆ ก็ช่
พรึบบบบบผมตกใจเล็กน้อยก่อนจะผละออกจากโรสแต่ยังคงโอบไหล่เล็กไว้แนบกาย เมื่อจู่ๆ ไฟในห้องก็ดับวูบลงจนมืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไร“แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทูยู~ ~โอ้วๆ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู~ ~โอ้วๆ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์~”บรรดาเพื่อนตัวดีที่อยู่ด้านนอกพากันเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์อย่างสนุกสนานและเค้กก้อนโตที่มีแสงไฟสลัวจากเทียนไม่กี่เล่ม ส่วนคนตัวเล็กข้างๆ ก็ดูสนุกไปกับเขาด้วย เอาจริงๆ ว่าเวลาแบบนี้มันไม่ควรไหม คือผมก็ค่อนข้างจะยิ้มไม่ออก ยังปรับอารมณ์ไม่ทัน เสียงร้องของพวกมันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมทำได้แค่โคลงศีรษะไปมาน้อยๆ เท่านั้น“ยิ้มหน่อย” โรสพูดขึ้นพลางเอื้อมมือมาจับที่มุมปากสองข้างของผมแล้วออกแรงยกขึ้นนิดหนึ่งพร้อมกับที่เจ้าตัวก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ผมด้วยเช่นกัน ผมเลยยกยิ้มให้เธอเล็กน้อยทำไมเธอถึงดูไม่เจ็บปวด ไม่เศร้า ไม่เหมือนคนที่จมอยู่กับทรมานแสนสาหัสมาตั้งหลายปีเลย ผมเคยมองว่าโรสอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ผมต่างหากที่อ่อนแอ ผมต่างหากที่ต้องมีเธอคอยดูแลปกป้อง ปกป้องผมจากควา