เพราะหุ่นเซ็กซี่แบบนี้ เสี่ยๆเลยแย่งกันเปย์ แต่เธอไม่ยอมแพ้ หางานที่มีศักดิ์ศรีทำ แล้วอุบัติเหตุก็ส่งเธอให้ติดอยู่ในฝัน พร้อมเจอว่าตัวเองเด็กลงสิบปี เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด มนสิชาต้องหาทางออกจากฝันให้ได้ เพราะเดิมพันของเธอต่อครอบครัวและคนรัก ในเมืองนิทรานี้ มนสิชาเจอแต่นักเรียนม.ปลาย เธอมีแก็งเพื่อนใหม่ พวกเธอต้องดั้นด้นไปสืบหาทางกลับบ้านให้ได้ จากโรงเรียนทั้งสี่ทิศ อำนาจทำให้ประธานนักเรียนแต่ละทิศแย่งชิงนักเรียนกัน แถม ในเมืองไม่มีมอนสเตอร์ให้ปราบ กระนั้นพวกเธอยังสามารถเรียกสเลฟหรือสัตว์รับใช้ให้ออกมาตามพลังได้ เตรียมอ่านแอคชั่นรัวๆ ส่วนปริญแฟนหนุ่มของมนสิชา พยายามทุกวิถีทางที่จะใช้เวทมนปลุกเธอ ถ้าแก้ไขคำสาปไม่ได้ รักของมนและปริญ คงจบแบบไม่สวย ทั้งๆที่สัญญากันไว้แล้ว "มนคงเศร้า แต่จะเศร้ากว่านั้นถ้ารู้ว่าพี่ปริญเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ มนอยากให้เราเก็บความรู้สึกดีๆแบบนี้ไว้ในใจ จะได้อบอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำนี้" "พี่สัญญาว่าจะทำทุกอย่างไม่ให้เราสองคนต้องมีตอนจบที่น่าเศร้า" ยิ่งสืบยิ่งมีแต่ความจริงอันน่าเจ็บปวด และพร้อมเฉลยความลับที่คาดไม่ถึง
Lihat lebih banyak"ไปโรงเรียนวรรณวิลาศค่ะ" มนสิชาตะโกนบอกกับวินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท ชายหนุ่มร่างผอมหันมาตามเสียง เจอสาววัยยี่สิบเจ็ดทรงโต ก้นงอน เอวบาง หุ่นระดับนางแบบของเธอทำเอาวินมอเตอร์ไซค์อ้าปากค้าง หญิงสาวสวมสูทสีเทาถือแฟ้มใส่เอกสารแนบอก มืออีกข้างแขวนกระเป๋าใบเล็กมาด้วย
"เฮ้ย หน้าสวยด้วยว่ะ" เพื่อนวินอีกคนกระซิบ ทำเสียงซื๊ดซ๊าดในปาก
มนสิชาทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเจอจนชิน เพราะทรงโตนี่แหละ เรียกสายตาหื่นได้ดีนัก บางครั้งก็เรียกความช่วยเหลือมาจากเสี่ย ผู้บริหาร ชายแปลกหน้าได้ดี แถมสายตาร้อนๆ จากเหล่าผู้หญิงรอบตัว แต่ถ้าเธอสนใจรวยทางลัด เธอคงไม่มาสอบสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนเล็กๆอย่างนี้
"ไม่มีหมวกไม่ไปนะคะ" มนสิชาบอก "เบื่อเวลาตำรวจเรียก"
"ไอ็น็อต ยืมหมวกหน่อยโว้ย" วินมอเตอร์ไซค์ผอมบางไม่พูดเปล่า แย่งหมวกกันน็อคมาจากตะกร้าหน้ารถเพื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มเพ้อฝันมาให้หญิงสาว
"ยินดีครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ" น็อตจ้องเขม็งมาที่หล่อน น้ำลายแทบจะไหล
มนสิชายิ้มตอบตามมารยาทก่อนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย เธอเอามือจับไหล่วินตัวผอมเอาไว้ แล้วใช้ศอกดันไม่ให้หน้าอกไปโดน จากนั้นก็นั่งนิ่งเป็นสัญญาณให้รถออก วินมอเตอร์ไซค์บึ่งรถออกไปบนทางเท้าทันที
"อ้าว พี่วิน อย่าขับบนฟุตบาทซิคะ" เธอประท้วงเมื่อเขาเริ่มขับหลบเสาไฟฟ้า แล้วมุ่งหน้าแทรกกลุ่มคนที่เดินข้างทาง เขาบีบแตรให้คนรู้สึกตัวว่ามีรถขับตามมา ฝูงชนส่งสายตาตำหนิ บางคนแกล้งประชดด้วยการไม่หลบไปไหน จนรถไปได้ช้ากว่าที่คิด
"เสียเวลาไปกลับรถนะคุณ ผมขับมาสามปีแล้วไม่เคยเป็นอะไรสักครั้ง"
มนสิชาบ่นในใจ แต่เพราะรีบ เธอจึงเงียบแทนคำโต้ตอบ มอเตอร์ไซค์ขับมาจนสุดถนน เลี้ยวผ่านหน้ารถที่กำลังติดไฟแดงพอดี แต่อีกเลนกำลังเป็นไฟส้ม รถคันท้ายๆ เร่งความเร็วเพื่อให้ทันไฟแดง ชายหนุ่มบิดคันเร่งสุดแรงเพื่อให้พ้นรถเก๋งที่ขับมาด้วยความเร็ว แต่ลืมเปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ต่ำ มอเตอร์ไซค์วิ่งอืดๆขัดกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งอย่างเต็มที่
แม้จะเห็นรถมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าแต่รถเก๋งไม่ได้ลดความเร็วลง มนสิชาเห็นว่าหลบไม่ทันแน่ๆ เธอหลับตาปี๋ นึกถึงหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย
เวลาผ่านไปนาน หญิงสาวพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รถยังขับมาได้อีกไกล มนสิชาลืมตาขึ้นก็พบว่ามอเตอร์ไซค์กำลังขับไปต่ออย่างช้าๆ ก่อนมาจอดหน้าโรงเรียน เธอไม่ได้มองไปที่ป้ายโรงเรียนแต่คิดว่าคงไม่มาผิดที่แน่นอน
"สามสิบบาทครับ" เขาเรียกค่าบริการในราคายุติธรรม ดูแปลกไปจากคนเดิม มนสิชาอธิบายไม่ถูกว่าเขาเปลี่ยนไปแบบไหน ดูสุภาพขึ้น หน้าตาดูผ่อนคลาย ท่าทางเร่งรีบเมื่อสักครู่เปลี่ยนไป แต่เธอไม่สนใจเสาะหาความจริงเพราะใกล้เวลาสัมภาษณ์งานขึ้นทุกที
"ขอบคุณนะคะ"
หญิงสาวสาวเท้าเข้าโรงเรียน มองหาอาคารบริหาร โรงเรียนมีอาคารหันหน้าเข้าหากันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานเอนกประสงค์ ตามทางเดินมีดอกไม้หลากสีปลูกอยู่ เธอเดินไปตามทางเดินที่มีทางแยกสี่ด้าน เมื่อมองตามไปก็พบอาคารเรียนตามทิศต่างๆ อีกมากมาย น่าแปลกที่โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนแค่สามร้อยคน แต่อาคารเรียนกลับมีมากมายขนาดนี้
หญิงสาวหวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่มีแต่เรื่องดีๆ เธอก้มมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนสาวเท้าไปยังอาคารบริหารที่ตั้งแอบในมุมตึก โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนเฉพาะชั้นมัธยม มีนักเรียนเดินกันบางตาเพราะเป็นเวลาเรียน นักเรียนหญิงสวมเสื้อแขนสั้นผูกเนคไทสีน้ำเงินกระโปรงสีกรมท่า ส่วนนักเรียนชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมเนคไทกับกางเกงขายาวสีกรมท่า
ลมพัดแรงขึ้นวูบหนึ่ง ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฝนตกลงห่าใหญ่ มนสิชาวิ่งไปหลบฝนใต้อาคารเรียนที่ใกล้ที่สุด ระหว่างอาคารเรียนห่างกันจนเกินไป เธอไม่สามารถวิ่งตากฝนไปได้ ไม่อย่างนั้นเครื่องสำอางจะหลุดหมด เวลาสัมภาษณ์ใกล้เข้ามาทุกที ใจกระวนกระวายว่าจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทัน
จู่ๆ ฝนก็ตกเบาลงแล้วหยุดตกลง ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง นักเรียนมัธยมปลายสองคนเดินมาตามทางเดินที่เปียกแฉะ คนหนึ่งเดินมาหน้ายิ้มแย้มตัดผมสั้น ส่วนอีกคนตัวอ้วนกลมผมยาวทำหน้าบึ้งตึงเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ นักเรียนคนผอมเดินมาทั้งๆที่เสื้อเปียกฝนเห็นซับในบางเฉียบ ส่วนอีกคนที่หน้าบึ้งนั้นไม่มีร่องรอยโดนฝนแม้แต่น้อย
"ฝนตกแบบนี้ ทำไมคุณปุยฝ้ายต้องออกมาตากฝนด้วยล่ะคะ" คนตัวอ้วนถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เห็นเป็นไรเลย" ปุยฝ้ายตอบแล้วกระโดดขาคู่ไปบนบล็อกทางเดินอันใหญ่ กระโดดจากอันหนึ่งมายังอีกอันหนึ่ง โชคไม่ดีที่มีน้ำขังอยู่ใต้บล็อก น้ำจึงกระเซ็นมาโดนมนสิชาเข้าพอดี
"นี่หนู" หญิงสาวรุ่นพี่ประท้วงเมื่อเห็นสูทของเธอเลอะ
"อ๊ะ ขอโทษค่ะ" ปุยฝ้ายคนนั้นเอ่ยก่อนยิ้มกว้างให้ มนสิชา หญิงสาวรู้สึกรำคาญรอยยิ้มนั้นชอบกล เธอตอบตัวเองว่าเพราะเธออิจฉาที่เด็กคนนี้ไม่มีความกังวลเรื่องอะไรเลยก็ได้
“ช่างเถอะ พี่ขอตัวก่อนนะหนู สายแล้วเนี่ย" เธอวิ่งลัดลานอเนกประสงค์ไปตึกบริหาร
ปุยฝ้ายหันมาสบตากับชูครีม ส่งสายตาเป็นประกายให้เพื่อนสนิท แต่ชูครีมส่ายหน้าช้าๆเป็นการปฏิเสธ
"ไม่เห็นเป็นไรเลย" ปุยฝ้ายบอกด้วยประโยคเดิม
"เดี๋ยวก็โดนเกลียดหรอกค่ะ" ชูครีมเตือน
"ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้สนิทกันน่ะสิ" ปุยฝ้ายไม่รอคำตอบแต่วิ่งตามมนสิชาไป
มนสิชาวิ่งตามป้ายบอกทางไปยังห้องผู้อำนวยการ เธอวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสอง ป้ายชี้ไปยังชั้นสาม ชั้นสี่ ชั้นห้า มนสิชาวิ่งไปพลางหอบไปพลาง แต่เธอกลับรู้สึกว่าอาการเหนื่อยนั้นหายไปอย่างดื้อๆ สาวสวยเริ่มแปลกใจเพราะมองจากภายนอกอาคารบริหารสูงแค่สามชั้น แต่ทำไมห้องผู้อำนวยการถึงอยู่สูงกว่าชั้นห้า เธอเดินไปยังห้องธุรการที่อยู่ชั้นห้าแล้วตัดสินใจถามคนในนั้น แต่ในห้องนั้นกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน มนสิชาหวังว่าเธอจะเจอใครสักคนเพื่อให้ถามทาง แต่เดินไปตามทางเดินก็ยังไม่เจอมนุษย์เลยสักคน
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย" เธอเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย
หญิงสาวเปลี่ยนใจเดินลงมายังชั้นหนึ่งเพื่อตามหาเจ้าหน้าที่ เธอเดินวนไปทุกชั้น แต่ไม่มีใครอยู่เลย
"อยู่นี่เอง" ปุยฝ้ายกระโดดเขย่งขาเข้ามาหามนสิชา เธอมองท่าทางสำราญนั้นแล้วหงุดหงิดใจ แต่ก็เก็บความรำคาญเอาไว้ในใจก่อนเอ่ยถาม
"หนูเองเหรอ พอจะรู้ไหมว่าเจ้าหน้าที่หายไปไหนหมด"
"ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว" ปุยฝ้ายตอบ
"เป็นไปได้ยังไง หรือว่าวันนี้วันหยุดเหรอคะ" มนสิชาถามอีก
"พวกเราก็มีเรียนนะคะ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรอกค่ะ" ชูครีมที่วิ่งตามมาตอบแทน ปุยฝ้ายทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็เปลี่ยนใจกระทันหัน "ถ้าจะมีก็มีตรงศูนย์แลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาคารบริหารหรอกค่ะ"
"ขอพี่หาอีกรอบแล้วกัน" มนสิชาคิดว่าสองเด็กสาวอำเธอเล่น สองนักเรียนไม่ได้ตามเธอไป แต่ออกไปนอกอาคาร ปุยฝ้ายชูสองนิ้วให้มนสิชาก่อนเดินจากไป
มนสิชาหาทุกซอกทุกมุมของอาคาร แต่ก็ไม่เจอใครเลยสักคน จนเวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง หญิงสาวรู้ตัวว่าเลยเวลานัดมานานแล้ว เธอคงจะชวดอีกตามเคย นับในใจว่านี่ก็เป็น การสัมภาษณ์ครั้งที่สิบในรอบเดือนแล้ว ที่เธอพลาด
หญิงสาวเดินคอตกออกจากอาคารบริหาร ได้ยินเสียงกรี๊ดอย่างสนุกสนานของปุยฝ้ายดังมาแต่ไกล
"วู้ววว ฮ่าๆๆ" ปุยฝ้ายตะโกนอยู่บนรองเท้าสเก็ต เธอกำลังเลื่อนสเก็ตไปอย่างเมามันบนพื้นลาดยางหน้าอาคารบริหาร ปุยฝ้ายกระโดดแล้วงอขาทั้งที่ใส่กระโปรง ชูครีมเอามือปิดตาตอนเธอกระแทกลงบนพื้น ปุยฝ้ายเสียการทรงตัวเล็กน้อยก่อนกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง คราวนี้เธอหมุนตัวสามรอบก่อนเร่งความเร็วไปบนพื้นถนนอีก
มนสิชามองอย่างนึกอิจฉา เธอไม่ได้หัวเราะแบบเด็กสาวมานานเท่าไหร่แล้ว ตั้งแต่เรียนจบหรือนานกว่านั้น เธอหวังว่า ปุยฝ้ายจะเล่นอย่างปลอดภัยและสนุกสมวัยแทนเธอ ทันใดนั้นเองที่ล้อสเก็ตเลื่อนหลุดไปล้อหนึ่ง ชูครีมตะโกนบอกให้เด็กสาวรู้ตัว แต่เธอกำลังอยู่ในความเร็วสูงสุด ปุยฝ้ายเอียงตัวอย่างน่ากลัวแล้วพุ่งลงจากเขตทางลาด ลงไปยังเนินของถนนที่แสนชัน กลิ้งไปหลายตลบ
มนสิชาและชูครีมวิ่งไปดูเด็กสาวที่เพิ่งล้ม ปุยฝ้ายเอามือทาบอกอย่างเสียขวัญก่อนเปลี่ยนอารมณ์เป็นหัวเราะชอบใจ
"เป็นอะไรมากไหม" มนสิชาดึงแขนปุยฝ้ายมาสำรวจใกล้ๆ แกะกระดุมแขนเสื้อออกแล้วสำรวจรอยใต้ร่มผ้าของเธอ มีรอยช้ำ แต่ไม่มีรูขุมขน และลายเส้นบนมือแม้แต่น้อย "แปลกจริงๆ แปลกมากๆ แปลกเกินไปแล้ว"
ปุยฝ้ายหันไปขอความเห็นจากชูครีม สาวน้อยตัวอ้วนพยักหน้าให้สัญญาณกับปุยฝ้ายว่าเธอบอกได้แล้ว
"ไม่แปลกหรอก เพราะที่นี่คือในฝันยังไงล่ะ"
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื
Komen