คล้อยหลังอีหนูไป เหล่าหนุ่มใหญ่นั่งประจันหน้ากันในห้อง แข่งกันสร้างบรรยากาศอึมครึม จนกระทั่งลูเซียสเป็นฝ่ายถอนหายใจทำลายความเงียบก่อน ร่างใหญ่เอนหลังบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทควบตำแหน่งน้องเขย ก็ไม่จำเป็นต้องรักษามาด พวกการ์ดจากทั้งสองฝั่งเองก็รู้จักกันดี เคยร่วมงานกันมาแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้ส่งสายตาทักทายกันลับหลังนาย
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
หนุ่มอังกฤษเป็นคนแสดงท่าทีเองนะว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย ลูเซียสถึงให้อีหนูออกไปทั้งที่ไม่อยากปล่อยให้ห่างสายตา
“ก็อย่างที่บอกไปตอนแรก ฉันแวะมาหานายกะทันหัน คนของฉันเลยไม่พอ...”
“ไม่พอแล้วยังไง” คิ้วเข้มขมวด เพื่อนเขาไม่ใช่พวกหัวหดในกระดองหลบหลังการ์ดตลอดเวลา อเล็กเซย์เข้าใจสิ่งที่ลูเซียสคิดเลยยิ้มกว้าง
“พอดีมีคนตามฉันมาตั้งแต่คุยธุรกิจ ตอนนี้ก็ยังหาจังหวะจัดการฉันอยู่ ที่สำคัญ น่าจะอยู่บนเรือลำนี้แล้วด้วย”
เกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะ คนโดนหมายหัวยังคงยิ้มหน้าระรื่น ส่วนบอสใหญ่ยกมือกุมขมับพลางปรายตามองอาคมที่โค้งรับอย่างเข้าใจ พร้อมสั่งการ์ดบางส่วนแบ่งไปคุ้มครองอเล็กเซย์
หากบอกว่าตระกูลของลูเซียสครองอำนาจอยู่ในรัสเซีย ตระกูลของอเล็กเซย์เองก็เช่นกัน เพียงแค่เปลี่ยนเป็นที่อังกฤษเท่านั้น
จากที่เห็น เพื่อนเขาคงตั้งใจรีบคุยธุรกิจให้เสร็จแล้วกลับบ้านทันที เลยพาคนมาน้อยเพื่อความคล่องตัว แต่ดันมีเหตุให้ต้องวกกลับมาพบเขากะทันหัน ตามคำสั่งของภรรยาสุดที่รักซึ่งเจ้าตัวเชื่อฟังยิ่งกว่าพ่อแม่ ส่งผลให้กลุ่มคนที่หมายหัวอเล็กซ์ตามติดมาด้วย เพราะเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการลงมือสังหารเป้าหมาย
เหนือสิ่งอื่นใด สาเหตุที่ลูเซียสยอมช่วยไม่ได้เห็นแก่มิตรภาพในอดีต แค่ไม่อยากให้น้องสาวเป็นหม้ายและหลานไร้พ่อเท่านั้นเอง
“ช่วงนี้รบกวนหน่อยนะ คิดซะว่ารำลึกความหลังไง”
“ใครมันจะอยากอยู่กับนาย” อยากกลับไปกกเด็กมากกว่า ความในใจที่ไม่ได้พูดแต่ฉายชัดออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา จนอเล็กเซย์หัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งลูเซียสให้หงุดหงิดเหมือนสมัยเรียนที่เป็นรูมเมทกัน
ลูเซียสถามถึงน้องกับหลานอยู่พักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกลับห้องพักตัวเองเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็กก่อนออกเรือ ป้องกันคนตกหล่นและพวกแอบขึ้นเรือฟรี
เวลาผ่านไปไม่นานเรือก็เคลื่อนตัวออกจากท่า พร้อมกับบริการต่างๆ บนเรือเปิดให้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งชอปปิง ร้านอาหาร โซนสำหรับเล่นกีฬา หรือเครื่องเล่นสำหรับเด็กพร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด อีหนูอย่างผมไม่ได้ออกไปดูด้วยตาตัวเอง อาศัยฟังจากที่หลงบอกว่าบนเรือมีอะไรบ้าง ขนาดละครเวที งานปาร์ตี้ยังมี เพียงแค่มีตามกำหนดเวลาเท่านั้น ไม่ต่างจากการขนแหล่งบันเทิงของทุกเพศทุกวัยมารวมเอาไว้ที่นี่
“เมาเรือรึเปล่า”
มือหนาไล้เรือนผมอีหนูที่นอนเล่นอยู่บนเตียง จมูกโด่งสูดกลิ่นกายเจือกลิ่นน้ำหอมราคาแพง
“ไม่ รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องปกติด้วยซ้ำ” คงเพราะเป็นเรือลำใหญ่(มาก) ถึงได้นิ่งแบบนี้ หากเป็นเรือลำเล็กคงโคลงเคลงไปมา ผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะไม่เมารึเปล่า
“’งั้นหรือ...ดีแล้ว” เสียงทุ้มแหบกระซิบชิดลำคอ ฝ่ามือร้อนลูบสะโพกสอบผ่านผิวผ้า ผมปล่อยมือถือทิ้งทันทีอย่างรู้งาน ยังคิดด้วยซ้ำว่าลูเซียสทิ้งช่วงนานจนผิดวิสัย อาจจะเพราะทำอะไรที่โรงพยาบาลมันไม่สะดวกล่ะมั้ง
มือปลดกระดุมเสื้อออกตามด้วยกางเกงพลางเกร็งยกสะโพกให้ลูเซียสถอดโดยง่าย ผมปล่อยให้ลูเซียสลูบขยำตามใจชอบ ระหว่างนั้นก็คอยปลดอาภรณ์ให้อีกฝ่ายไปด้วย ลูเซียสเป็นพวกชอบให้บริการ เว้นแต่บางวันที่เจ้าตัวจะใจร้อนลงมือเองทั้งหมด
จังหวะที่ผมกำลังจะชันตัวขึ้นเพื่อทำหน้าที่อย่างทุกที อีกฝ่ายกลับดันไหล่ให้ผมลงไปนอนแนบเตียงตามเดิม
“ไม่ต้อง เธอขาเจ็บฉันจัดการเอง”
“แต่...” มันเป็นหน้าที่ของผม ผมกลืนประโยคนี้ลงคอเมื่อถูกริมฝีปากได้รูปประกบปิด ลิ้นชื้นสอดลึกควานทั่วจนน้ำใสไหลมุมปาก ผมโดนจูบดูดเม้มจนปากบวมเจ่อ กว่าลูเซียสจะยอมถอยออกคลี่ยิ้มมองสภาพผม
“ฉันไม่อยากฟังไมค์มันมาบ่นที่หลัง ครั้งนี้เธออยู่เฉยๆ พอ”
ในเมื่อเจ้าตัวพูดแบบนั้น ผมก็ยินยอมพร้อมใจเป็นเด็กว่าง่ายนอนให้เล้าโลม ลำกายหนาถูกรูดเสียดสีไปพร้อมกับของผม มุกเรียงถูไถให้ตื่นตัวอย่างง่ายดาย เบื้องล่างที่ถูกเตรียมพร้อม ยอดอกถูกดูดหนักจนผมหลุดคราง ไม่ใช่แค่ลูเซียสที่ห่างหายไปนาน ผมเองก็ไม่ได้ปลดปล่อยเลยเช่นกันตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล
ขาถูกล็อกอยู่ตรงข้อพับแขนอีกฝ่าย หลังเตรียมพร้อมด้วยตัวเองเสร็จ ด้านล่างก็ถูกบางสิ่งจรดจ่อก่อนจะกดเข้ามาสร้างความอึดอัดจนต้องอ้าปากผ่อนลมหายใจ เพื่อลดอาการเกร็งตามสัญชาตญาณ มุกหายเข้ามาทีละเม็ดเสียดสีภายในให้ผมขนลุกซู่ไปทั่วร่าง มือยึดบ่ากว้างจิกเล็บระบายความทรมาน
ลูเซียสไม่ว่าที่ผมทำร้ายร่างกายเลยสักนิด แถมยังหัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอ ค่อยๆ ฝืนกดเข้ามาจนแนบชิด พักให้หายใจเพียงเสี้ยววิก็เริ่มขยับตามความต้องการ ร่างรองรับโยกไหวหอบกระเส่าด้วยความเสียวซ่าน สะโพกบั้นท้ายถูกบีบขยำกลายเป็นรอยมือชัดเจน อกแอ่นรับสัมผัสจากลิ้นร้อน ยามฟันคมขูดชวนให้สะดุ้งเป็นพักๆ
“อืมม...จะว่าไปตอนนี้เธออยู่ในฐานะลูกชายฉัน...” เสียงงึมงำ เจือเสียงคำรามเล็กๆ ยามของตัวเองถูกบีบรัด กระตุ้นให้ขยับกายหนักหน่วงกว่าเดิม ผมไม่มีปัญญาตอบเป็นคำนอกจากครางอืออาบ่งบอกว่าตัวเองกำลังฟัง
“แบบนี้ก็เท่ากับ ฉันกำลังมีอะไรกับลูกชายตัวเองสินะ”
หัวใจผมเต้นรัวยามคิดตามที่ลูเซียสพูด มันคือความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตัวเองกำลังทำผิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ท้าทายที่จะทำมัน ด้วยความที่ลูเซียสยังอยู่ในตัวผม ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผมรู้สึกยังไงตามร่างกายที่กระตุกเกร็ง ใบหน้าคมเข้มยกมุมปากยิ้มร้าย
“เรียกพ่อสักคำสิลูกรัก...” เสียงแหบพร่าเอ่ยอย่างล่อลวงไม่ต่างจากคำกระซิบของซาตาน ผมเผยอปากพยายามเค้นคำพูดออกมาแทนเสียงคราง
“.อึก..พ่อ อา...”
“ดี...แบบนี้ต้องให้รางวัล มิทรี่” ริมฝีปากประกบจูบแล้วเปลี่ยนตำแหน่งลากลิ้นไล่ลงมาดูดเม้นตรงลำคอจนเกิดรอยจ้ำแดง โดยที่เบื้องล่างยังขยับไม่เว้นช่วง ผมแหงนหน้าครวญในคอเหมือนจิ้งจอกสิ้นท่า สิ่งที่ถูกปล่อยเข้ามาในตัวเกิดความรู้สึกร้อนวูบตรงช่องท้อง ลูเซียสไม่หยุดเพียงแค่นั้น พอปลดปล่อยเสร็จเขาเริ่มขยับต่อทันที ไม่สนสิ่งที่เลอะออกมาตรงโคนขาด้านในของผม
ลูเซียสขัดใจไม่น้อยที่ทำไม่ได้เต็มที่อย่างปกติ ถึงงั้นก็คอยระวังไม่ให้สะเทือนแผลผมเลยแม้แต่น้อย ผมที่หมดสภาพจากการรองรับอารมณ์คุณพ่อมาเป็นเวลานาน ถูกอุ้มเข้าห้องน้ำชำระตัว ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม ก่อนจะโดนจับเช็ดตัวใส่เสื้อคลุมมาปล่อยให้นอนบนเตียงรอเจ้าตัวอาบน้ำบ้าง
ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ลูเซียสอาบน้ำให้ผม น่าปลื้มใจซะจริง ส่วนสาเหตุคงมาจากแผลที่โดนไมค์สั่งว่าห้ามโดนน้ำล่ะมั้ง
มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจผมคือ ลูเซียสดูเชี่ยวชาญกับการดูแลคนเจ็บซะเหลือเกิน ไม่ปล่อยให้แผลโดนน้ำเลยสักหยด ราวกับเคยดูแลใครสักคนมาก่อน เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทำครั้งสองครั้งแล้วจะคล่องแคล่วได้ ไอ้ผมก็ไม่กล้าถาม คนที่ทำให้ลูเซียสลงทุนดูแลขนาดนี้ย่อมไม่ธรรมดา ได้รับการดูแลจากคนระดับบอสใหญ่เชียวนะ ทั้งที่ลูกน้องมีเป็นโขยงแล้วยังรวยล้นฟ้าสามารถจ้างพยาบาลมาดูแลเท่าไหร่ก็ได้
ลูเซียสออกมาเห็นผมนั่งจ้องก็เลิกคิ้วถาม “มีอะไร ปวดเอว เจ็บแผล?”
ผมส่ายหัว “ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่าใกล้ได้เวลาเปลี่ยนผ้าพันแผลของผมแล้ว” ผมบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น สิ่งที่อยากรู้มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ผมยังไม่มีสิทธิ์มากขนาดนั้น
ดวงตาคมดุเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง บ่งบอกว่าเย็นมากแล้วเลยตัดสินใจเรียกไมค์เข้ามาดูแผลผมแล้วสั่งให้หลงจัดการเรื่องมื้อเย็น พี่อาคมยังอยู่ประจำตำแหน่งคอยคุ้มกันลูเซียสต่อไป
ระหว่างที่ทำแผลสีหน้าไมค์ไม่เปลี่ยนเลยสักนิดตอนเห็นรอยจูบตามตัว รวมถึงรอยเล็บบนบ่าและแผ่นหลังของบอสใหญ่ ที่ยังคงนุ่งผ้าขนหนูตัวเดียวจิบเหล้าที่พี่อาคมรินให้ สมกับเป็นมืออาชีพ แต่ผมมั่นใจว่าไม่มีใครฮาร์ดคอได้เท่าไนท์อีกแล้ว ทางนั้นต่อให้ผมกำลังมีอะไรกับลูเซียสก็ยังสามารถยืนหน้าตายคุยงานกับบอสตัวเองได้ แล้วยังด่าได้อีกต่างหาก
ด้วยสภาพร่างกายผมเลือกที่จะกินข้าวในห้องกับลูเซียส แล้วขลุกอยู่ในอ้อมแขนอุ่นๆ ทั้งคืน วันต่อมานั่นแหละถึงเริ่มโปรแกรมทัวร์บนเรือสำราญเพื่อเปิดหูเปิดตา
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การรองรับคนมักมากที่ต้องอดทนถึงหนึ่งเดือนมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ต้องขอบคุณตัวเองที่ยังนั่งรถเข็น ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะกระดิกตัวไปไหนได้ ร้าวระบมไปหมด แลกกับความถึงใจจนแทบสำลักความสุขตาย
หลงกับไมค์กำลังเตรียมการสำหรับพาผมทัวร์ ลูเซียสพี่อาคมพร้อมการ์ดอีกจำนวนหนึ่งแยกไปคุยธุระ บอกไว้แค่ว่าจะกลับมากินมื้อเที่ยงด้วย ระหว่างนั้นผมอยากไปไหน ทำอะไรก็บอกการ์ดประจำตัวได้เลย แต่จะให้รอสองคนนั้นเถียงเรื่องที่เที่ยวผมจนเสร็จก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย ผมเลยส่งสายตาบอกให้การ์ดชุดสูทสามคนตามมา แล้วหมุนล้อรถเข็นพาตัวเองไปรับลมชมวิวทะเล
เบื้องหน้าคือผืนน้ำสีครามตัดกับท้องฟ้าประดับปุยเมฆขาวลอยเอื่อยๆ ลมทะเลชวนให้เหนียวตัวแถมยังกรุ่นกลิ่นอายแดดเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่ แต่พอเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะ การมองธรรมชาติ สัมผัสอะไรแบบนี้ผมว่ามันก็ไม่เลวร้ายอะไร
เส้นผมถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนโต้ลมกระพือจนน่าขำ ผมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ว่าจะยืนเกาะราวถ่ายเอ็มวีสักหน่อย จังหวะที่กำลังจับที่วางแขนเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น เสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังเข้าโสตประสาท ดึงสายตาให้ผมละความตั้งใจกลับมานั่งลงตามเดิม
“กาสิโนที่นี่มันห่วยแตก สู้ของบ้านฉันไม่ได้” ชายวัยรุ่นเอ่ยอย่างหงุดหงิดท่ามกลางสายตาอิจฉาปนหมั่นไส้ของพวกเพื่อนอีกสามคน เห็นมีคนเดียวที่ไม่สนใจ ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ
“นายมือไม่ดีเองอย่าไปโทษเครื่องสิ” เขาพูดแบบนั้น ผมเห็นด้วยนะ ของแบบนี้มันอยู่ที่เทคนิคและฝีมือ ว่าเก่งพอที่จะไม่โดนพนักงานจับได้รึเปล่า
“คนขี้ขลาดไม่กล้าเล่นสักเกมอย่างนายไม่มีสิทธิ์พูด!” คนถูกพาลใส่เริ่มไม่พอใจมากขึ้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะตีกัน ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มสะกิดเพื่อนชายแล้วหันมามองผม กลายเป็นว่าสายตาทุกคู่มาหยุดที่ผมคนเดียว
“ชาน เรือนายเขาเปิดรับคนพิการด้วยเหรอ” เจ้าเด็กปากเสียหัวโจกแสร้งทำหน้าสงสัยถามคนที่ตั้งท่าจะตีกันเมื่อครู่ ชานชักสีหน้า
“เรื่องของพ่อ ไม่เกี่ยวกับฉัน” หรือก็คือ ไอ้เจ้าคนพิการนี่ขึ้นมายังไงไม่เกี่ยวกับฉัน ไปถามพ่อฉันนู่น...สินะ การ์ดทั้งสามด้านหลังขยับตัวหมายจะจัดการคนที่บังอาจมาว่าร้ายคุณหนู ผมยกมือห้าม พวกเขาหยุดชะงักทันที เชื่อฟังจนบางทีผมเริ่มกลัว พวกเขาคงไม่ได้เห็นผมเป็นลูเซียสที่สองใช่ไหม
“สงสัยคงเป็นลูกเมียน้อยใครสักคนบนเรือ ช่างเถอะพวกเราอย่าไปสนใจเลย ไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันต่อดีกว่า” หนึ่งในนั้นบอกเพื่อนตัวเอง ดวงตาเหลือบมองการ์ดของผมเป็นระยะ ร่างสูงใหญ่ทั้งสามอยู่ในชุดดำล้วนให้ความรู้สึกคุกคามไม่น้อย ว่ากันตามจริง ช่วงที่มาอยู่กับลูเซียสใหม่ๆ ผมก็มีท่าทางไม่ต่างจากเจ้าพวกนี้ แต่พอเจอตลอด 24 ชั่วโมง แถมยังอยู่กับคนที่แผ่รังสีกดดันได้ตลอดกระทั่งเวลานอนอย่างลูเซียสเลยทำให้ผมมีภูมิต้านทาน
“จริงของนาย เซ็งชะมัด ถ้าไม่มีไอ้พวกตัวน่ากลัว เราคงไม่ต้องไปหาเรื่องสนุกไกลๆ” หัวโจกมองผมทิ้งท้าย คงเสียดายอย่างปากว่า เหล่าคนที่ด้อยกว่ามักเป็นเป้าหมายของพวกคุณหนูเอาแต่ใจ
ตอนขึ้นเรือมาผมเจอแต่พวกผู้ดีไฮโซ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะมีเจ้าพวกนี้อยู่บนเรือด้วย
“สงบเสงี่ยมไม่สมเป็นคุณหนูเลยนะ ไม่โต้กลับสักหน่อยล่ะ หรือยังเพลียจนไม่มีแรงพูดกัน” หลงเดินมายืนข้างผมด้วยสีหน้ากวนอารมณ์ ตรงข้ามกับไมค์ด้านหลังที่ดูอารมณ์เสียนิดๆ คงจะเถียงแพ้หลงแหงๆ
“แค่ไม่อยากลดตัวไปยุ่ง อีกอย่างฉันไม่อยากสร้างเรื่องให้ป๋า” คนถามดูจะพอใจกับคำตอบผมไม่น้อย ตบบ่าผมเบาๆ “ไม่ต้องทำหน้าเครียดตามไมค์มัน ไปกันเถอะเดี๋ยวฉันพาไปเล่นกาสิโน” หลงพูดด้วยดวงตาพราวระยับ แย่งหน้าที่เข็นวีลแชร์จากไมค์ ส่วนผู้ถูกพาดพิงถอนหายใจทำหน้าเอือมบ่นอุบอิบ
“ถ้าเรื่องถึงหูพ่อซวยกันหมดแน่”
หลงได้ยินชัดแจ๋ว ทำหูทวนลมชวนผมชมนกชมปลากลบเกลื่อน ซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมอยากไปตั้งแต่ได้ยินว่าพวกนั้นเพิ่งออกมาจากกาสิโนแล้ว นั่นหมายถึงเด็กวัยรุ่นก็เข้าได้! มีหรือที่ผมจะพลาด
ระหว่างทางที่ไปกาสิโน มีหลายคนที่มองผมด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น แปลกใจ สงสัยหรือดูถูก ก่อนที่พวกเขาจะถอนสายตาไปเมื่อเห็นการ์ดตัวใหญ่รอบกายผม หลงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่แคร์กับสายตาเหล่านั้นต่างกับไมค์และการ์ดอีกสามคนที่แจกจ่ายรังสีกดดันให้พวกนั้นถอยหลบเป็นแถว ส่วนผมยังคงชมนกชมทะเลคุยเล่นกับหลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็นะ...มีองครักษ์ขนาดนี้ จะต้องหวั่นเกรงอะไรอีก
หลังทอดอารมณ์กันได้สักพัก ในที่สุดก็มาถึงทางเข้ากาสิโน ที่มีประตูบุกำมะหยี่บานใหญ่กับการ์ดมาดเข้มสองคนที่ยืนเฝ้าประตูทวารบาล งานนี้ไมค์เป็นคนเข้าไปคุยกับการ์ดทั้งสอง พวกเขาชำเลืองผมเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูให้เข้าไปด้านใน
ภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ชายหญิงในชุดราคาแพงกระจายตัวอยู่ในกาสิโน เครื่องเล่นมากมายตั้งเป็นสัดส่วนอย่างเป็นระเบียบ ทุกจุดจะมีพนักงานในชุดยูนิฟอร์มของเรือคอยให้บริการ เสียงคนพูด เสียงเครื่องเล่นปลุกให้ผมคึกคักลืมความรวดร้าวของร่างกายไปเสียสนิท
พื้นทุกตารางนิ้วถูกปูด้วยพรมโทนน้ำตาลแดงทำให้เข็นวีลแชร์ยากพอสมควร แต่ดูไม่เป็นอุปสรรคของหลงเลยสักนิด เขายังสั่งการ์ดผู้น่าสงสารให้ไปแลกชิปมาจำนวนหนึ่ง พร้อมสวมบทเป็นไกด์ในกาสิโน แนะนำเครื่องเล่นต่างๆ ตั้งแต่วิธีการเล่น กติกายันเทคนิคระดับพื้นฐาน แย่งหน้าที่พนักงานประจำเครื่องเล่นไปหมด
แน่นอนว่าผมลองทุกอย่างเท่าที่สภาพและเวลาจะเอื้ออำนวย ได้บ้างเสียบ้างแม้ส่วนใหญ่จะเสียมากกว่าได้ ส่วนที่ได้เพราะหลงคอยช่วย
พวกผมค่อนข้างจะเป็นเป้าสายตาทีเดียว ภาพวัยรุ่นชายคนหนึ่งบนรถเข็น พร้อมการ์ดอีกห้าคนไม่ใช่ที่พบเห็นได้ทั่วไป เพียงแค่พวกผู้ใหญ่มีความคิดความอ่านมากกว่าเด็ก สิ่งไหนควรยุ่ง สิ่งไหนควรมองห่างๆ ชัดเจนกันอยู่ ถึงไมค์กับหลงจะดูผ่อนคลาย ความระมัดระวังตัวไม่ได้ลดลงเลยสักนิด ใครจงใจเข้ามาใกล้หรือคิดชวนคุยก็จะโดนพวกเขากันออกไปแบบเนียนๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราเจอสิ่งที่ชอบ ผมจำต้องละจากของเล่นมากมายตรงหน้าไปตามนัดกินมื้อเที่ยงกับลูเซียส จุดหมายไม่ใช่ห้องพักอย่างที่ผมคิด แต่เป็นห้องส่วนตัวในร้านอาหาร นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นโต๊ะยาวที่มีลูเซียสนั่งประจำตำแหน่งประธาน ที่ของผมถูกจัดให้อยู่ถัดมาด้านขวามือ ฝั่งตรงข้ามเป็นชายวัยกลางคน ข้างกายเขามีคนชื่อชานอยู่ด้วย ล้อมโต๊ะด้วยการ์ดกับพนักงานบนเรือ
“ขอโทษด้วยครับที่มาช้า” เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผมพูดพร้อมก้มหัวเล็กน้อย การที่คนอายุน้อยกว่ามาช้าสุด ไม่ว่าจะชนชาติไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจก็เถอะ ว่าทำไมถึงถูกพามาที่นี่ แทนที่จะกินข้าวอย่างสงบในห้องพัก
“ไม่เป็นไร” บอสใหญ่กล่าวเช่นนั้นแต่แววตามองผ่านเหล่าการ์ดก่อนมาหยุดที่ขาของผม ด้วยความที่อยู่กับลูเซียสมาระยะหนึ่ง ผมเข้าใจความหมายแฝงจากการกระทำของเขา คงจะคาดโทษพวกไมค์ที่พาผมมาช้า และมองผมเพื่อจะถามอาการว่าเป็นยังไงบ้าง บอกแล้วว่าเมื่อคืนศึกนั้นช่างใหญ่หลวงนัก
ผมยิ้มตอบกลับไปเพื่อบอกว่าตัวเองสบายดี ซึ่งการส่งสายตาระหว่างพวกเราเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที คนที่พอสังเกตได้คงมีแค่พี่อาคมที่ยืนด้านหลังเยื้องไปทางขวาของลูเซียสกับหลงตาเหยี่ยว
“คุณชนสรณ์ เด็กคนนี้เป็นลูกชายของผม มิทรี่ มิไรฮอฟ” ลูเซียสผายมือมาทางผมที่กำลังอึ้งเพราะเคยได้ยินนามสกุลนี้เป็นครั้งแรก ปกติผมใช้นามสกุลพ่อซึ่งเป็นภาษาไทยและนามสกุลนี้ไม่ใช่ของแม่ผมแน่นอน ถ้างั้นจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากพ่อบุญธรรมของผม
อยู่มาจนป่านนี้ เพิ่งรู้ว่าลูเซียสนามสกุล มิไรฮอฟ...
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ด้วยความเคยชินเพราะเด็กไทยถูกปลูกฝังมาตั้งแต่จำความได้ ชายตรงหน้ารับไหว้ด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชนสรณ์ ทรงภพ เป็นเจ้าของเรือลำนี้ ส่วนนี่ลูกชายฉัน เอ้าแนะนำตัวหน่อย”
“ชวกร เรียกชานก็ได้”
นายชานคนนี้คงจะแนะนำตัวกับลูเซียสไปแล้ว พ่อเขาถึงให้ทักทายผมเท่านั้น เขาพูดนิ่งๆ ต่างจากตอนแรกที่ตกใจเมื่อเห็นผมเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่เปลี่ยนสีหน้าไวใช่เล่น
“ลูกชายมิสเตอร์ลูเซียสมารยาทงามผิดกับลูกชายผมลิบลับเลย” คุณเจ้าของเรือว่ามาแบบนั้น แววตาสงสัยใคร่รู้อย่างปิดไม่มิด ลูเซียสเพียงแค่ยิ้มจางรับคำขอบคุณแล้วไม่พูดอะไรอีก
เมื่อบทสนทนาจบลง ก็ถึงเวลาของมื้อเที่ยง อาหารหน้าตาน่ากินถูกทยอยนำออกมาเสิร์ฟ อุปกรณ์ในการกินที่วางเรียงทำให้ผมอดที่จะรู้สึกเกร็งเล็กๆ ไม่ได้กับช้อนมากมายบนโต๊ะอาหาร อย่าลืมนะว่าไอ้ผมมันแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องขายตัวเองหาเงิน แม้จะวางท่าดุจคุณหนูมาเฟียก็ตาม
พี่อาคมช่วยรินน้ำให้ผมพลางกระซิบแบบได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่ต้องกังวลครับคุณหนู แค่ทำเหมือนทุกที ผมเชื่อว่าคุณหนูทำได้” พูดจบก็ถอยฉากไปอยู่ตำแหน่งเดิม ผมลอบถอนหายใจ เอาก็เอา มาถึงขนาดนี้แล้ว ลูเซียสจงใจให้ผมมานั่งร่วมโต๊ะกึ่งทางการแบบนี้ คงมีเหตุผลบางอย่าง
การกินดำเนินไปอย่างราบรื่นจนน่าแปลก ทั้งที่ไม่มีใครบอกหรือส่งซิก ผมเองก็ไม่ได้จ้องคนอื่นเพื่อทำตาม เหมือนมือมันเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นเยอะ เพราะผมไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่าจะทำให้ลูเซียสเสียหน้า
หลังมื้ออาหารลูเซียสกับเจ้าของเรือก็แยกกันไปพักเพราะคุยธุระเสร็จตั้งแต่ก่อนทานข้าว ด้วยเหตุนี้เวลาของลูเซียสจึงกลายเป็นของผม พวกเรานั่งเล่นอยู่ในห้องพัก เนื่องจากยาที่ผมต้องกินมีฤทธิ์ทำให้ง่วง มาอยู่ในห้องแบบนี้พอมันออกฤทธิ์เมื่อไหร่จะได้นอนเลย
ผมเอนหลังนอนพิงแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจเต้นสม่ำเสมอของลูเซียสที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ฝ่ามือใหญ่คอยลูบวนแถวสะโพกตามนิสัย
“ป๋า ถ้าคราวหน้าจะพาไปกินข้าวท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้นช่วยบอกให้ผมเตรียมใจล่วงหน้าด้วยสิ” ได้ทีขอโอดครวญหน่อย
“เปิดหูเปิดตาซะบ้าง เธอจะกังวลไปทำไม ในเมื่อเดฟคอยสอนเธอตลอดเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร เธอทำได้ดีกว่าเด็กวัยเดียวกันด้วยซ้ำ”
“ผมว่าบางทีคนที่อันตรายที่สุดในแก๊งอาจจะเป็นเดฟก็ได้นะ...” นึกภาพเชฟส่วนตัวของลูเซียส ใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดีมาพร้อมกับฝีมือทำอาหารสุดเทพกลับสอนผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยสักนิด
ลูเซียสหัวเราะหึหึในคอ “ก็อาจจะจริง ขนาดบอสใหญ่อย่างฉันบางครั้งยังต้องง้อ” เป็นผมที่หัวเราะบ้าง เรื่องปากท้องต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ต้องพ่ายแพ้จริงๆ ให้ตายสิ
ข้อนิ้วหยาบไล้โครงหน้าของผมพลางเชยคางให้มองสบตา “พักนี้ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอสงบเสงี่ยมเกินไป ยังคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เหรอ”
โดนทักแบบนี้ ภาพในวันนั้นย้อนกลับมาอยู่ตรงหน้า รู้สึกแผลที่ขาเจ็บขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งที่มันดีขึ้นมากแล้ว จะบอกว่ามันกลายเป็นเรื่องฝังใจก็ไม่ผิดนัก เจอขนาดนั้นต่อให้เป็นผมก็ซ่าต่อไม่ออก แม้ความตายจะไม่น่ากลัวสำหรับผม แต่สิ่งที่ผมหวั่นคือการถูกทรมาน ชีวิตของผมเคยย่ำแย่มามากแล้ว ไม่อยากถูกทำร้ายทั้งกายและใจ
ผมกังวล...ระแวงไปหมด ถ้าผมเจอเรื่องแบบนั้นอีกจะเป็นยังไง จะทนไหวรึเปล่า แล้วถ้าเกิดผมที่อยู่ในฐานะลูกชายทำให้ลูเซียสเสียหน้า ร้ายกว่านั้นอาจเป็นตัวสร้างปัญหา ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย
“ไม่ต้องไปสนใจ”
จู่ๆ ก็พูดคำนี้ ผมมองลูเซียสอย่างงุนงง
“จดจำไว้เป็นบทเรียนได้ แต่อย่าให้มันมีอิทธิพลเหนือตัวเอง”
อ่อ...หมายความว่าอย่างงี้นี่เอง
“มันไม่ง่ายขนาดนั้น” ผมส่ายหัวไม่เห็นด้วย เขาอาจจะทำได้ แต่ผมไม่ใช่ คนเราสภาพจิตใจไม่เหมือนกัน
“ฉันสั่ง เธอต้องทำให้ได้ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสนหรือแคร์สายตาใคร ฉันชอบเธอที่เป็นแบบนั้น อย่าทำให้ฉันหมดความสนใจกับเธอ...”
ผมหลุบตาลงหนีจากแววตาคมกล้าคู่นั้น ผมเข้าใจสิ่งที่ลูเซียสต้องการบอกทุกอย่าง ริมฝีปากเปิดออกบอกคำตอบแผ่วเบา
“ผมจะพยายาม”
“ดี...”
ในสายตาลูเซียส มิทรี่ตอนนี้ไม่ต่างจากลูกสัตว์ตัวจ้อยที่กำลังบาดเจ็บและเสียขวัญ วงแขนโอบกระชับแน่นขึ้น กดหัวที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มแนบกับอกตัวเองราวกับปกป้องจากภัยอันตรายทั้งมวล มุมปากกระตุกยิ้มเมื่อนึกเรื่องบางอย่างออก
“หลับซะมิทรี่ พักผ่อนให้เต็มที่ จะได้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า” ผมผงกหัวรับเสียงเตือนข้างหู
ลูเซียสมองออกไปนอกหน้าต่าง หวังว่าปัญหาที่นายเอามาจะช่วยให้ลูกชายของเขากลับมาแสบซ่าเหมือนเดิมนะ...อเล็กเซย์