“เบื่ออะ” บ่นเป็นรอบที่ร้อยของวันในห้องพักรวมของเหล่าการ์ด มองพวกเขาเตะต่อยกันแบบขำๆ ถามว่าทำไมผมไม่อยู่ในห้องลูเซียส? พอดีผมประท้วงน่ะเลยหนีออกมา...
จริงก็บ้าแล้ว! อย่างลูเซียสไม่สนหรอกกับการประท้วงไร้สาระแบบนี้ เห็นลูเซียสคุยงานกับไนท์และพี่อาคมผมเลยปลีกตัวออกมา เพราะอยู่ห้องนั่นก็ไม่รู้จะทำอะไร หนังสือก็เบื่อที่จะอ่าน มือถือมีแต่แบบเดิมๆ มาป่วนการ์ดดีกว่า เห็นพวกนี้ทำหน้าปูเลี่ยนๆ สนุกดี หน้าออกจะโหดซะเปล่า หมดกันๆ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบหลังกลับมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ เพราะหลงนึกสนุก พาผมบุกถิ่นเหล่าการ์ดที่อยู่ชั้นล่างลับหลังลูเซียส ก่อนจะทิ้งผมไว้แบบนั้นเนื่องจากเจ้าตัวงานเข้ากะทันหัน พวกการ์ดก็นิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ผมเลยลองใช้ความสามารถในการเข้าหาคนอื่น ทำความรู้จักกับพวกเขาดู ยังไงซะชะตากรรมของผมคงคลุกคลีอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้แย่เหมือนที่คิด ก็แค่คนธรรมดาที่ผ่านโลกมามากเลยไว้ใจคนยาก
พอรู้เรื่องราวของผมจากที่ไหนสักที่ ท่าทีเลยอ่อนลงกลายเป็นเห็นอกเห็นใจแกมเอ็นดู พร้อมกับบอกว่าพวกเขามีอดีตที่เลวร้ายเช่นกัน ถึงจะแตกต่างกันไปแต่ละบุคคลก็ตาม นับจากนั้นถ้าผมมีโอกาสก็จะแวะมาหาพวกเขาแก้เซ็ง เห็นแบบนี้ชั้นของพวกการ์ดมีอะไรน่าสนุกเพียบ
นอกจากห้องนอนแล้ว ยังมีชั้นอเนกประสงค์อื่นๆ ไม่ว่าจะห้องออกกำลังกาย ฟิตเนส ห้องนั่งเล่นรวมที่มีพื้นที่ว่างไว้แลกเปลี่ยนฝีมือหรือไว้ให้คนเหม็นหน้ามาซัดกัน ที่สำคัญ ของกินเล่นเยอะมาก! เป็นของที่พวกการ์ดซื้อมากันเอง เอาไว้กินระหว่างดูมวยระหว่างเพื่อนร่วมงาน
ผมคิดว่าแบบนี้ก็ดีนะ ไหนๆ ก็เหมาทั้งตึกเป็นของตัวเอง มีสถานที่ให้พวกเขาฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ คนเราต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้ฝึกซ้อมซะบ้างฝีมือคงทื่อหมดพอดี เรื่องนี้หลงเป็นคนเล่าให้ฟัง ก่อนจะโดนพี่อาคมลากคอไปเทศนาข้อหาพาผมเที่ยวโดยไม่ขออนุญาตบอส แม้ภายหลังลูเซียสจะปล่อยก็ตาม
“คุณหนู ถ้าเบื่อลองขอบอสออกไปข้างนอกมั้ยครับ” ไมค์ที่วันนี้มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนเอ่ยแนะนำด้วยความหวังดี ก่อนจะมีมารมาขัด
“ออกไปจะทำไรได้ นั่งรถเข็นเที่ยวห้างรึไง ฮ่าๆ”
“พี่หลง นั่งเล่นเงียบๆ ต่อไปผมก็ไม่ว่าพี่หรอกนะ” ผมหรี่ตามอง ที่เจ้าตัวเล่นคือกาสิโนออนไลน์ ไม่รู้ไปหามาจากไหน มีการชวนผมเล่นด้วย แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธแล้วก็ถูกพี่อาคมเทศนาทั้งคู่ สั่งห้ามผมแตะอีก บอกว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี ผมว่านะผมคงกลายเป็นลูกชายคนเล็กของพี่อาคมไปแล้วล่ะ ส่วนหลงเป็นพี่ชายคนโตจอมแหกกฎ ไมค์เป็นพี่คนกลางผู้เคร่งครัด ส่วนผมน้องสุดท้องผู้ไม่ประสา(?) วันหลังลองเรียกพี่อาคมว่าพ่อบ้างดีไหมนะ
“เบื่อจังเลย~”
ผมโอดครวญต่อไป ห้องที่ผมอยู่เป็นชั้นพักผ่อนรวมของเหล่าการ์ดใกล้ชิดลูเซียส ที่ตึกนี้จะแบ่งระดับชัดเจน ชั้นล่างจะเป็นของลูกน้องเด็กใหม่และคนทำงานภาคสนามตามแต่เบื้องบนจะสั่ง ถัดมาจะเป็นการ์ดที่คอยตามระดับหัวหน้าไปไหนมาไหน ชั้นบนเป็นของสามพ่อลูกต่างเชื้อชาติ ปิดด้วยชั้นของไนท์และลูเซียสครองตำแหน่งชั้นบนสุด
“งั้นไปทำกายภาพบำบัดกันดีมั้ยครับ” คุณหมอกล้ามโตเอ่ยชวน แต่ผมส่ายหัวเพราะขี้เกียจ ไมค์เคยบอกว่าขาของผมเริ่มหายแล้วแต่ยังไม่หายดี ควรเดินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อออกกำลังกายด้วยการใช้ไม้ค้ำไม่ให้ขารับน้ำหนักมากเกินไป หากเดินไกลๆ ยังต้องใช้รถเข็นเหมือนเคย
บางคนอาจคิดว่านั่งบนรถเข็นสบาย เอาจริงๆ มันไม่สบายหรอก แม้จะมีคนคอยดูแลทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วการทำอะไรด้วยตัวเองย่อมถูกใจกว่า ใครจะรู้ใจเราเท่าตัวเรากัน
“คุณหนู มาอยู่ที่นี่เอง ใกล้ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะครับ เดี๋ยวต้องกินยาหลังอาหารด้วย” พี่เดฟถึงขั้นลงมาตามด้วยตัวเอง ปกติเจ้าตัวจะประจำอยู่ที่ห้องครัวชั้นเดียวกับลูเซียส ผมเหล่มองนาฬิกาบนฝาผนัง ใกล้เที่ยงแล้วจริงๆ นั่นแหละ
“ป๋าคุยงานเสร็จแล้วเหรอ”
ผมถามท่ามกลางความโล่งอกของเหล่าการ์ดคนอื่นที่พักผ่อนตามจุดต่างๆ ในห้อง ถ้าคุณหนูไปจะได้ปล่อยตัวตามสบายเสียที ไม่ต้องกังวลว่าลูกหลงจะไปโดนเด็กของบอส หรือถูกลูกพี่ใหญ่อย่างอาคมตำหนิ ข้อหาใช้คำพูดที่ควรเซนเซอร์
“เสร็จแล้ว รีบเสนอหน้าไปซะ ก่อนใครบางคนจะหงุดหงิดเพราะอีหนูหาย” ไนท์เดินลงมาพร้อมพี่อาคม ตั้งแต่มีสองการ์ดประจำตัวคนใหม่ พี่อาคมก็ไม่ได้ตามติดผมอย่างเก่า เห็นว่าวันๆ ทำงานหัวหมุน เดี๋ยวไปนู่นมานี่ สั่งงานลูกน้อง เข้าออกห้องทำงานลูเซียสกับไนท์เป็นว่าเล่น น่าสงสัยกว่าก่อนหน้านี้เจ้าตัวมาประกบผมได้ไง ยังเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบ
“รู้แล้ว กำลังจะไป แล้วนั่นพี่ไนท์ไปไหน หมู่นี้ขยันออกจากตึกนะ”
ไม่ใช่แค่ขยันออกนะ บางทีไม่กลับตึกด้วยซ้ำ มันถี่เกินไปจนน่าสงสัย ที่ผ่านมาหากไม่จำเป็นจริงๆ ไนท์จะให้พี่อาคมไปจัดการมากกว่า
“เสือก”
เต็มหน้า ตรงตามหลักไวยากรณ์คำด่า ชัดดีเหลือเกิน ตั้งแต่รู้จักคำนี้ขยันพูดบ่อยซะจนผมแอบเขม่นพี่อาคมลับๆ แล้วร่างสูงเยี่ยงตึกก็เดินจากไปแบบหล่อๆ ผมกลอกตาเซ็งหันไปบอกให้ไมค์เข็นผมกลับห้องเพื่อกินมื้อเที่ยงก่อนลูเซียสจะองค์ลง
อาหารแต่ละมื้อถูกจัดเตรียมเพื่อบำรุงผมทั้งสิ้น ลูเซียสเองก็กินแบบเดียวกันไม่มีบ่นสักคำ ปกติลูเซียสเป็นคนเรื่องมากเรื่องรสชาติอาหารสุดๆ แต่ถ้าทำถูกปาก จะทำอะไรมาก็กินได้หมด ช่างเป็นคนที่เอาใจยากอะไรอย่างงี้
“ขาเป็นยังไงบ้าง” ลูเซียสถามหลังมื้ออาหารขณะที่ผมกำลังกินยาที่ไมค์ส่งมาให้
“ยังเจ็บอยู่ แต่ดีกว่าเมื่อวาน” ผมตอบตามจริง แม้ว่าลูเซียสเพิ่งจะถามไปเมื่อเช้า หวังว่าคงไม่มีถามหลังมื้อเย็นอีกนะ
“งั้นก็ดี ไปพักซะ หลงส่งมิทรี่แล้วไปช่วยงานอาคม ไมค์ตามฉันไปคุยที่ห้อง”
“ครับ/ครับบอส” สองหนุ่มรับคำ หลงเดินมาพยุงผมกลับไปนั่งรถเข็นแล้วพากลับห้อง ผมมองตามหลังสองนายบ่าวจนกระทั่งประตูปิดลง
“บอสคงจะถามอาการของคุณหนูถึงได้เรียกไมค์ไป” หลงออกความเห็นระหว่างพยุงผมขึ้นเตียงนอน
“ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นมั้ง บรรยากาศดูต่างไปจากทุกที”
หลงมองคุณหนูของเขาอย่างอึ้งๆ เด็กคนนี้สัมผัสไวดีแฮะ ฉลาดไหวพริบดีแบบนี้ มิน่าบอสถึงถูกใจ
“ไม่แน่นะ ใครบางคนอาจมีอะไรให้ทำแก้เบื่อก็ได้”
เห็นสีหน้าของคนพูด ผมขอภาวนาว่าใครคนนั้นไม่ใช่ผม ระหว่างนั้นหลงทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม บรรจงพยุงผมนอนแล้วห่มผ้าให้ราวกับคุณแม่ ถ้าไม่ห่มซะมิดหัวปานอาสาร่วมกตัญญู พอผมตลบผ้าห่มออกมาไม่เห็นแม้แต่เงาคุณการ์ด ไวอย่างกับปรอท
ด้วยความที่เพิ่งกินข้าวมาผมไม่อยากนอนทันที เลยเล่นมือถือรอยาออกฤทธิ์คุยกับเพื่อนผ่านทางโซเชียล คอยตอบคำถามแต่ละคน มีริวกับซันผลัดกันซัก ส่วนโป้บอกว่าพวกมันถามผมหมดจนไม่รู้จะถามอะไร ปอนด์เงียบคงจมอยู่ในโลกนิยายแบบที่เจ้าตัวชอบบอก วาคินน่ากลัวสุด เล่นแยกมาถามเป็นการส่วนตัว พิมพ์ข้อความสั้นๆ แต่กดดันจนผมต้องเล่าใหม่หมดแบบเดียวกับที่เล่าให้พวกซันฟัง
ข้อความขึ้นแจ้งเตือนว่าอ่าน สักพักพิมพ์มาแบบประหยัดตัวอักษร
‘อืม ไว้เจอกัน’
ผมเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะมั่นใจว่าคงไม่ได้คำอธิบายมากกว่านี้ และโคตรมั่นใจเลยว่าวากลับมาเมื่อไหร่โดนซักจนซีดแน่ ในเมื่อเจ้าตัวดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเล่าเลย เอาเถอะ ปล่อยมันไป ผมเลิกคุยกับเพื่อนปล่อยพวกมันไปเรียน ส่วนตัวเองท่องโลกโซเชียลดูข่าวอัปเดตอะไรไปตามเรื่อง กระทั่งยาเริ่มออกฤทธิ์เลยยอมวางมือไหลลงนอนในที่สุด
ช่วงที่ผมกำลังหลับสบาย ผมรู้สึกเหมือนมีคนอุ้มตัวขึ้นจากเตียง อ้อมแขนหนากับกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ผมคลายใจยอมให้เขาอุ้มแล้วจมสู่ห้วงนิทรา...
“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่”
เสียงลูเซียสดังอยู่เหนือหัว ที่นอนโคลงเคลงเล็กน้อย ผมกำลังเคลื่อนที่?
“สามชั่วโมง ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ไปทันแน่นอน”
ไปทัน? ไปไหน?? ผมตื่นขึ้นมาพบกับขาของชายคนหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมองถึงเห็นว่าเป็นพี่อาคม ข้างๆ มีไมค์นั่งอยู่ส่วนหลงนั่งไกลออกไป เห็นการ์ดชุดสูทห้าหกคนอยู่อีกมุมหนึ่ง อ่า...ห้องทรงยาวนี่มันอะไรกัน
“ตื่นแล้วเหรอ”
ถึงคราวที่ผมต้องเงยหน้ามองคนที่เอาตัวเองมาแทนเตียงชั่วคราว ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของลูเซียสครับ
“สงสัยยายังไม่หมดฤทธิ์ดีมั้งครับ” พี่อาคมวิเคราะห์ ก็คงจะจริง ผมรู้สึกมึนนิดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ยกมือขยี้ตาอ้าปากหาวพลางขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง ไม่คิดจะลุกไปนั่งที่ว่างด้านข้าง เพราะอยู่แบบนี้มันสบายกว่า ทั้งอบอุ่นและปลอดภัย มือหนากระชับตัวผมกันตก ผมสามารถทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดได้เต็มที่ ดวงตาปรือๆ กวาดมองสภาพโดยรอบอีกครั้ง
หน้าต่างทรงรีแนวตั้ง ด้านนอกเป็นท้องฟ้ากับปุยเมฆสีขาว ไม่ผิดแน่ผมกำลังอยู่บน...
“เครื่องบิน!!”
ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว หากเป็นปกติหลงคงสอดปากกวนผมไปแล้ว แต่ตอนนี้มีบอสใหญ่นั่งอยู่ด้วยเจ้าตัวเลยสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษให้คนอื่นเป็นฝ่ายพูดแทน
“ใช่ เธอไม่เคยขึ้นเครื่องบิน?” ถามแบบสงสัยจริงๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปน หรือต่อให้มีผมก็ไม่ว่าอะไรที่คนอย่างลูเซียสจะคิดแบบนั้น ระดับบอสใหญ่มาเฟียเชียวนะ!
“ไม่...” ทุกคนมองด้วยสายตาเข้าใจ เดี๋ยวเข้าใจกันไปไหน ฟังพี่ให้จบก่อน “เคยขึ้น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ผมควรจะเป็นเจ้าหญิงราพันเซลบนหอคอยงาช้างที่รายล้อมด้วยการ์ดหน้ามังกรในชุดสูทไม่ใช่เหรอ ไหงมาท่องเวหาบนเครื่องบินส่วนตัวได้
“อ่อ ฉันยังไม่ได้บอกเธอสินะ พวกเรากำลังจะไปขึ้นเรือสำราญที่ภูเก็ต ปลายทางคือญี่ปุ่น ฉันจะพาเธอไปตรวจที่นั่น ไมค์มีคนรู้จักเป็นแพทย์เฉพาะทาง ฉันนัดนักกายภาพบำบัดไว้แล้วด้วย”
“ที่โรงพยาบาลก็บอกว่าไม่โดนอวัยวะสำคัญไม่ใช่เหรอ” เท่าที่ผมจำได้หมอว่าแบบนั้นนะ ยังบอกเลยว่าผมฟื้นตัวไว
“เพื่อความมั่นใจ”
ชัดเจน ระดับอย่างลูเซียสไม่มีคำว่าประมาท สมกับที่เป็นบอสใหญ่ นิ้วหยาบไล้เรือนผมที่ปลกหน้าไปออก
“คิดอะไรอยู่ ฉันมาทำธุระเลยแวะพาเธอมารักษาทีเดียว” ผมพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจแล้ว ถูกลูเซียสลูบหัวลูบหางมากๆ เข้าผมชักเคลิ้มจะหลับอีกรอบ ตัวยาอาจจะหมดฤทธิ์ไปแล้วแต่คนที่เกิดมาเคยขึ้นเครื่องบินแค่ครั้งเดียวมันชวนให้เวียนหัวไม่น้อย สุดท้ายผมเลยหลับจนได้
ตื่นมาอีกทีก็ถึงที่หมายแล้ว ผมถูกปลุกเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วเดินทางต่อจนถึงท่าเรือ สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งไม่ใช่จำนวนคนมากมายหรือของมีค่าที่พวกเขาใส่ แต่เป็นเรือลำใหญ่แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เทียบกันแล้วคนก็ไม่ต่างจากมดบนท่อนไม้ท่อนใหญ่เลยสักนิด
“ไม่ต้องตื่นเต้น ทำตัวปกติก็พอ” ลูเซียสพูดพร้อมกับใครบางคนเดินเข้ามาทักทาย ผมได้เห็นลูเซียสในมุมมองที่แตกต่าง ไม่วางท่าทรงอำนาจ ดูเผินๆ ไม่ต่างจากนักธุรกิจกระเป๋าหนักคนหนึ่งที่มีการ์ดรายล้อม ผมที่นั่งบนรถเข็นเลยกลายเป็นจุดเด่นอย่างช่วยไม่ได้
พวกนั้นมีมารยาทมากพอที่จะกวาดตามองเพียงครู่เดียวแล้วพูดคุยกับลูเซียสต่อราวกับทุกอย่างปกติธรรมดาเสียไม่มี การ์ดทุกคนเองก็มองออก นอกจากพี่อาคมรับหน้าที่เข็นผมแล้ว การ์ดอีกสามคนประกบด้านหลังอย่างชัดเจน รวมกับไมค์หลงและการ์ดส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้ลูเซียส กลุ่มพวกเราเด่นสะดุดตาไม่ใช่เล่น
การทักทายแบบผิวเผินจบไป ในที่สุดก็จะได้ขึ้นเรือสักที ตรงทางขึ้นมีพนักงานต้อนรับสองคนและพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ คอยตรวจเช็กคนที่ขึ้นเรือ ป้องกันพวกไม่ประสงค์ดีกับพวกที่คิดจะขึ้นเรือฟรี
ลูเซียสมีอิทธิพลไม่น้อย ไม่ต้องเสียเวลาเข้าแถวอย่างคนอื่น สามารถตรงไปให้การ์ดจัดการธุระ ส่วนตัวเองมาเข็นผมขึ้นเรือหน้าตาเฉย ต่อให้ผมหน้าด้านหน้าทนแค่ไหนเจอคนมองมากขนาดนี้ แถมอยู่ต่างที่มันก็อดประหม่าไม่ได้ ความหรูหราไฮโซกับเด็กโลคลาสอย่างผม
“เชิดหน้าเข้าไว้ เธอไม่ได้ด้อยกว่าใครเพราะเธออยู่ในฐานะลูกชายของฉัน” ร่างสูงใหญ่โน้มลงกระซิบข้างหู นั่นมันหมายความว่ายังไง ดูจะไม่ใช่แค่เพียงคำกล่าวอ้างอย่างตอนอยู่โรงพยาบาลซะด้วย
“อะแฮ่ม ขอเวลาเดี๋ยวได้ไหม”
เสียงกระแอมดึงความสนใจจากผมและลูเซียส น่าแปลก คนคนนี้เดินเข้ามาใกล้โดยที่การ์ดไม่มีทีท่าอะไร ปกติจะระวังทุกคนที่เข้าหาแท้ๆ
“อเล็กเซย์? นายเสนอหน้ามาทำอะไรที่นี่”
ดูเหมือนจะรู้จักกันแฮะ อีกคนพ่นภาษาอังกฤษแบบสำเนียงต้นฉบับ อีกคนพ่นภาษารัสเซียกลับ ถ้าผมไม่เห็นลูเซียสทะเลาะกับไนท์ทีหนึ่งไม่ต่ำกว่าสามภาษาคงมีมึนกันบ้าง
“คุยตรงนี้ไม่สะดวก ไปที่ห้องฉันดีกว่า เชิญครับคุณหนูตัวน้อย” เขายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผายมือเชิญมาดผู้ดีอังกฤษแล้วเดินนำทีมพวกเราไป หากสังเกตดีๆ ชายคนนี้มีการ์ดตามมาเหมือนกันแค่พวกเขายืนกลมกลืนกับฝั่งเราเท่านั้น กระทั่งมาถึงห้องรับรอง ลูเซียสเข็นผมหยุดข้างโซฟาตัวเดียวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างบนโซฟายาวจ้องสำรวจผมแบบโจ่งแจ้ง จนผมต้องเสมองสำรวจห้องแทน แววตาอีกฝ่ายเหมือนจะรู้เรื่องราวทุกอย่างดี มันชวนให้อึดอัด
ห้องนี้คล้ายห้องรับแขกตกแต่งสไตล์ตะวันตก มีโซฟาชุดสีน้ำตาลตรงกลาง หากมองผ่านหน้าต่างไปจะเห็นวิวทะเลสีครามตัดกับท้องฟ้า มีการ์ดสองคนยืนตรงประตูกับหน้าต่าง นอกนั้นอยู่ตามตำแหน่งตัวเอง กลุ่มคนที่ยืนเบื้องหลังลูเซียสมีเพียงพี่อาคมและพวกหลง
“ไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกันหน่อยเหรอ คุณพี่ภรรยา”
“อย่ามาทำปากดี ฉันจำได้ว่าธุรกิจของนายไม่มีสาขาที่เมืองไทยหรือคิดจะมาเปิดตัวเป็นคู่แข่งฉันแล้ว?”
หนุ่มมาดผู้ดียกสองมือ ด้านหลังเขามีการ์ดสองคนดูจะเป็นคนสนิทแบบเดียวกับพี่อาคม เห็นพวกเขาส่งยิ้มทักทายพี่อาคมแบบไม่เกรงกลัวสายตาร้อนแรงจากพี่น้องต่างสายเลือด
“เอาตรงๆ เลยนะ ฉันไม่มีธุระอะไรแถวนี้หรอก แค่เป็นทางผ่านแล้วถูกภรรยาสุดที่รักให้แวะมาดูนายหน่อย เพราะจู่ๆ นายก็รับลูกบุญธรรมโดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ” พูดจบก็มองผมต่อ ดูอยากจะทำความรู้จักสุดๆ แล้วหันไปถามลูเซียส “เด็กคนนี้พูดภาษาอื่นนอกจากไทยได้รึเปล่า”
อยากจะสอดปากบอกนะว่าผมพูดรัสเซียได้ และฟังที่เขาพูดออกทุกคำ แต่ผู้ใหญ่คุยกันผมไม่ควรแทรก อีกฝ่ายดูท่าจะอายุพอๆ กับลูเซียส สุดท้ายลูเซียสก็ส่งเสียงหึแล้วยอมแนะนำตัวสักที
“เด็กคนนี้ชื่อมิทรี่ นายรู้แค่ว่าเป็นลูกบุญธรรมดาของฉันก็พอ ส่วนหมอนั่นชื่ออเล็กเซย์ เป็นเพื่อนและเป็นคนรักของน้องสาวฉัน”
น้องสาว! ลูเซียสมีน้องสาวด้วย ผมหันขวับไปมอง คงแสดงสีหน้ามากไปทำให้อเล็กเซย์คนนั้นหัวเราะกรุ้มกริ่ม
“จะเป็นลูกหรือเป็นอะไรฉันไม่สน สนแค่ว่านายติดต่อกลับไปบ้าง หวานใจของฉันกับหลานๆ เขาคิดถึงนายนะ”
“อืม...เด็กพวกนั้นสบายดีนะ”
“แน่อยู่แล้ว! ฉันดูแลของฉันดีไม่ต้องให้นายมาเป็นห่วงหรอก” ดูคล้ายกับคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่แววตาทั้งคู่คมกริบแผ่ความกดดันออกมาจางๆ แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรนอกจากนี้แน่ แต่ไม่สะดวกพูดเพราะผมที่เป็นคนนอกอยู่ด้วย
“ไมค์ หลง พามิทรี่ไปพักซะ” นั่นปะไร ลูเซียสหันมามองพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน “เดี๋ยวฉันตามไป ถ้าเบื่อให้พวกไมค์พาไปสำรวจเรือก็ได้ เป็นเด็กดีอย่าก่อเรื่องล่ะ” ท้ายคำมองด้วยดวงตาพราวระยับ ผมอยากจะถลึงตาใส่เป็นการประท้วง ขาเดี้ยงแบบนี้ผมจะก่อเรื่องอะไรได้ ไถรถเข็นทับเท้าการ์ดรึไง
จู่ๆ ลูเซียสก็ทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง มือหยาบฉวยคางผมให้เงยหน้ารับจูบ ริมฝีปากเม้มจนผมต้องยอมเปิดปากออกให้ลิ้นร้อนสอดเข้ามาตามใจชอบ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกจูบแบบสูบวิญญาณอย่างงี้ นอกจากจะหน้าแดงนิดๆแล้วผมก็ไม่มีอาการอะไรอีก หอบสักนิดยังไม่มี ดูลูเซียสจะพอใจไม่น้อยจูบปากผมหนักๆ อีกทีอย่างคนมันเขี้ยวแล้วยอมผละออกพยักหน้าให้ไมค์เข็นผมออกไป
ก่อนที่ประตูจะปิดลง ผมเห็นสายตารู้ทันของชายที่ชื่ออเล็กเซย์ คนระดับนั้นจะดูออกแต่แรกไม่เห็นแปลก แถมเหมือนจะรู้จักกับลูเซียสมานานแล้วด้วย ในเมื่อเจ้าตัวไม่คิดปิดบัง ผมจะไปเดือดร้อนทำไม
พ่อลูกที่มีอะไรกันเองงั้นเหรอ ผมเลียริมฝีปากที่เปื้อนน้ำลาย ดูเป็นความสัมพันธ์ต้องห้ามชวนระทึกใจไม่เลว