บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจลูเซียส ไม่สิ ผมไม่เคยเข้าใจเขาเลยมากกว่า...
ก่อนหน้านี้ผมถูกพาไปกินมื้อค่ำแบบฟูลคอร์สกะทันหัน มาคราวนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางความไฮโซอันน่าเบื่อหน่าย
เด็กหนุ่มในชุดสูทสีเทาพอดีตัวเผยสัดส่วนน่าดึงดูด เรือนผมถูกเสยไปด้านหลังเหลือปอยเล็กน้อยขับใบหน้าชวนมองต้องตาใครต่อใคร มือหนึ่งถือแก้วทรงสูงแต่ภายในบรรจุน้ำผลไม้แท้100% มีฉากประกอบเป็นงานราตรีหรูหรา โคมไฟระย้างดงามเข้ากับการตกแต่งสไตล์ตะวันตก บนผนังประดับรูปวาดราคาแพง อาหารบนโต๊ะทุกอย่างดูสวยงามไม่ต่างจากผลงานศิลปะ มูลค่าและรสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง
มิทรี่คงจะมีคนมาสานไมตรีไม่ขาดแน่ หากเจ้าตัวไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็น รายล้อมด้วยการ์ดตัวสูงใหญ่แผ่ออร่าน่าถอยหนี สายตาสนใจของคนรอบข้างเลยกลายเป็นความสงสัยใคร่รู้มากกว่า ว่าเด็กหนุ่มผู้พิการคนนี้เหตุใดจึงมาร่วมงานพร้อมกับเหล่าการ์ดมือดีราวกับเป็นบุคคลสำคัญ
“ผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้จริงๆ เหรอพี่ไมค์” ส่งเสียงอ้อนใส่หมอควบตำแหน่งการ์ดส่วนตัวไม่อาจเรียกความเห็นใจได้
“อาหารเครื่องดื่มนอกจากแอลกอฮอล์คุณหนูสามารถสั่งให้พวกผมไปเอามาให้ได้” ความหมายก็คือ อย่าฝันว่าจะได้แตะ กินอาหารอย่างอื่นในงานไปซะ ผมหันหน้าไปทางหลง ลอบถอนหายใจหนึ่งเฮือก เวลานี้ขนาดหลงที่ชอบให้ท้ายพาผมซนยังงดก่อเรื่องชั่วคราว ผลจากคำสั่งหัวหน้าการ์ดอย่างพี่อาคมซึ่งกำลังเดินตามหลังบอสใหญ่คอยคุ้มกันระหว่างพบปะพูดคุยกับคนในงาน
“ถ้างั้นช่วยเอาอะไรอร่อยๆ มาให้ผมกินหน่อยแล้วกัน”
ไมค์พยักหน้ารับเป็นคนออกไปตักอาหารมาให้อย่างเข้าใจ ก็นะ ของกินละลานตาแบบนี้ ผมซึ่งอยู่บนรถเข็นไม่อาจชี้นิ้วสั่งได้ว่าจะเอาอันไหนบ้าง จะให้การ์ดช่วยเข็นเหมือนทัวร์ซูเปอร์มาร์เก็ตก็เกรงใจคนร่วมงาม อีกอย่างจะเป็นจุดเด่นเปล่าๆ ในเมื่อลูเซียสพามาเปิดตัวเฉยๆ
ผมไม่น้อยใจนะที่เขาไม่ได้แนะนำผมอย่างเป็นทางการ ในเมื่อมันไม่สะดวกอะไรหลายๆ อย่าง แถมฐานะดั้งเดิมของผมเป็นเพียงเด็กเลี้ยงด้วยซ้ำ ถึงงั้นลูเซียสก็ยังหันมามองผมเป็นระยะไม่ยอมให้คลาดสายตา แค่ลูเซียสยอมพาผมมาเปิดหูเปิดตาก็นับว่าดีมากแล้ว...
หึ! ความคิดแบบนางเอกละครนั่นน่ะลืมไปได้เลย ผมไม่สนหรอกว่าลูเซียสจะเปิดตัวผมในฐานะลูกชายรึเปล่า ในเมื่อสิ่งนั้นไม่จำเป็นกับผมสักนิด สิ่งที่ผมต้องการคือเงิน! และความรู้สึกดีๆ จากลูเซียสและคนรอบตัวเขาก็พอแล้ว จะเปิดตัวไปทำไมให้วุ่นวาย อยู่เงียบๆ สบายกว่าเยอะ มีหน้ามีตาแล้วปวดหัว ดูอย่างลูเซียสสิ ต้องปั้นหน้ายิ้มคุยธุรกิจอยู่นั่น ไม่รู้ในใจอยากหยิบปืนมายัดลูกตะกั่วใส่ปากคนไปกี่รอบ
จะว่าไปเห็นอีกฝ่ายในมาดนักธุรกิจเต็มตัวแบบนี้ก็สนุกดีไม่หยอก
“อ้าวๆ นายมางานนี้ด้วยเหรอพ่อคนพิการ”
เสียงระคายหูมาพร้อมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นหน้าตาคุ้นๆ ผมเลิกคิ้วมอง
“นนท์ฉันว่านายอย่ายุ่งกับเขาดีกว่า” ชาน ลูกชายเจ้าของเรือที่เคยร่วมโต๊ะกับลูเซียสจับบ่าเพื่อนเป็นการเตือน เขาคงถูกพ่อกำชับเรื่องของผมมาไม่น้อย ถึงได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ ไม่ถึงกับเสแสร้งสุภาพใส่ แต่ก็ไม่ตั้งแง่ดูถูกหรือมองด้านลบเหมือนตอนแรก
คนชื่อนนท์สะบัดตัวหลุดจากเพื่อนด้วยท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจ รอบนี้มากันแค่สามคนแฮะ ในกลุ่มนั้นมีผู้หญิงที่มองผมอย่างรังเกียจอยู่ด้วย
“นายมันปอดแหกชาน ก็แค่ลูกคนรวยธรรมดา บนนี้นายเป็นลูกเจ้าของเรือนะ บ้านฉันเองก็เป็นคู่ค้าคนสำคัญ จะไปกลัวมันทำไม”
ได้ยินแบบนี้ผมมองสำรวจทั้งสามอย่างละเอียด แย่แฮะ ต้องคบเพื่อนด้วยผลประโยชน์ตั้งแต่อายุเท่านี้ ฝ่ายผู้หญิงที่แต่งชุดราตรีซะสวยก็คงไม่ต่างกัน ผมเห็นแววตาเธอวูบหนึ่งบ่งบอกว่ารำคาญนิสัยโวยวายของนนท์ไม่น้อย พาลให้คิดถึงพวกเพื่อนผมเลย อยู่กับพวกนั้นสบายใจกว่าเยอะ
ผมคงแสดงสีหน้าสมเพชมากไปหน่อย นนท์ถึงกลับมาหาเรื่องผมอีกครั้ง
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง ความจริงนายน่าจะออกจากงานไปนะ อยู่ที่นี่มันเกะกะ แสลงตาคนอื่น”
“นนท์คะ เราไปที่อื่นกันเถอะ อย่าลดตัวไปคุยกับคนแบบนี้เลยเสียเวลา” หญิงสาวที่เงียบมานานคงไม่อยากยืนใกล้ผมแม้แต่วินาทีเดียวถึงเข้าไปเกาะแขนชวนเจ้าเด็กหัวโจกไปทางอื่น
“พวกนายก็พูดเกินไป มิทรี่ นายกินอะไรรึยัง” ชานตำหนิเพื่อนพอเป็นพิธีแล้วหันมาถามผมพอเป็นมารยาทสมฐานะลูกชายเจ้าของเรือ ผมยิ้มตาวาว ดูเหมือนผมจะมีบทแล้ว
ผมส่งแก้วไปให้หลงที่รับไปอย่างนอบน้อมจนแอบขนลุกนิดๆ ไม่ได้ คนๆ นี่รับมุกผมดีจนน่ากลัว เชื่อเลยว่าหากเปลี่ยนหลงเป็นไมค์คงไม่ราบรื่นเช่นนี้แน่
ผมว่างท่าดุจเจ้าชาย “ฉันให้คนไปเอาแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง” เลือกตอบด้วยรอยยิ้ม ชานสีหน้าดีขึ้นนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าผมดูไม่ติดใจเอาความอะไรกับเพื่อนของเขา
“ตามสบายเลยนะ ถ้าขาดเหลือหรือต้องการอะไรเรียกใช้คนบนเรือได้ นนท์ พีช พวกเราไปทางนั้นดีกว่า” นับว่าชานเป็นเด็กฉลาด รู้จักถอยพร้อมสานสัมพันธ์ไมตรีไปในตัว แต่เพื่อนเขาดูจะไม่ฉลาดสักเท่าไหร่
“ชาน นายรู้จักไอ้พิการนี่ด้วยเหรอ” หญิงสาวนามพีชถามด้วยน้ำเสียงแสดงความแปลกใจชัดเจน ขณะที่ผมกำลังรอดูว่าชานจะเอายังไงต่อไป ดันมีคุณหญิงหัวสูงเดินมาทางนี้เสียก่อน ใบหน้าใต้เครื่องสำอางหนาเป็นนิ้วพอจะบอกได้ว่ามีเค้าความคล้ายกับนายคนชื่อนนท์
“ลูกนนท์ มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปทำความรู้จักท่านอื่นๆ กับคุณพ่อ” น้ำเสียงเจ้าระเบียบมาแต่ไกล ไหงลูกชายถึงนักเลงโตเหมือนกุ๊ยข้างถนนหนอ นนท์ใช้สายตามองผมแทนคำตอบ
“อ้าว ตายจริง ลูกเต้าเหล่าใครเนี่ย ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในงานได้ แอบผู้ปกครองมาเหรอจ๊ะ แบบนี้ไม่ดีเลยนะเพราะมันทำให้พวกเขาขายหน้า” ในแวดวงสังคมนี้ การมีลูกไม่ปกติเป็นรอยด่างพร้อยของตระกูล รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงแย่ กลายเป็นเรื่องน่าขบขันและอับอายในวงผู้ดี ดังนั้นปกติไม่มีใครเขาเอาคนที่นั่งรถเข็นอย่างผมเข้างานหรอก หากคนนั้นมีอายุหรือมีอำนาจก็ว่าไปอย่าง
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับคุณผู้หญิง แต่ผมไม่ได้แอบมา พ่อผมเป็นคนพามาเอง ไม่งั้นจะมีลูกน้องตามมาดูแลมากมายขนาดนี้ได้ยังไง” ผมผายมือไปทางเหล่าการ์ดด้านหลัง โอ้อวดเล็กน้อยว่าลูกน้องเยอะ ข่มมาก็ข่มกลับ ไม่มีเหตุจำเป็นต้องก้มหัวให้กับคนประเภทนี้ ในเมื่อคนให้ท้ายผมไม่ใช่ระดับธรรมดา หากมัวแต่กลัวจะเป็นการเสียหน้าลูเซียสเปล่าๆ
“โถ่ เธอคงจะอ้อนขอท่านมาสินะ ไม่คิดบ้างเหรอว่าการให้คนมาตามประกบมากขนาดนี้เพราะกลัวเธอจะก่อเรื่องขายหน้า”
ฟังถึงตรงนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้ง ไอ้นนท์มันเอานิสัยมาจากใคร พ่อแม่รังแกฉันชัดๆ ผมคลี่ยิ้มสวมหน้ากาก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยพลางยกขาไขว่ห้างประสาทมือบนตักอย่างไว้มาดกันให้เห็นแบบจะจะ พวกเขาถึงกับตาโตไม่เว้นกระทั่งชาน มันชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้พิการแต่อย่างใด ไม่งั้นจะขยับขาได้หรือ
“คุณหนูครับ! ขยับขาแบบนั้นเดี๋ยวแผลถูกยิงจะหายช้าเอานะครับ” หลงแสร้งทำเสียงตกใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมรับไม้ต่อ ยกมือวางอำนาจให้เขาเงียบกลับไปยืนสงบด้านหลังตามเดิม เหมือนผมจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจเฮือกจากใครบางคน
แผลถูกยิงชวนให้เข้าใจได้หลายอย่าง แต่ภาพรวมของผมตอนนี้คิดได้ไม่กี่อย่างหรอก หนุ่มหน้าใสนั่งบนวีลแชร์มีการ์ดรายล้อมรอบตัว ทุกคนล้วนมีฝีมือ กับงานเลี้ยงพักผ่อนกึ่งธุรกิจอย่างนี้ ถ้าเป็นผมคงคิดแล้วล่ะว่าพ่อไอ้เด็กนี้ต้องไม่ธรรมดามากแน่ๆ ถึงให้การ์ดปกป้องลูกชายซะแน่นหนา
“ผมกลับมาแล้วครับคุณหนู” ไมค์เมินคนเหล่านี้เดินเลยมาส่งจานให้การ์ดถือไว้ พร้อมจัดแจงวางผ้าเช็ดปากบนตักบริการประทับใจ ถึงค่อยมองคนแปลกหน้า “พวกคุณมีอะไรกับคุณหนูของผมรึเปล่าครับ”
นนท์ทำท่าจะพูด แต่โดนเจ้าคุณแม่หยิกเอวจนหุบปากเงียบ ท่าทีของคุณหญิงเปลี่ยนไป ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแฝงความเกรงใจสมเป็นผู้ดีอย่างแนบเนียน
“ไม่มีอะไรค่ะ เด็กๆ เห็นเขานั่งอยู่คนเดียวเลยอยากมาทำความรู้จัก ขอเสียมารยาทถามหน่อยนะคะ ไม่ทราบว่าผู้ปกครองของเด็กคนนี้คือ...”
“ท่านลูเซียส มิไรฮอฟครับ” ไมค์ตอบเสียงหนักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นถึงแสดงท่าทางไม่เป็นมิตร
ผมเกือบจะหลุดขำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดเผือด ยิ่งคุณหญิงหันไปมองเจ้าของนามที่ว่ากำลังจ้องนิ่งมาทางนี้ เลือดบนใบหน้ายิ่งหายไปไม่ต่างจากศพ เธอแสร้งหัวเราะโฮะๆ ชมผมอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อนจะรีบลากลูกชายพร้อมเด็กอีกสองคนออกไป
พอห่างไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มหยิกตีลูกชายตัวเอง แล้วหันไปต่อว่าหญิงสาวแบบหลบมุม น่าเสียดายที่มันไม่พ้นสายตาของผม
ผมต้องอาศัยดึงไมค์ที่ตัวสูงใหญ่เหมือนกำแพงเมืองมาบังระหว่างตัวเองขำหน้าดำหน้าแดง หันไปแท็กมือกับหลง
“พี่หลงเห็นสีหน้าเมื่อกี้มั้ย ซีดเป็นไก่ต้มเลย เจ้าเด็กนนท์นั่นยังทำหน้าโง่ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
“นั่นสินะ ไมค์นายมาได้จังหวะพอดีมาก” สิ้นคำยกนิ้วโป้งให้ คนโดนชมไม่นำพา ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
“เรื่องไร้สาระ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ความจริงคุณหนูบอกชื่อบอสไปแต่แรกก็จบ คุ้นๆ ว่าพวกเขาเคยมาหาเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยหนิ”
ผมโบกมือปัดๆ “ไม่เอาหรอก แบบนั้นมันจบไวไปไม่สนุก อ้อ เรื่องนี้ไม่ต้องไปบอกป๋านะ”
“ครับๆ ต่อให้ไม่บอก บอสน่าจะเดาได้อยู่แล้ว” ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ไมค์พูดแบบนี้ ผมชักงงแล้วสิ ตกลงลูเซียสต้องการอะไรจากผมกันแน่ เหมือนจะดึงมาเปิดหูเปิดตา แต่ก็ไม่ยอมแนะนำอย่างเป็นทางการ ช่างเถอะ คิดไปก็ปวดหมอง ลองชิมดีกว่าว่าอาหารในงานอร่อยสู้ฝีมือเดฟได้รึเปล่า
หลังลองไปหลายอย่าง อืม... มันก็อร่อยนะ แต่ผมว่าเดฟถูกปากกว่า จังหวะที่ผมกำลังจะจิ้มฟัวกราส์เข้าปาก ก็มีมือดีมาโฉบเข้าปากตัวเองไปซะก่อน พอเห็นว่าเป็นใครผมขมวดคิ้วทันที
“คุณอเล็กเซย์ แย่งเด็กกินแบบนี้เดี๋ยวผมไม่โตนะ” ผมสนทนากับเขาด้วยภาษาอังกฤษ
“แค่คำเดียวไม่ทำให้นายโตไปมากกว่านี้หรอก รสชาติงั้นๆ สู้ที่บ้านฉันไม่ได้” พูดออกมาได้หน้าตาเฉย แล้วจะมาแย่งกันทำไมล่ะเฮ้ย เค้าอยากชิมของแพงบ้าง ว่ากินแล้วมันจะบินได้รึเปล่า
“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น เดี๋ยวการ์ดนายก็ไปฟ้องลูเซียสว่าฉันแกล้งเด็กเขาพอดี เอางี้ ไว้ถ้าอยากกินนักเดี๋ยวฉันให้คนส่งไปให้ที่ตึก เดฟทำ รับรองอร่อยกว่าอยู่แล้ว” เขาพูดพลางเดินอ้อมมาด้านหลังวีลแชร์
“ไมค์ หลง ไม่ได้เจอกันนานนะ ก่อนหน้านี้ไม่มีจังหวะทักทาย ไนท์เป็นยังไงบ้าง ลาออกไปรึยัง ฉันคิดว่ามีไม่กี่คนหรอกที่ทนนิสัยของเขาได้” เขาในที่นี้ไม่ใช่ใครอื่น ป๋าผมชัวร์
“ขอบคุณที่นึกถึงพวกเราครับ พวกเราสบายดี คุณไนท์เองก็เช่นกัน ตอนนี้ประจำการอยู่ที่ไทย ไม่ได้เดินทางมาด้วย”
“งั้นเหรอๆ” เขารับคำแบบส่งๆ ดูไม่ใส่ใจเลยสักนิด ส่วนผมจับที่วางมือแน่น เขาจะเข็นผมไปไหน! กับคนอื่นผมคิดว่าหาทางหลบเลี่ยงต่อกรได้ เพราะพวกนั้นย่อมเกรงใจชื่อของลูเซียส แถมมีไมค์กับหลงคอยช่วยเหลือ สำหรับคนนี้ผมไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เขาดูสนิทกับคนของลูเซียสมาก แถมยังรู้จักกระทั่งเดฟที่ขลุกอยู่แต่ในครัว พวกไมค์เองก็ดูจะเกรงใจไม่น้อย
“คุณอเล็กเซย์ จะพาคุณหนูไปไหนครับ บอสสั่งให้คุณหนูอยู่ในงานจนกว่าท่านจะพากลับห้องเอง” ไมค์ฉลาดมากที่อ้างบอสไว้ก่อน ส่วนหลงปิดปากเงียบกริบเหมือนกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก ฉันแค่จะพาเขาไปเดินเล่นรับลมชวนคุยเรื่องลูเซียสเฉยๆ อย่าลืมสิ ฉันตามมาเพราะหวานใจสั่ง หากไม่มีอะไรกลับไปรายงานฉันได้นอนนอกบ้านพอดี”
ตอแหล! อ้างชัดๆ ทุกคนคงคิดแบบเดียวกันแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา
“ถ้าเรื่องนั้นถามเอาจากพวกผมก็ได้ครับ” หลงเห็นไมค์รับมือไม่ไหว ออกมาช่วยอีกแรง
“ถามพวกนายไปก็พูดเข้าข้างลูเซียสหมดจะมีประโยชน์อะไร สู้ถามลูกชายบุญธรรมเขาดีกว่า ยังเด็กอยู่หัวอ่อนคงถามได้ความมากกว่าคนหัวแข็งแบบพวกนาย”
ระหว่างเถียงกันอยู่นี่ผมโดนเข็นออกมาจากงานแล้ว หัวสมองคิดเร็วจี๋ จะทำยังไงดี ต่อให้อเล็กเซย์ไม่แสดงความเป็นปรปักษ์ชัดเจน แต่จงใจพาผมออกมาแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะสำหรับผมแล้ว คนที่ผมเชื่อใจมีแค่ลูเซียสกับคนของเขาเท่านั้น
“คุณจะพาผมไปไหน ผมอยากกลับเข้าไปในงาน” ผมจับเหล็กตรงล้อยึดไว้ไม่ให้เขาเข็นต่อ อเล็กเซย์จำต้องหยุดฝีเท้า เขาก้มหน้ามาคุยกับผม แค่เห็นเพียงด้านข้างผมก็ขนลุกซู่ ดวงตาไม่สื่ออารมณ์ ใบหน้าถูกสวมด้วยหน้ากากรอยยิ้ม เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากจิ้งจอก คนนี้อันตราย!
“ฉันบอกแล้วว่าจะพาเธอไปรับลม อย่าปฏิเสธความหวังดีของฉันเลย เธอไม่ชินอยู่ในงานไร้สาระแบบนั้นมีแต่จะทำให้อึดอัด”
เขาหัวเราะทุ้มนุ่มในคอ ออกแรงเข็นผมไปต่อได้อย่างสบายๆ ผมฝืนแรงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พวกไมค์เองก็ไม่กล้าเข้ามาห้าม จะทิ้งผมไปรายงานลูเซียสก็ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องตามกันเป็นขบวน ผมเพิ่งสังเกตว่าท้ายสุดนั้นไม่มีคนของอเล็กเซย์ตามมาแม้แต่คนเดียว
คนระดับเขาไม่น่าจะเดินไปไหนมาไหนโดยไร้การ์ด จะบอกว่าอาศัยการ์ดที่ดูแลผมคงไม่ใช่ นับรวมหลงกับไมค์มีการ์ดเพียงห้าคน ห้าคนกับการดูแลสองคน หนึ่งในนั้นบาดเจ็บเดินไม่สะดวก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะคุ้มครอง เขาต้องการอะไรกันแน่
ผมคิดจนปวดหัวก็ยังไม่ได้คำตอบ มีแต่เสียงฮัมเพลงของอเล็กเซย์กับเสียงฝีเท้าร้อนใจจากการ์ดด้านหลัง ตัวผมถูกพาออกนอกตัวเรือมากขึ้นทุกที จนกระทั่งเห็นท้องฟ้ามืดสนิทเบื้องหน้า ลมทะเลพัดเข้ามาจากทางเดินรอบตัวเรือ ร่างกายผมเย็นเฉียบ...คราวนี้แย่แน่ๆ ป๋า รีบๆ รู้ตัวเร็วเข้า!
ภายในงานเลี้ยง...
อาคมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังบอสพร้อมการ์ดจำนวนหนึ่ง ถอยฉากออกมาเล็กน้อยเมื่อมือถือสั่นเตือนข้อความเข้า เจ้าตัวลอบหยิบดู อ่านข้อความนั้นเพียงกวาดตาครั้งเดียวก็เก็บมือถือลงกระเป๋าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนอาศัยจังหวะเข้าไปกระซิบข้างหูบอสที่ปรายตามองตั้งแต่แรก
“บอสครับ หลงส่งข้อความมาบอกว่าคุณอเล็กเซย์กำลังพาคุณหนูออกจากงานเลี้ยง”
“อเล็กซ์เป็นคนพาออกไป?” ลูเซียสถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“ครับ” อาคมยืนยันหนักแน่น การที่หลงเลือกส่งข้อความแทนการพูดผ่านหูฟังที่ใช้ในกลุ่มการ์ด มันคิดอะไรไม่ได้นอกจากทางนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลถึงใช้เสียงพูดไม่ได้
คำพูดของอเล็กเซย์แวบเข้ามาในหัว
‘ฉันไม่มีธุระอะไรแถวนี้หรอก แค่เป็นทางผ่านแล้วถูกภรรยาสุดที่รักให้แวะมาดูนายหน่อย เพราะจู่ๆ นายก็รับลูกบุญธรรมโดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ’
‘พอดีมีคนตามฉันมาตั้งแต่คุยธุรกิจ ตอนนี้ก็ยังหาจังหวะจัดการฉันอยู่ ที่สำคัญ น่าจะอยู่บนเรือลำนี้แล้วด้วย’
คำพูดที่ดูไม่มีความหมายอะไรแอบแฝง แต่ในเวลานี้มันสามารถอธิบายการกระทำของอเล็กเซย์ได้อย่างชัดเจน ลูเซียสกัดฟันกรอด เกือบจะกำแก้วในมือแตก อาคมรีบรับแก้วนั่นมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมเดินนำลูเซียสไปตาม GPS บนมือถือของมิทรี่
เหล่าการ์ดเร่งฝีเท้าตามเจ้านาย คอยกันท่าคนอื่นไม่ให้เกะกะขวางทาง พอพ้นห้องจัดงานพวกเราเริ่มออกวิ่งทันที เห็นสีหน้าอึมครึมของบอส เวลานี้อาคมเองยังคิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรออกมาผ่อนคลายสถานการณ์ตรงหน้าดี ในเมื่อขนาดตัวเขาเองยังไม่มั่นใจถึงความปลอดภัยของคุณหนู