ภายในบ้านหลังใหญ่ระดับมหาเศรษฐีของหมู่บ้านชื่อดัง ที่รู้ๆ กันว่าบ้านแต่ละหลังในย่านนี้ราคาครึ่งร้อยล้านขึ้นทุกหลัง คนมีอันจะกินหาซื้อบ้านไว้อยู่บ้างตามอารมณ์ เพราะไม่อยากให้เงินนอนจมในธนาคารกินดอกอย่างเดียว จึงเอามาสร้างบ้านและซื้อความสุขแบบฟุ่มเฟือยตามประสาคนรวยล้นฟ้า
ลูคัส นิรัตน์ศยางค์กูล บาร์ตัน ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน มาดเข้ม ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย อายุยี่สิบแปดปี ใบหน้าที่ดูหล่อเหลา แต่ยามร้ายก็เหมือนซาตานจำแลงลงมา คุณชายของบ้านนิรัตน์ศยางค์กูลกำลังก้าวลงจากเครื่องบินเล็กส่วนตัว ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของชายหนุ่มที่จอดอยู่ในลานจอดกว้างของสนามหญ้าสีเขียวหลังบ้าน ที่มีพื้นที่รวมบ้านและสนามก็ขนาดเกือบยี่สิบไร่เห็นจะได้ เมื่อก้าวลงจากเครื่องบินเล็ก ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นรถกอล์ฟแล้วขับมุ่งตรงไปยังประตูบ้านทันที “นายน้อยขับเครื่องบินเป็นยังไงบ้างครับ” คนที่รอรับเมื่อเห็นรถกอล์ฟแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านก็รีบวิ่งมาหาพร้อมเอ่ยถามนายน้อยของบ้านทันที “ก็ดี” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเรียบ มองคนขับรถที่อายุมากกว่าเขาห้าปี แต่ทำตัวนอบน้อมเพราะมีคำว่าเจ้านายและลูกน้องเป็นเส้นแบ่งอยู่ “ลูคัส หลานย่ากลับมาแล้วเหรอจ๊ะ” มาดามมิเชลที่ได้ยินเสียงหลานชายของเธอที่หน้าบ้านก็รีบเดินมาหาทันที แต่คนเป็นหลานกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง มองย่าผ่านแว่นกันแดดราคาแพงที่สวมกั้นสายตา ก่อนจะยกมือไหว้ตามแบบไทยใบหน้านิ่งๆ เช่นเคย แทนที่จะรับไหว้แต่มาดามมิเชลกลับยืนเฉยเมย เพราะวัฒนธรรมแบบนี้ทำให้เธอคิดถึงผู้หญิงที่เกลียดเข้ากระดูกดำคนนั้น “คุณย่า...มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลูคัสเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษที่คุ้นหู ก่อนจะขมวดคิ้วนิดหน่อย เพราะปรกติมาดามมิเชลจะอยู่ที่ออสเตรเลีย ไม่ชอบมาเมืองไทยด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ทำไมถึงมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้าด้วย “ห้านาทีก่อน ย่าคิดถึง พอว่างเราอยู่แต่เมืองไทย ไปทำงานที่บ่อน้ำมันก็ไม่แวะไปหาย่าบ้างเลย” ชายหนุ่มดูจะส่ายหน้าให้กับการเรียกร้องความสนใจของมาดามมิเชล ใช่ว่าครอบครัวนี้จะมีเขาเป็นหลานเพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ “พักนี้ยุ่งๆ น่ะครับ” “จ้ะ...ย่าไม่ได้ว่าอะไร เพราะคำพูดนี้ได้ยินจากสองพ่อลูกมาเกือบตลอดชีวิตแล้ว” มาดามมิเชลเอ่ยถึงลูกชายของเธอด้วย เพราะอดัมคือลูกชายที่เธอรักมากและเสียใจมากที่สุดในบรรดาลูกทั้งห้าคนของเธอก็ว่าได้ “คุณย่าแวะมาเที่ยวหรือว่า...” ลูคัสไม่ได้เอ่ยขึ้น เพราะพอจะเดาอะไรออกแล้วในตอนนี้ ย่าของเขาไม่มีวันมาเที่ยวเมืองไทยแบบไม่มีแผนอย่างแน่นอน ต้องมีอะไรซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มๆ ของหญิงวัยเกือบเจ็ดสิบห้าปีคนนี้แน่นอน เพราะถึงย่าเขาจะอายุมาก แต่ความเป็นอยู่ที่ดีร่างกายจึงยังแข็งแรง “มาหาเราโดยเฉพาะ แต่...คราวนี้ย่าพาวิคตอเรียมาเที่ยวเมืองไทยด้วย” มาดามมิเชลเอ่ยบอก เพียงเอ่ยชื่อหญิงสาวหน้าตาสวยที่ชื่อวิคตอเรียก็ก้าวออกมายืนข้างๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตของหญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพอใจ แต่ก็เอียงอายอยู่ในที “ญาติฝั่งไหนอีกล่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามแบบไม่ไว้หน้าผู้เป็นย่า เพราะรู้ว่านี่คือการจับคู่ในแบบฉบับมาดามมิเชล ที่ชอบหาหญิงสาวคนนั้นคนนี้มาแนะนำหลานชายอย่างเขาเสมอ ถ้าถูกใจเขาก็ควงด้วย นอนด้วย จากนั้นก็ทางใครทางมัน “ทำเป็นรู้ดีนะพ่อหลานชาย หนูวิคตอเรียเป็นหลานของเพื่อนย่า การศึกษาดี ดีกรีไม่เบา แถมยังเป็นนางแบบด้วยนะจ๊ะ” ได้ทีมาดาม มิเชลก็อวยหญิงสาวที่เลือกมาครั้งนี้ยกใหญ่ วิคตอเรียนั้นได้แต่ยืนยิ้มเขิน แต่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าชายหนุ่มแม้แต่น้อย “นางแบบ” ลูคัสทวนในสิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษ คนนี้น่าสนใจไม่เบา ชายหนุ่มยิ้มมุมปากออกมานิดหน่อยแลดูเจ้าเล่ห์แต่ก็น่ามอง “สวัสดีค่ะ” คำทักทายของวิคตอเรียที่เป็นภาษาไทยทำเอามาดามมิเชลขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้หญิงสาวไปเรียนมาจากไหน คงอยากเอาอกเอาใจหลานชายเธอ แต่หารู้ไม่ว่าเธอนั้นไม่ชอบสักนิด “พลาด” ลูคัสส่ายหน้าให้ วิคตอเรียงงมากกับอาการของชายหนุ่ม เพราะเหมือนเธอทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆ ที่คำทักทายนี้เธออุตส่าห์ฝึกมาเป็นนานเพื่อพูดกับเขาโดยเฉพาะ “พลาดอะไรคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม เพื่อความกระจ่าง “ถ้าคุณจะเข้าทางย่าผม ไม่ควรเรียนรู้ความเป็นไทย” “ทำไมคะ ก็ในเมื่อคุณลูคัสอยู่เมืองไทย เรียนรู้ภาษาไทยไม่เห็นแปลก” วิคตอเรียมองไปยังมาดามมิเชล เพื่อขอคำตอบว่าเธอทำอะไรผิดตรงไหน “ถึงอยู่ แต่ใช่ว่าจะชอบ ใช่ไหมครับมาดามมิเชล” พูดจบลูคัสก็เดินผ่านคนทั้งคู่เข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มเก็บความรู้สึกเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่ชอบผู้หญิงไทย ด้วยเพราะคำพูดของย่าที่เฝ้าพูดกรอกหูมาตลอดจนถึงตอนนี้ “ใช่ ฉันไม่ชอบคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทย” มาดามมิเชลเอ่ยบอก แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงทั้งหมด “เอ๊ะ! ไม่ชอบแล้ว...” หญิงสาวผู้มาใหม่สับสน ไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่อง “ถ้าเธออยากเป็นหลานสะใภ้ฉัน อย่าสนใจประเทศนี้แม้แต่น้อย เพราะฉันไม่ชอบ เข้าใจไหมจ๊ะ?” ยังไม่ทันที่สาวมั่นอย่างวิคตอเรียจะเอ่ยถามอะไรต่อ มาดามมิเชลก็เอ่ยค้านขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มมาให้เพื่อสกัดคำถามทั้งปวง “เอ่อ...ค่ะ” วิคตอเรียเอ่ยรับคำ หญิงสาวดูแปลกใจมาก ทำไมมาดามมิเชลถึงไม่ชอบคนไทยหรือทุกอย่างที่เป็นของคนไทย ทั้งที่มีบ้านอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่ชอบแล้วจะมาอยู่ทำไม เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ซึ่งก็ได้ข่าวมาเหมือนกันว่ามารดาของลูคัสเป็นหญิงชาวไทย แต่ทำไมถึงไม่ชอบคนและประเทศนี้ วิคตอเรียที่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน แต่ตอนนี้เธอนั้นสนใจแต่ตัวลูคัสคนเดียว นอกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตา ไม่คิดว่าการตัดสินใจมากับมาดามมิเชลครั้งนี้ เธอจะได้เจอพ่อหนุ่มในฝันเข้าให้ แค่สบตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเมื่อครู่ มันก็ทำให้เธอร้อนไปทั้งตัวก็ว่าได้ อยากให้เขาใช้สายตาแบบนั้นเล้าโลมยามเธอเปลือยเปล่าเสียจริงก๊อก! ก๊อก!
บทที่ 68ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ห้อง คว้าผ้าห่มของตัวเองขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนอนนาตาเซียแล้วห่มผ้าห่มนวมให้เธออีกชั้น จากนั้นก็ไปนั่งข้างๆ เธอ หยิบยาอีกชุดที่น้ำอ้อยจัดมาให้ส่งเข้าปากตามด้วยน้ำ เพราะเขาไม่อยากติดหวัดจากยายจอมดื้อเหมือนกันลูคัสคอยหมั่นเปลี่ยนผ้าที่หน้าผากให้พร้อมทั้งเช็ดเนื้อเช็ดตัวจุดที่พอจะเช็ดได้ ไม่ละลาบละล้วงเข้าไปจุดใต้เสื้อผ้าแต่อย่างใด แม้ภายในห้องจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อไหลเต็มตัว แต่ชายหนุ่มก็ไม่บ่นสักคำ เพราะไม่อยากเปิดแอร์ให้ตัวเองสบายแต่นาตาเซียแย่ ทั้งที่จะกลับไปห้องแล้วให้น้ำอ้อยมาดูแลต่อก็ได้ แต่ลูคัสกลับไม่ทำแบบนั้น“ผมคิดยังไงกับน้องสาวคุณกันแน่” ขณะมองหน้านาตาเซีย ลูคัสก็เอ่ยกับตัวเองก่อนจะนึกถึงนาเดียร์ พี่สาวของนาตาเซีย คนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะช่วยชีวิตผู้ชายอย่างเขา ครั้งแรกที่ได้พบนาตาเซีย เขาปรี่เข้าไปกอดและจูบเธอ เพราะคิดว่าคือนาเดียร์ แต่พอได้รู้จักตัวตนทั้งคู่แทบไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ คนพี่นั้นห้าว แต่ภายในที่เขาสัมผัสกลับอ่อนหวานเรียบร้อย ส่วนคนน้อง ภายนอกดูเรียบร
บทที่ 67“ให้ตาย...ไม่สบายจนได้สิ” ลูคัสบ่นกับตัวเอง ก่อนจะรั้งผ้าห่มนวมขึ้นห่มให้หญิงสาว ชายหนุ่มเดินมาที่ประตู ลากโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่นาตาเซียเอามากั้นเขาเป็นแน่กลับไปวางที่เดิม เปิดประตูแล้วก้าวลงไปชั้นล่างก็เห็นน้ำอ้อยยืนมองอยู่“พยาบาลของป้าไม่สบาย”“ตายจริง คงติดหวัดจากป้าแน่ๆ เดี๋ยวป้าขอขึ้นไปดูนาตาเซียหน่อย” คนฟังยกมือทาบอก“ผมดูแลเอง ป้าช่วยหายากับทำข้าวต้มแล้วยกขึ้นไปให้ผมด้วยแล้วกัน” พูดจบลูคัสก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำแข็งในช่องฟรีซใส่ลงถ้วยแก้วใบใหญ่ จากนั้นก็เทน้ำเปล่าลงไปอีกครั้ง ท่าทางรีบร้อนแต่ก็คล่องแคล่ว“รีบหน่อยนะป้า” ก่อนจะกลับขึ้นไปชั้นบน ลูคัสยังหันมาย้ำกับน้ำอ้อยอีกครั้ง แล้วเดินกลับขึ้นไป“ค่ะ” น้ำอ้อยเอ่ยรับด้วยใบหน้ายิ้มๆ แล้วปลีกตัวไปทำตามที่ลูคัสบอก สงสัยคราวนี้จะได้รู้ใจตัวเองเป็นแน่ว่าคิดยังไงกับนาตาเซีย หวังเหลือเกินว่าคนทั้งคู่จะเกิดมาเพื่อกันและกันเมื่อเข้ามาในห้องนอนของนาตาเซีย ลูคัสก็เดินเข้าไปใ
บทที่ 66หลังจากเคลียร์งานที่ต่างเมืองเสร็จเรียบร้อย ลูคัสก็เลือกกลับเข้าบ้านก่อนในตอนเช้าตรู่ คิดว่าเที่ยงๆ ค่อยออกไปที่บริษัท เมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านก็เจอกับน้ำอ้อย อาการไม่สบายคงทุเลาลงมามากแล้วจึงออกมาเดินเหินได้แบบนี้ แต่ยังไงเขาก็อยากให้แม่บ้านพักผ่อนอีกหน่อย“ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า”“ทำกับข้าวค่ะ” คนเป็นแม่บ้านหันมาตอบ ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าลูคัสจะกลับมาเช้ามืดแบบนี้“แล้วนี่หายหรือยัง ฝืนไปเดี๋ยวก็ทรุดลงไปอีก”“ป้านอนมาตั้งสองสามวันแล้วนะคะ เบื่อจะแย่” น้ำอ้อยยิ้มให้ลูคัส เพราะอยู่ๆ เธอก็ไม่สบายซะได้ เรื่องการเจ็บป่วยนี่เดาไม่ถูกเลยจริงๆ“ผู้ช่วยล่ะ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง?” ลูคัสมองเข้าไปในบ้าน เลยขึ้นไปข้างบนเพื่อหานาตาเซีย“ให้พักสักวัน อยู่ดูแลป้าแทบไม่ได้ขยับไปไหน”“ดีขนาดนั้นเชียว ผมนึกว่าจะอู้” ชายหนุ่มปรามาส แต่ก็รู้ว่านาตาเซียทำอะไรบ้าง เพราะเขาโทรศัพท์กลับมาที่บ้านออกจะบ่อย“น่ารักดี ที
บทที่ 65อาการของน้ำอ้อยดีขึ้นตามลำดับหลังจากนอนซมมาสองสามวัน เพราะได้พยาบาลพิเศษอย่างนาตาเซียคอยดูแลไม่ห่าง ไข้เริ่มลดจนตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้แล้ว แต่นาตาเซียยังไม่ยอมให้ออกไปนั่งตากลมนอกห้องเพราะกลัวไข้กลับมาอีก ใบหน้าที่ซีดเซียวของน้ำอ้อยก็ดูมีเลือดไหลเวียนมากขึ้น ลูคัสเองก็โทรมาถามอาการน้ำอ้อยวันละสามสี่ครั้ง แต่แฝงกับการได้รู้ข่าวของนาตาเซียด้วยว่าเธอยังอยู่ที่บ้านเขา ไม่ได้หนีหายไปไหน “ขอบใจที่ดูแล” น้ำเสียงแหบๆ ของคนป่วยเอ่ยบอกนาตาเซีย ที่กำลังเป่าข้าวต้มในถ้วยเพื่อไล่ความร้อนให้เธอจนแก้มป่อง “ไม่เป็นไรค่ะ ป้าหายดีแบบนี้ค่อยหายห่วงหน่อย” นาตาเซียหันมายิ้มตอบ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเป่าข้าวต้มให้หายร้อนอีกหน่อย จากนั้นก็ใช้ช้อนตักป้อนให้น้ำอ้อย“ป้ากินเองได้” “ให้นาตาเซียป้อนน่ะดีแล้ว นะจ๊ะป้า” คำแทนตัวเองของนาตาเซียดูเปลี่ยนไป น้ำอ้อยพยักหน้าให้กับคำพูดนี้ ก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มกุ้งเข้าไปในปาก “ฝีมือทำกับข้าวอร่อยขึ้นมากแล้วนี่” แม้จะมีกลิ่นคาวกุ้งนิดหน่อยในข้าวต้มถ้วยนี้ แต่น้ำอ้อยก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะนาตาเซียทำกับข้าวได้ดี ดีมากกว่าเมื่อสองสามวันก่อนด้วยซ้ำ เด็กสาว
บทที่ 64 “ผมไม่ได้มามือเปล่า ตอนนี้สามารถเลี้ยงดูละออได้เป็นอย่างดี ถ้าผมพูดไม่จริงให้เอาชีวิตผมไปได้เลย”“คุณอดัม” ละออมองหน้าอดัม ทำไมต้องเอาชีวิตมาพูดเล่นแบบนี้ด้วย “ผมเชื่อว่าคนอย่างคุณจะดูแลละออได้” แมทธิวพยักหน้าให้ แค่เห็นแววตาของอดัมที่มองละออก็แทบไม่ต้องพูดอะไรแล้ว“ครับ...จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะพาละออไปหาลูกชายของเราสองคน”“ลูกชาย” ดารียะห์งงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้“เรามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ตอนนี้อายุย่างเข้ายี่สิบเก้าปีแล้ว” อดัมเอ่ยบอกสองคนตรงหน้าให้รับรู้ เพราะเขาไม่ได้จะปิดบังอยู่แล้ว “แต่ฉันยังมีห่วงอยู่ที่นี่” ละออค้าน แม้จะอยากไปหาลูคัส แต่ห่วงของเธอก็คือนาตาเซีย “อะไร...ผมพอจะช่วยได้หรือเปล่า?” แขกของบ้านเอ่ยอาสา “เรื่องนาตาเซียไม่ต้องเป็นห่วงไปละออ ไม่นานเราก็จะได้ข่าวดี...เชื่อสิ” แมทธิวเอ่ยให้ละออคลายกังวลเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าละออนั้นรักนาตาเซียไม่แพ้พ่อและแม่แท้ๆ อย่างพวกเขา “เกิดอะไรขึ้นครับ พอจะบอกผมได้ไหม เผื่อจะช่วยเหลือได้” คำพูดของอดัม ทำให้ดารียะห์ยิ้มออกมา เพราะรู้สึกขอบคุณที่คนเพิ่งจะรู้จักกัน แสดงออกถึงความห่วงใยต่อลูกสาวเธอมากมายขนาดนี้ “ลู
บทที่ 63“ฉันก็อยากทำแบบนั้น แต่...แต่ฉันกลัว” ความอ่อนแอของละออถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหยดน้ำตา ความอัดอั้นและหวาดกลัวเกิดขึ้นมาหลายปี ความคิดถึงโหยหาคนที่รัก อยากกลับไปใจแทบขาด แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกไป ขนาดไปถึงเมืองไทยกลับยืนนิ่งไม่ทำตามที่ใจอยากทำ เพราะกลัวคนที่รักจะเป็นอันตราย “ผมจะคอยปกป้องคุณเอง ให้ผมได้ทำแบบนั้น” อดัมเอ่ยให้คำมั่นสัญญา ครั้งนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องทำให้ได้ เขาจะคอยปกป้องละออและลูคัสด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาพรากจากแม้คนคนนั้นจะเป็นแม่ของตนเองก็ตาม เพราะเวลากว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา มันนานเกินพอแล้ว“ขอบคุณนะคะ” ละออเอ่ยขอบคุณในอ้อมกอดของสามี แม้จะดีใจที่ได้พบอดัม แต่เธอก็ยังมีความกังวลอยู่ ถึงจะยิ้มได้แต่ใช่ว่าจะมีความสุขนัก “ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ไปไงมาไงคุณถึงมาทำงานด้วย” หนุ่มใหญ่ผละร่างของภรรยาที่ตอนนี้อวบขึ้นจากเมื่อก่อน คงเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงละออก็ยังดูสวยในสายตาของเขาเสมอ อวบๆ มีน้ำมีนวลแบบนี้ กอดแล้วอุ่นดีออก “พอฉันออกจากโรงพยาบาล ก็กลับไปที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ได้พบญาติห่างๆ คนหนึ่งที่จะมาทำงานที่บรูไน ฉันกลัวว่ามาดา