บทที่ 9 กำหนดแต่งงาน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมา จวนราชครูก็ต้องวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อวังหลวงได้ส่งแจ้งกำหนดวันแต่งงานของหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินให้จัดงานเร็วขึ้นจากเดิม
“เจ้าจู เหตุใดเรื่องจึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า” เผิงฟู่หลินเดินวนไปมารอบห้องอย่างกับหนูติดจั่น
“คุณหนู แล้วจะทำเช่นใดดีเจ้าคะ” เจ้าจูร้อนรนไม่ต่างจากนายหญิงของตน
“ข้าจะไปพบท่านพ่อ” เผิงฟู่หลินพูดจบก็รีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อเผิงฟู่หลินเดินมาถึงโถงห้องของจวน หีบไม้ใหญ่หลายใบตั้งเรียงเป็นแนวแถว ราชครูเผิงกำลังวุ่นวายกับการรับแขกจากจวนหนี่เส้าจวินอย่างขวักไขว่
“คารวะคุณหนู” บรรดาสาวใช้ต่างก้มคารวะเผิงฟู่หลิน นางมิได้สนใจผู้ใดนัก กลับเดินตรงไปยังราชครูเผิงในทันที
“ท่านพ่อ ท่านไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือ ท่านจะปล่อยให้ข้าแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รักเช่นนี้หรือ” เผิงฟู่หลินเข้ากอดแขนบิดาพร้อมโอดครวญออกมา น้ำตาที่เอ่อคลอทำเอาราชครูเผิงถึงกับดวงตาหม่นแสงลง
“หลินเอ๋อร์ ฝ่าบาทมีรับสั่งลงมา นี่ยังสินสอดอีกมากมายที่ส่งมาที่จวนของเรา แล้วเจ้าจะให้พ่อทำเช่นใดกันเล่า” ราชครูเผิงถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ใช่ว่าตัวเขาเองจะนิ่งนอนใจเสียเมื่อไหร่กัน
ราชครูเผิงย้อนคิดถึงช่วงก่อนหน้า หลังจากเห็นบุตรสาวแผลงฤทธิ์ออกมามากมาย ราชครูเผิงก็จำต้องบากหน้าเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอยกเลิกการแต่งงานดังกล่าว
“ทูลฝ่าบาท บุตรสาวคนรองของหม่อมฉันยังมิรู้ความนัก เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องหนี่เส้าจวินต้องลำบากใจ หม่อมฉันจึงทูลขอฝ่าบาทยกเลิกงานแต่งนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านราชครูคิดมากไปแล้ว ข้าเองก็เอ็นดูหลินเอ๋อร์มิใช่น้อย เส้าจวินเองก็ไม่ได้ว่าอันใดสักหน่อย ในเมื่อข้าได้เอ่ยวาจาออกไปแล้ว เช่นนั้นก็เป็นตามนี้เถิด” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างไม่ยี่หระสักเท่าใด
“ฝ่าบาท...แต่ว่า” ราชครูเผิงกำลังจะทัดทานอีกครั้ง หากแต่ฮ่องเต้กลับโบกไม้โบกมือไล่เขาไปเสีย
“การแต่งงานก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว หรือว่าท่านราชครูมิต้องการบุตรชายของข้ากันแน่” ฮ่องเต้ตรัสบทอย่างที่ไม่คิดจะให้ราชครูเผิงได้มีโอกาสอันใดอีก
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเผิงได้แต่รับคำด้วยความอิหลักอิเหลื่อ ก่อนจะขอตัวลาออกไป
หลังจากที่ราชครูเผิงนึกถึงวันที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้วันนั้น เขาก็จนใจต้องยอมรับการแต่งงานหนนี้โดยมิอาจหลีกเลี่ยง
“หลินเอ๋อร์ เจ้ายอมสักครั้งได้หรือไม่ ท่านอ๋องก็มิได้ด้อยอันใดไปกว่ารัชทายาทเลยสักนิด ว่าที่สามีเจ้าเป็นบุตรชายที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นที่สุด หากเจ้าได้แต่งเป็นพระชายา ต่อไปเจ้าอยากได้สิ่งใด สามีของเจ้าย่อมต้องหามาให้จนได้” ราชครูเผิงลูบศีรษะเผิงฟู่หลินอย่างอ่อนโยนพร้อมเกลี้ยกล่อมนาง
เผิงฟู่หลินมองหน้าบิดาอย่างนึกน้อยใจ น้ำตาที่เอ่อคลอทั้งสองตา ไหลออกมาอาบสองแก้ม “ในเมื่อท่านพ่อไม่ช่วยข้า ข้าก็จะหาวิธีของข้าเอง ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่ยอมแต่งงานเด็ดขาด”
คำพูดหนักแน่นของเผิงฟู่หลิน ทำเอาราชครูเผิงถึงกับกุมขมับ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นในทันที จากท่าทีอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด “หลินเอ๋อร์ หากเจ้ายังคงดื้อรั้นไม่ยอมความเช่นนี้ ข้าคงต้องกำราบเจ้าเสียหน่อยแล้วกระมัง”
คำพูดเสียงเข้มของราชครูเผิง ทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับเบิกตากว้าง นางเม้มปากแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ฮูหยินเซียงเห็นท่าทางของสองพ่อลูกแลดูไม่ดีนัก จึงรีบเข้ามาห้ามทัพเสียก่อน
“ท่านพี่ โปรดอย่าได้หงุดหงิดไปเลย ไว้ข้าจะค่อย ๆ คุยกับหลินเอ๋อร์เองเจ้าค่ะ” ฮูหยินเซียงรีบออกตัว นางแทรกตัวเข้าเกาะกุมแขนราชครูเผิง ก่อนจะดึงเผิงฟู่หลินไปด้านข้าง
“เจ้าก็สั่งสอนหลินเอ๋อร์ให้ดีเล่า หากแต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้วยังทำกิริยาเช่นนี้อยู่อีก ข้าเกรงว่าคนที่จะเดือดร้อนคงไม่พ้นหลินเอ๋อร์เป็นแน่” ราชครูเผิงหันมาตำหนิฮูหยินของตน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางหนักใจ
ฮูหยินเซียงได้ยินคำขู่ของสามี ก็นึกหวั่นใจเป็นเท่าทวีคูณ นางย่อมรู้ดียิ่งกว่าใครทั้งปวง อันภรรยาอยู่ดีได้ด้วยสามี ต่อให้หญิงสาวจะมียศศักดิ์อำนาจมากเท่าใด แต่หากสามีไร้การเหลียวแล นั่นย่อมไม่แตกต่างจากนรกบนดินเสียด้วยซ้ำ ดูอย่างฮูหยินจิ้งนั่นกระไร นางเป็นถึงบุตรสาวของบัณฑิตใหญ่ เมื่อเทียบรูปลักษณ์ ยศศักดิ์และความสามารถ นางล้วนเหนือกว่าฮูหยินเซียงเสียแทบทุกอย่าง แต่เพราะท่าทางแข็งกร้าว และหยิ่งยโสทำให้ทั้งสองมักมีปากเสียงกันอยู่เสมอ ราชครูเผิงจึงรู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับนาง ทำให้นานวันไปราชครูเผิงจึงไม่โปรดปรานฮูหยินจิ้งสักเท่าไหร่ อีกทั้งเมื่อฮูหยินเซียงเข้ามาเป็นอนุ นางทั้งอ่อนหวาน ทั้งเอาใจ ทำให้ราชครูเผิงหลงใหลนางยิ่งนัก และเพราะความโปรดปรานเช่นนี้ทำให้ฮูหยินเซียงสามารถยืนหยัดในจวนได้อย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อฮูหยินเซียงหวนนึกถึงเรื่องราวดังกล่าวก็ยิ่งหวาดหวั่นกับท่าทีของบุตรสาว หากนางยังแข็งขืนเช่นนี้ต่อไป อนาคตในจวนอ๋องย่อมไม่อาจราบรื่นได้เป็นแน่
“หลินเอ๋อร์ เจ้ามากับแม่” ฮูหยินเซียงเสียงแข็งพร้อมดึงรั้งบุตรสาวเข้าไปยังเรือนนอนของตนทันที
เมื่อเข้ามาในเรือนนอน ฮูหยินเซียงรีบพาเผิงฟู่หลินมานั่งตรงเตียงนอนหนานุ่ม นางลูบไล้ลำแขนของบุตรสาวอย่างอ่อนใจ
“หลินเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ ที่ผ่านมาเจ้าก็เห็นว่าท่านพ่อของเจ้าก็มิได้นิ่งนอนใจ เจ้าไม่อยากแต่ง ท่านพ่อก็บากหน้าไปขอร้องฮ่องเต้ให้เจ้า แต่เจ้าก็เห็นแล้วเรื่องราวครั้งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้อีก แม่อยากให้เจ้าทำใจยอมรับเสียเถอะ” ฮูหยินเซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหตุใดข้าต้องยอมรับชะตานี้ด้วย พวกท่านสั่งสอนข้าตั้งแต่เด็กให้ข้าเตรียมตัวเป็นพระชายาของท่านพี่ซูเว่ย แต่บัดนี้กลับมาบอกข้าให้ทำใจยอมรับการแต่งงานกับผู้อื่น พวกท่านไม่ยุติธรรม สวรรค์ไม่ยุติธรรมกับข้า” เผิงฟู่หลินร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างสุดกำลัง นางฟุบลงตรงตักของมารดา ลำตัวสั่นโคลงตามแรงสะอื้น ฮูหยินเซียงได้แต่ลูบไล้หลังของบุตรสาวไปมา นางถึงกับปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความรู้สึกสงสารบุตรสาวจับใจ
บทที่ 64 งานมงคลพิธีสมรสพระราชทานระหว่างหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เหล่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พรมแดงยาวทอดจากประตูหน้าจวนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มผืนยาวพลิ้วไหวจากผ้าไหมชั้นดี นางแต่งกายงดงามสมกับชื่อเสียงเรื่องความโฉมสะคราญ เผิงฟู่หลินก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนักหนี่ซูเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับพระชายาของเขา หนี่ซูเว่ยเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่ปนเประหว่างความเศร้าและความยินดี หัวใจของเขาหนักหน่วงขึ้นมาจากความรู้สึกที่ฝังลึกลงไปในใจ เผิงซูเว่ยทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะปรับสีหน้าและยิ้มกว้างออกมาให้นางด้วยความยินดี “หลินเอ๋อร์...เจ้าคู่ควรกับความสุขนี้” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจในขณะที่บรรยากาศภายในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัด เสี่ยวเหวินโหลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน เขามองภาพของเผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บทที่ 63 ท่านเป็นท่านพ่อข้าหรอกหรือยามสายของวันใหม่อากาศปลอดโปร่งยิ่งนัก หนี่เส้าจวินพิงกายขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมเข้มของเขาจับจ้องใบหน้าของเผิงฟู่หลินที่กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียจากการถูกเขารังแกไม่หยุดในค่ำคืนที่ผ่านมา แววตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ทั้งหวงแหน ทั้งรักใคร่ เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นหรือปลุกหญิงสาวจากการหลับใหล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา หนี่เส้าจวินยังคงจ้องมองหน้านางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้หนี่เส้าจวินหันหน้าไปมองด้วยสายตาขัดใจที่ถูกรบกวน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าจูยืนอยู่ข้างหน้าประตู เจ้าจูได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย“ท่านอ๋องและคุณหนู ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่แม้แต่จะมองสภาพภายในห้องที่ราวกับผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่“เจ้ามาช่วยข้าที” เผิงฟู่หลินบอกกล่าวออกไป“พวกเรามิต้องเร่งรีบนักหรอก ทุกคนคงเข้าใจได้ดี” หนี่เส้าจวินพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยท่าทางราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด เผิงฟู่หลินได้แต่นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าพร้อมค้อนขวับใส่เขาไปหนึ่งที“ท่านอ๋องลืมแ
บทที่ 62 บุตรของข้าท้องฟ้าภายนอกยังคงมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ทำให้ผ้าม่านสีขาวบางบนหน้าต่างสะบัดเล็กน้อย เผิงฟู่หลินขยับกายช้าๆ ไล่ความเมื่อยขบที่ได้รับจากการเคี่ยวกรำของหนี่เส้าจวินอย่างต่อเนื่อง แม้นางจะยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ทว่าร่างหนาของหนี่เส้าจวินที่เกยก่ายนางเอาไว้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาหนี่เส้าจวินนอนอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ยามหลับตาใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ไม่ดุดันและเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติเผิงฟู่หลินพลิกตัวขึ้นจ้องมองดูใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างเต็มสองตา บุรุษที่มักมารบกวนนางในยามหลับฝัน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงลมหายใจเข้าออก เผิงฟู่หลินเหม่อมองอย่างใจลอย ความลืมตัวทำให้นางขยับมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวสัมผัสไปตามหน้าผากไล้ไปตามแผงคิ้วสีดำเข้มไล่ลงมาที่สันจมูกที่คมเข้ม ริมฝีปากที่หนาเชิดรับกับใบหน้า ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อเผิงฟู่หลินอดที่จะยกยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ปลิวขึ้นมาทาบอยู่บนตัวของหนี่เส้าจวิน เขาปรือตาขึ้นพร้อมดึงตัวนางขึ้นมาก่ายเกยแนบชิดที่หน้าอก ร
บทที่ 61 สะสางหนี่เส้าจวินสาวเท้าก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของเผิงฟู่หลิน ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและดุดัน แววตาของเขาเย็นยะเยือกจนน่าหวาดหวั่นใจเผิงฟู่หลินพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่หนี่เส้าจวินกลับใช้พละกำลังที่มีรัดนางจนแทบขยับไม่ได้ สองมือปัดป่ายทุบตีไปตามแผ่นหลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิได้ส่งผลอันใดกลับมาหนี่เส้าจวินเดินตรงไปยังที่เตียงนอน ก่อนจะโยนร่างของเผิงฟู่หลินลงบนเตียงในทันที จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินกลับไปแล้วปิดประตูลงอย่างเต็มแรงเสียงประตูที่ปิดกระแทกลงเสียงดังสนั่นทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับสะดุ้งสุดตัว นางถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สะโพกของนางกระแทกลงบนฟูกอย่างแรงเผิงฟู่หลินรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคืองใจ ลมหายใจหอบเหนื่อยจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นางยืนประจันหน้ากับหนี่เส้าจวินอีกครั้งหนี่เส้าจวินหันมาเผชิญหน้ากับเผิงฟู่หลินด้วยสายตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเคืองที่มีร้อนระอุไปทั่วร่างกายของเขา นางหายตัวไปเกือบหกปีทั้งยังกลับมาพร้อมเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกนางว่า “แม่” เสียอีก แค่เพียงคิดว่านางคลอเคลียกับบุรุษคนอื่นก็ทำเอาหนี้เส้าจวินแทบค
บทที่ 60 พบกันอีกคราเผิงฟู่หลินเดินทางกลับมายังจวนสกุลเผิง นางเงยหน้าขึ้นมองประตูที่หน้าจวนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หกปีแล้วที่นางจากไปแต่ทว่าจวนสกุลเผิงยังคงสงบไม่แตกต่างจากในวันวานเผิงฟู่หลินก้าวเท้าเข้าไปภายในจวน พ่อบ้านรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานว่านายท่านทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เผิงฟู่หลินจึงเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพบกับครอบครัวในทันทีราชครูเผิง ฮูหยินเซียงและเผิงอันอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ทั้งสามเห็นเผิงฟู่หลินก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง ฮูหยินเซียงรีบก้าวเท้าเข้ามากอดเผิงฟู่หลินเอาไว้แน่น “หลินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”“หลินเอ๋อร์...เจ้ากลับมาครั้งนี้คงมิคิดจะออกเดินทางอีกใช่หรือไม่” เผิงอันอวี้ที่ก้าวเท้ามาตรงหน้าเผิงฟู่หลิน พร้อมกล่าวดักคอน้องสาวของตนในทันที“พี่ใหญ่ ข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว สถานที่ใดที่ข้าเคยใฝ่ฝันข้าล้วนได้เห็นกับตาตนเองทั้งสิ้น บัดนี้ข้าจะกลับมาอยู่บ้าน ข้าจะกลับมาอยู่กับครอบครัวของข้า” เผิงฟู่หลินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หกปีที่ผ่านมานางได้เดินทางไปทั่ว ทั้งดินแดนตอนเหนือจนถึงดินแดนตอนใต้ สถานที่ที่นางเคยได้แต่จินตนาการจากการ
บทที่ 59 เจ้าหนีข้าไปแล้วหนี่เส้าจวินแทบคลุ้มคลั่งเมื่อได้รับข่าวว่าเผิงฟู่หลินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะกล้าทำเช่นนี้กับเขา เผิงฟู่หลิน...นางหนีจากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ“พวกเจ้าออกตามหาพระชายาทุกเส้นทาง ต้องตามหานางให้เจอ” คำสั่งที่ดุดันแฝงความโกรธเคือง ทำให้เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่งพร้อมกระจายตัวออกตามหาในทันที“ว่าไงนะ” เสียงตะคอกดังลั่นไปทั่วจวน เมื่อองครักษ์กลับมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเผิงฟู่หลินเลยแม้แต่น้อยหนี้เส้าจวินที่หัวเสียอย่างมาก เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องอักษร ทำเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนแข็งเกร็ง เหงื่อไหลซึมออกมาด้วยกลัวโทสะของหนี่เส้าจวิน“ตามหาต่อไป แม่ทัพเผิงแจ้งข่าวว่านางเดินทางไปดินแดนใต้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”ทั้งที่หนี่เส้าจวินคิดว่าเผิงฟู่หลินไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล ทว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ยังคงไม่มีวี่แววใดๆ ของนาง เขาสั่งการให้ทหารออกตามหาเผิงฟู่หลินในทุกเส้นทางและทุกทิศที่นางอาจจะเดินทางได้ แต่หนี้เส้าจวินกลับไม่รู้ว่าเผิงฟู่หลินได้เปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ดังนั้นการตามหาของเขาก็ไม่ต่างจากการง